วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่12 บนเส้นทางจากมะนิลาสู่ตะไกไต (Tagaytay City) และ ทะเลสาบภูเขาไฟตาอัล (Taal Lake & Volcano)

                วันนี้เราตื่นแต่เช้า เราชวนเจ้าจอห์นมาทานข้าวเช้าที่โรงแรมด้วย  เราสั่งข้าวหมูทอดไข่ดาวเหมือนเดิม เค้าก็สั่งตาม พอตักเข้าปาก เค้ายังชมเลยว่าที่นี่ทำหมูทอดอร่อยพูดพลางเดินไปหยิบโถพริกแห้งมากินเป็นกับแกล้ม เรานั่งมองตาปริบๆ ไม่กล้าทานพริกตอนเช้า ยิ่งวันนี้เดินทางไกลด้วย ชาวปินอยโต๊ะอื่นๆที่มาพักที่นี่ต่างก็มองโต๊ะเรา ไอ้บ้าที่ไหนนั่งกินพริกแห้งจนแถมจะหมดขวดโหลเนี่ย พวกมันต้องไม่ใช่ชาวปินอยแน่ๆ
                พอท้องอิ่มแล้วพวกเราก็เดินทางต่อ คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตายใช้ด้วยกันได้เสมอ เราพากันเดินข้ามถนน Roxas เพื่อไปรอโบกรถเมล์ฝั่งตรงข้ามที่จะนั่งไปเมืองตะไกไต  ซึ่งแม่บ้านบอกว่าไปยืนรอได้เลยรถมันจะวิ่งผ่านเรื่อยๆ ขากลับก็ลงที่เดิมนะอย่าลืม เราสองคนยืนรอรถประเดี๋ยวเดียวก็เห็นรถบัสคันหนึ่งหน้าป้ายเขียนว่า  Tagay tay – Nasugbu เออคันนี้มันต้องไปแน่ๆ เราพยักหน้ากันแล้วตัดสินใจโบกรถให้จอดทันที  พอเดินขึ้นรถไป กระเป๋ารถก็มาเก็บสตางค์ถามพวกเราว่าไปไหน เราตอบว่า ตะไกไต คนละ 77เปโซ เท่านั้น ดีจังเราได้นั่งรถปรับอากาศแอร์เย็นฉ่ำในราคาเพียงเท่านี้ รถสภาพไม่เก่าด้วยไม่มีกลิ่นอับจากแอร์ กระเป๋ารถบอกว่าอีกประมาณ1ชั่วโมงก็ถึงตะไกไต มันห่างจากตัวเมืองมะนิลาลงไปทางใต้ประมาณ60กว่าโล

 Jeepney คันนี้วิ่งออกนอกเมือง
ด่านเก็บค่าผ่านทางคล้ายมอเตอร์เวย์
ร้านอาหารแบบฟาสต์ฟู้ดมีให้เห็นทั่วไปตามชนบท
                รถแล่นผ่านย่านคนรวยแถบ เบย์วิว (Bayview) คนพื้นเมืองอ่านออกเสียงว่า บีย์วิว แลเห็นบ้านคนมีอันจะกินเต็มไปหมด ละผ่านโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งในย่านนี้ ด้วยว่าถนนแถบนี้อยู่ติดทะเล รถวิ่งเข้าด่านเก็บค่าผ่านทางคล้ายมอเตอร์เวย์เลียบชายฝั่ง จากนั้นรถก็วิ่งฉิวผ่านดงสลัมน้ำครำที่ปลูกติดกับทางหลวงทั้งสองฝั่ง ดูแล้วน่าจะเป็นเขตสลัมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะ เพราะมันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาเลยล่ะ ใหญ่กว่าย่านคลองเตยเป็นร้อยเท่า สักพักรถก็ออกเข้าสู่ทางชนบทซึ่งไม่ถึงกับเป็นทุ่งนาป่าเขา แต่ก็พอมีบ้านคนและร้านค้าตลอดทาง เพื่อนเรานั่งหลับเสียแล้ว  เวลารถจอดตามสถานที่ใหญ่ๆก็มักจะมีคนเดินขึ้นรถมาเร่ขายของเหมือนบ้านเราเลย มีทั้งถั่วอบกรอบชนิดต่างๆ ขนมแป้งทอด น้ำผลไม้และพายมะพร้าวอันขึ้นชื่อ ไม่ถึงสองชั่วโมงกระเป๋ารถก็เดินมาบอกว่าจะถึงตะไกไตแล้ว เราก็เตรียมตัวลงที่นี่  เราถามเพื่อนว่าถ้านั่งต่อไปสุดสาย Nasugbu ล่ะมีอะไร (คนที่นั่นอ่านออกเสียงว่า นาซุญบู ) เค้าบอกว่าเป็นเมืองชายหาดตากอากาศแต่ทะเลไม่ค่อยสวย ทรายเป็นสีน้ำตาลเข็มไม่ขาว ถ้าจะให้ขาวสวยต้องไปเซบูกับโบฮอล เท่านั้น  พอลงจากรถลมพัดมาเย็นหวิว เรารู้ตัวทันทีว่านี่เราคงอยู่บนที่สูงแล้ว อากาศเย็นผิดกับแสงแดดที่แผดจ้า ถ้าเป็นในเมืองคงร้อนตับแลบไปแล้ว ก็ด้วยเมืองตะไกไตซิตี้แห่งนี้ เป็นเมืองที่อยู่บนเนินเขาน่ะสิ อากาศจึงเย็นสบายตลอดปี ว่าแล้วขอตุนเสบียงซักหน่อย เราพากันเดินเข้าไปยังร้านจอลลี่บี ฟ้าสต์ฟู้ดชื่อดังเพื่อซื้อฮอทด็อกและไก่ทอดไปเป็นเสบียงกินระหว่างขึ้นภูเขาไฟ ในเมืองตะไกไตนั้นมีของซื้อของฝากชื่อดังอยู่อย่างนึ่งนั่นคือ พายมะพร้าวหรือ Buko Pie นั่นเอง สนนราคากล่องละ100เปโซ มีขายอยู่ในเมืองนี้ทั่วไป

ถนนที่นี่เป็นเนินลาดลงไป โปรดสังเกตร้านขายพายมะพร้าว (Buko Pie)
 Jollibee ฟาสต์ฟู้ดที่พึ่งยามยาก สาขานี้ใหญ่ขนาดขับรถผ่านเข้าไปจอดซื้อได้เลย
พาหนะที่คุ้นเคยของคนท้องถิ่นมีทุกที่

พวกเราคอยโบกรถเพื่อไปยังทะเลสาบ แต่ไม่มีรถจี๊พนี่ย์คันใดลงไปเลย พอถามมากๆเข้า เค้าแนะนำให้ไปเหมารถสามล้อเครื่องพ่วง เหมาเลยเหรอ สงสัยทริปนี้มีแววบานปลายแน่ๆ ถูกต้องแล้วเพราะไม่มีรถจี๊ปคันใดลงไปส่งลึกในหุบเขากว่า16กิโลเมตรแน่ เค้าวิ่งตามหมู่บ้านข้างบนย่อมคุ้มค่ากว่า พวกเราเลยต้องไปเหมารถที่คิวรถ เจ้าหนึ่งเสนอเราขาลงไปนี่แค่150 เปโซ กับระยะทางลงเขาอย่างเดียว16กิโลเมตร เพื่อลงไปยังท่าเรือที่ Talisay อ่านว่า ตาลิซายพวกเราตอบตกลงทันที เจ้ารถมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างนั่งเพียงสองคนก็เต็มรถพาออกนอกเมืองไต่ลงเขาลงไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ระหว่างทางเค้าหยุดรถตามจุดชมวิวให้เราได้ชมความงามของภูเขาไฟและทะเลสาบเป็นระยะๆ  เพื่อนเราเริ่มบ่นเจ็บก้นเพราะรถซิ่งมากและวิ่งกระแทกเหลือเกิน ดีนะที่เป็นขาลงวิ่งแผลบเดียวก็ถึงบ้านลักษณะคล้ายรีสอร์ท เราสองคนมองหน้ากันทันที พ่อโชเฟอร์ส่งหมูในอวยมาให้เชือดอีกแล้ว
 ทะเลสาบตาอัลรายรอบภูเขาไฟตาอัลที่อยู่บนเกาะตรงกลางนั่นแหละ
ทิวทัศน์ของทะเลสาบ และภูเขาไฟที่ดับไปแล้วเป็นปล่องชัดเจนเลย

                พอรถจอดปั๊บ เจ้าหน้าที่รีสอร์ทรีบเดินเข้ามาต้อนรับและเสนอแพ็คเกจข้ามเรือขึ้นภูเขาไฟมาทันที เค้าเสนอราคาแพ็กเกจค่าเรือรวมค่าขี่ม้าไม่รวมค่าไกด์นำทางรวมกันอยู่ที่ 3500เปโซ เอาแล้วสิ เอาแล้วไง พวกเราร้องอู้หู ทำไมมันแพงยังงี้ล่ะครับนายท่าน  เรารีบบ่นเลยเราไม่ใช่เกาหลีหรือฮ่องกงนะ เงินไม่หนาฟูขนาดนั้นหรอก เจ้าหน้าที่เจ้าเล่ห์เริ่มลดราคาให้เหลือ3000 เราก็ไม่เอา ยืนกรานจะนั่งรถคันเดิมขึ้นไปทันทีเลย พอเราเดินผละออกมา เค้าเลยบอกว่า2500 ไหวมั้ยนายท่าน  เราบอกถ้าเหลือแค่2000 จ่ายแค่คนละพันก็ดีนะ ตาคนนั้นชักสีหน้าทันทีเลย เพื่อนบอกโอเคครับ2500 ยังพอสู้ได้อยู่ แต่ไม่เอาขี่ม้านะ เพราะกลัวม้ามากๆ
               พอตอบตกลง เด็กขับเรือก็พาไปลงเรือทันที อ้าวไม่ต้องรอผู้โดยสารมาเพิ่มเหรอ เค้าบอกราคานี้เป็นราคาเช่าเหมาลำครับ นึกแล้วเชียวนี่แหละข้อเสียของการมาเที่ยวกันจำนวนน้อย เพราะไม่มีคนช่วยหารตอนเหมารถเหมาเรือกับค่าห้องนี่แหละ แต่ข้อดีคือความเป็นอิสระและเป็นส่วนตัว คิดดูสิเรือทั้งลำมีคนแค่สามคนเอง เรือที่นี่จะมีทุ่นพยุงด้านข้างเพื่อป้องกันเรือล่ม ดังนั้นเรือจึงซิ่งได้เต็มที่เลย  รีสอร์ทที่นี่เป็นรีสอร์ทขนาดเล็กๆ มีที่นั่งกินข้าวกลางแจ้งซึ่งรวมในค่าบริการแล้ว เราไม่กินแต่ว่าจะไปกินบนเรือรองท้องไปก่อน  เรือจอดอยู่โดยผูกไว้กับทุ่นไม้ไผ่ ทะเลสาบน้ำสะอาดแต่เขียวไปด้วยสาหร่ายเชียว เจ้าคนขับเรืออธิบายว่า ที่นี่อุดมสมบูรณ์มากมีปลาทุกชนิดอาศัยอยู่ และขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ บางหมู่บ้านก็เลี้ยงปลาในกระชังสร้างรายได้เพิ่มเติม ประเทศฟิลิปปินส์นี่อาหารการกินเค้าอุดมสมบูรณ์ดีจัง
 
 เรือโดยสารแบบมีกาบกันล่มซิ่งได้อย่างใจ
 ลีลาแอ็คท่าของคนขับเรือ
 ในทะเลสาบตาอัลยังมีภูเขาไฟที่ยังไม่สงบอีกหลายลูก
                ชายฝั่งบนเกาะภูเขาไฟตาอัลมีหมู่บ้านคนตั้งอยู่มากมาย

ตอนต่อไปคนบ้าพลังจะพาเดินเท้า Trekking ขึ้นภูเขาไฟ Taal Volcano กันนะครับ


               

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่11 อาทิตย์อัสดงลงอ่าวมะนิลา ณ หลังห้างดัง SM Mall of Asia

เราลงที่สถานี EDSA แล้วเดินขึ้นสะพานลอยรายรอบแบบย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วไปลงตรงจุดต่อรถจี๊ปนี่ย์เหมือนเดิม เดินผ่านร้านขายน้ำมะม่วงและก็มาสะดุดที่ส้มลูกโตน่ากินมาก เราเลยซื้อมาโลนึง ราคา60เปโซ กะว่าจะกินผลไม้สักหน่อย หลังจากที่เขมือบแต่อาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน  เราต่อรถจี๊ปนี่ย์ไปลงที่ SM Mall of Asia เหมือนเดิม เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเจ้าจอห์นเพื่อนคนที่นี่ เค้าแนะนำให้ไปดูพระอาทิตย์ตกทะเลที่หลังห้างดังนี้ไงล่ะ เห็นบอกเราว่าสวยกว่าที่ มะนิลาเบย์วอล์คอีก เราไปถึงก็ต้องเดินทะลุห้างไปเรื่อยๆจนสุดทางออกอีกทางหนึ่งแล้วจะเป็นสะพานลอยให้เดินข้ามถนนที่เลียบชายฝั่ง เราต้องเดินข้ามอีกฝั่งเพื่อไปริมทะเล ณ ตอนนี้ท้องฟ้าสีเทา เหมือนพระอาทิตย์จะตกไปตั้งแต่5โมงกว่าแล้วแต่คนที่นี่ยังคงเนืองแน่นอยู่ เค้าพาเพื่อนฝูง แฟน หรือแม้แต่ครอบครัวมานั่งพักผ่อนกันเต็มพื้นที่ไปหมด สวนสนุก สนามเด็กเล่นนั้นขายดีมาก บรรดาพ่อค้าหัวใสต่างก็เข็นรถมาตั้งขายของกันเพียบ เราปีนขึ้นไปนั่งรับลมทะเลยามเย็นเห็นหลายคนถ่ายรูปกันใหญ่ ทันใดนั้นเราก็เหลือบไปมองเศษขยะมากมายที่ทิ้งอยู่เบื้องล่างตามซอกหิน อย่างนี้แหละคนซื้อของกินออกจากห้างบ้าง แถวนี้บ้างออกมานั่งกินไปชมพระอาทิตย์ตกไป เมื่อเขาขาดจิตสำนึกที่ดี พวกเค้าก็จะทิ้งขยะได้ทุกที่ น่าเสียดายทัศนียภาพแห่งการชมพระอาทิตย์ตกเป็นอย่างยิ่ง
 ตะวันลับขอบฟ้าด้านหลังห้าง SM Mall of Asia
 ผู้คนมานั่งรอตะวันตกดินท่ามกลางกลิ่นอายทะเลเย็นๆ
 สวนสนุกมีไว้ให้บริการแก่เด็กๆ ด้านหลังห้าง
แม้ว่าเย็นนี้จะไม่มีอาทิตย์ให้เห็นแต่คนก็ยังมานั่งสูดอากาศกันเยอะ
 ลานจอดรถอันกว้างขวางของห้าง SM Mall of Asia
 สนามเด็กเล่นหลังห้างเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง
 ตะวันลับฟ้าไปแล้วพื้นน้ำกับเมฆเป็นสีเดียวกัน
 แม้ตะวันตกดินไปแล้วแต่ผู้คนก็ยังไม่ไปไหน

พอฟ้าเริ่มมืด ถ่ายรูปไม่ได้แล้ว หาอะไรทานดีกว่า พอกลับเข้ามาในห้างสงสัยเราคงอดกินแล้ว ทุกร้านเต็มไปด้วยผู้คนออกมาทานอาหารนอกบ้าน ลืมไปว่าวันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ เข้าใจล่ะ ไปเรียกแท็กซี่หน้าห้างเหมือนเดิมดีกว่า ขากลับนั่งแท็กซี่มาที่พักจ่ายไปแค่55เปโซ รถติดนิดหน่อยเพราะเป็นเย็นวันศุกร์ เรากลับไปถึงก็โทรนัดเพื่อนจอห์นให้พาไปชมภูเขาไฟ ตาอัล  (Taal Volcano) ที่ทะเลสาบ ตาอัล (Taal Lake) ณ เมืองตะไกไต (Tagaytay City) ให้เค้ามาหาแต่เช้าจะได้ทานข้าวเช้ากันก่อน แล้วค่อยโบกรถตรงหน้าที่พักไปกัน เราถามพนักงานโรงแรมอีกครั้งว่าจะไปเมืงตะไกไตขึ้นรถตรงไหน เค้าก็ชี้มือมาที่ถนนหน้าที่พักเลยบอกว่าคุณสามารถไปดักขึ้นรถได้เลย มันออกทุกครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไปเช้าหน่อยก็ดีคุณจะได้เที่ยวที่นั่นทั้งวัน

เศษขยะทิ้งเกลื่อนกลาดหลังจากกิจกรรมชมพระอาทิตย์ตกสิ้นสุดลง

เราออกไปทานข้าวแถวโรงแรมได้ยินเสียงคนหาบของมาขายตะโกนคำว่า บาลูท บาลูท ซ้ำไปซ้ำมา มันคืออะไรกันนะ แต่พอชะโงกหน้าไปดูใกล้ๆ ไข่ข้าวนี่หว่า (Balout) เค้าอ่านออกเสียงว่า บาลู้ท คนที่นี่นิยมรับประทานกันเป็นอาหารว่าง แค่เห็นก็คาวแล้วตอนเด็กๆไม่รู้ว่ากินไปได้ไงนะ แล้วเราก็เดินต่อไปที่ร้านเดิม ร้าน Mario Restaurant ไปกินอาหารแบบชี้ชี้ (Toro Toro) นั่นเอง มาเที่ยวฟิลิปปินส์ทั้งทีถ้าไม่ได้ทานอาหารแบบนี้ถือว่ายังมาไม่ถึงนะ เราสั่งข้าว1จานมาทานกับผัดผักบุ้งและต้มข่าปลาใส่ขนุนอ่อน รสชาติออกหวานทุกจานอีกแล้ว พอคิดเงินออกมาก็ราคาเดิมคือ 68เปโซ จานั้นเราก็ไปทานไอศกรีมร้านแมคโดนัลต่อ แล้วก็เดินกลับ
ระหว่างทางเราจะกลับผ่านเส้นโลกีย์ร้านเริ่มเปิดให้บริการแล้ว บรรดาสาวบาร์ต่างนุ่งน้อยห่มน้อยออกมายืนเรียกแขก ใครแต่งตัวดีหน่อยก็ย่อมโดนฉุดกระชากลากถูหน่อยเป็นธรรมดา มีหนุ่มยุ่นคู่หนึ่งหน้าตาดีอายุยังน้อยสะพายเป้แบบแบ็คแพ็คเกอร์ สาวบาร์ปรายตามองปรู๊ดก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่หนุ่มปินอย พวกเธอกุลีกุจอเข้าไปกึ่งลากกึ่งเชิญให้เข้าร้าน แต่หนุ่มยุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วเดินจากไป สาวบาร์คงนึกเสียดายยิ่งนัก แหมเกือบจะจับได้แล้วเชียว  พอกลับมาถึงที่พักเจ้าจอห์นเพื่อนเราแวะมารออยู่นานแล้ว เค้าบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปชมภูเขาไฟ และจะมารับแต่เช้า เราน่ะเหรอ ดีใจมาก มีคนช่วยหารค่าใช้จายแล้ว55

ตอนต่อไปจะพานั่งรถออกไปนอกเมืองมะนิลา ไปชมความงามของชนบทแบบฉบับปินอยกันนะครับ

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่10 Makati City ที่สุดแห่งย่านหรูใจกลางกรุงมะนิลา

                คงไม่มีบทความใดที่เขียนถึงย่านมากาติซิตี้  เพราะคงไม่เน้นทัวร์ช้อปปิ้ง ด้วยเห็นว่าการมาท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องทานข้าวเดินห้างหรอก แต่เราก็จะเขียนเพื่อเผยแพร่ว่าในเมืองมะนิลาไม่ได้มีแต่ย่านเสื่อมโทรมแต่ย่านหรูหราระดับห้าดาวก็มีกับเค้าเหมือนกัน
                รถเมล์ใช้เวลาวิ่งบนถนนยานร่วมชั่วโมงจนคล้อยบ่าย รถแล่นผ่านย่านธนาคารใหญ่ๆ ล้วนอารักขาด้วยยามอย่างหนาแน่น จุดนี้เราไม่เห็นคนแต่งตัวแย่ๆ หรือคนไร้บ้านมานอน คงเป็นจุดที่มีการจัดระเบียบสังคมล่ะมั้ง  ย่านธุรกิจเต็มไปด้วย โรงแรมห้าดาวและห้างสรรพสินค้า ผู้โดยสารเริ่มทยอยลงจากรถจนจวนจะหมดคันก็ยังไปไม่ถึงเจ้าอายาล่าเซ็นเตอร์นี่เลย พอเราถามพนักงานเก็บเงินเค้าบอกใกล้ถึงแล้วอีกแค่สองป้าย พอรถถึงเท่านั้นแหละคนลงรถกันเกือบเกลี้ยงคันเลย มันคงใกล้จะสุดสายรถคันนี้แหละมั้ง  เราลงจากรถหน้าห้างใหญ่ Rustan  ความจริงย่านนี้บนถนนเส้นเดียวกันมีห้างอีกเยอะมากทั้งห้าง Rustan, Glorietta, Greenbelt, SM Mall, Shangkrila พอลงมาถึงหน้าห้างมีแต่คนแต่งตัวดีดีเดินกันทั่ว เสียงท้องร้องเตือนอีกครั้ง เราจะทานร้านไหนดีนะ ร้านอาหารอิตาเลียนถึงคนไม่เยอะแต่ก็น่าจะรอนาน ฝั่งตรงข้ามนี่สิร้านจอยลี่บี (Jolliebee) เจ้าผึ้งน้อยแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดท้องถิ่นนั่นเอง อยากลองชิมสักครั้งว่าเหตุใดไยคนฟิลิปปินส์ถึงโปรดปรานเจ้าอาหารฟาสต์ฟู้ดแบรนด์นี้นัก เราเหลือบมองเมนูมีทั้งเซ็ทไก่ทอด สปาเก็ตตี้ ข้าวไก่ทอด มะกะโรนี เบอร์เกอร์ ฯลฯ เมนูน่าทานทั้งนั้นเลย เราสั่งเซ็ทสปาเก็ตตี้ เบอร์เกอร์ไก่ กับโค้กมากิน ราคาประมาณ 88เปโซ ไม่แพงหรอก เมื่อเทียบกับปริมาณที่มาเต็มจาน เราตั้งใจว่าจะกินแค่สปาเก็ตตี้แล้วจะเก็บเบอร์เกอร์ไว้กินกลางทาง แต่ความหิวไม่ปรานีใครทำให้เราต้องกินเบอร์เกอร์ชิ้นนั้นต่อเนื่องไปเลยจนหมดชุดใหญ่


 ร้านอาหารอิตาเลี่ยนสุดหรูในห้าง Rustan's
 Jollibee Fast Food ชื่อดังประจำท้องถิ่น
 ห้างขายยาแบบแฟรนไชส์ประจำท้องถิ่น
 ภายในห้างตอนบ่ายวันศุกร์คนกำลังดีไม่แน่นเกินไป
 รถติดหน้าห้างดังย่านมากาติ
ดิสเพลย์สวยๆหน้าห้าง


 พออิ่มแล้วเราก็เดินชมของสวยงามต่อ พบว่าสินค้าบางยี่ห้อบางแบรนด์ก็ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทยแต่ที่นี่ดันมี เออมันน่าแปลกมากๆ โดยเฉพาะพวกข้าวของราคาแพงเนี่ย ไม่ได้มีแค่บูติกเดียวนะ แต่พอถัดไปอีกหัวถนนหนึ่งก็มีบูติกแบรนด์นี้อีก ราวกับว่าจะตั้งขึ้นเพื่อดักลูกค้าทุกทิศทาง  เราไม่พลาดที่จะเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อไปซื้อมะม่วงอบแห้งของฝากอันขึ้นชื่อนั่นเอง เราทดลองเลือกซื้อห่อเล็กๆมากินก่อนจะได้เลือกซื้อได้ถูกว่าจะซื้อยี่ห้อไหนกลับไปเป็นของฝากคนอื่นดี เราซื้อมะม่วงอบแห้งจากซุปเปอร์ของห้าง SM Mall เพราะราคาขายต่ำสุดแล้ว แล้วเราก็หิ้วถุงช้อปปิ้งออกมาถ่ายรูปอาคารห้างแถวย่นนั้น เรียกว่า Ascott Makati ถ่ายไปได้สักพัก ยามสองคนก็เดินเข้ามาประกบท่าทางขึงขัง บอกว่าที่นี่ไม่ให้ถ่ายรูปนะครับ คุณมีใบอนุญาตมั้ย เราเลยบอกว่าไม่รู้ว่าห้ามถ่าย ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะลบภาพห้างทั้งหมดในเมมโมรี่ พร้อมกับหยิบกล้องมาทำท่าจะลบ เค้าเลยบอกไม่เป็นไรแล้วถามต่อว่าเป็นนักศึกษาเหรอ เราก็เลยเออออตอบไปเลยว่าใช่ และกำลังฝึกวิชาถ่ายรูปอยู่ 555
 จุดเรียกรถแท็กซี่ด้านหลังห้าง Glorietta
 Glorietta ห้างสรรพสินค้าแหล่งรวมสินค้าแบรนด์เนมมากมาย
ตัวอย่างบูติกสุดหรูในห้างดังย่านมากาติ
คอนโดหรูๆย่านมากาติ

 โรงแรมหรูย่านมากาติด้านขวามือ
 Hard Rock Cafe ก็มีให้เห็นที่นี่
ด้านซ้ายมือคือโรงแรมแชงกรีล่า มากาติ
และแล้ววีรกรรมการเนียนได้อีกก็ต้องรีบเผ่นออกจากพื้นที่ไป ขากลับเราออกจากห้างประมาณห้าโมง คนเริ่มเลิกงานกันแล้ว ตามท้องถนนนี้แน่นเชียว แถมฝนก็ยังปรอยลงมาอีกอะไรกันนักหนานเนี่ย รถเจ้ากรรมก็ติดทันทีเลย สุดท้ายก็ต้องเดินไปสถานี MRT อันนี้จะเป็นคนละสายกับ LRT นะ สถานีนี้อยู่ติดห้างเลยชื่อว่าสถานี Ayala เดินทางอีกแค่2สถานีก็ถึงสถานี EDSA เจ้าเก่าแล้ว เมื่อเราก้าวขึ้นบนชานชาลาเท่านั้นแหละ แม่เจ้าคนแน่นมากๆ แน่นสุดๆ เพราะต้องต่อคิวซื้อตั๋วจากโต๊ะเจ้าหน้าที่เท่านั้น ทุกคนกอดกระเป๋าตัวเองเน่นเชียว ค่าโดยสารเดินทาง2สถานีราคาแค่10เปโซเอง รถมาจอดเทียบกว่า3คันเราถึงได้ไปคันที่สามรอนานเลย ดีนะที่รถไฟMRT นี่สภาพใหม่กว่าและแอร์เย็นกว่าLRT แต่รางรถไฟกลับวางอยู่ในระนาบเดียวกับพื้นผิวถนนเลย ไม่ยกระดับแฮะ เป็นรางโรยกรวดแบบโบราณ ปล่อยกระแสไฟฟ้าด้านบนหลังคา พอรถเลยย่านมากาติมาได้สักพักก็เจอย่านสลัมเต็มสองข้างทางรถไฟฟ้าเลย เป็นความแตกต่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีให้เห็นที่นี่

ยามเย็นรถราย่านมากาติเริ่มคับคั่ง
ตอนต่อไปจะพาทุกท่านมาดูงานอดิเรกยามเย็นของชาวเมืองมะนิลากันครับ ว่าเค้าทำอะไรกัน

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่9 ทอดอารมณ์เรื่อยเปื่อย เหมือนวันเวลาหยุดนิ่ง ณ Manila Baywalk

                รถราวิ่งขวักไขว่บนถนน8เลนที่เรียกว่าบูเลอวาร์ด แต่ละคันล้วนเป็นรถหรูในขณะที่คนเดินถนนเสื้อผ้าขาดวิ่น บ้างไร้บ้าน ความเหลื่อมล้ำทางสังคมยังคงเกิดขึ้นทุกพื้นที่ไม่ว่าจะปกครองด้วยระบอบใดก็ตาม ยิ่งเป็นระบบทุนนิยมด้วยแล้วความเหลื่อมล้ำเช่นนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ
บนลานน้ำพุซึ่งติดกับถนน Roxas Boulevard มีน้ำพุไหลเย็น หลายคนที่อยู่แถวนั้นนำขวดน้ำไปตักน้ำดื่มหน้าตาเฉย เด็กบางคนลงไปแหวกว่าย แม่อาบน้ำให้ลูกพลันให้นึกถึงน้ำพุย่านสะพานพุทธฯ ที่เวลาเราไปเดินแถวนั้นจะต้องอุดจมูกด้วย ติดกับลานน้ำพุมีภัตตาคารอาหารฟิลิปิโนอันมีนามว่า อริสโตแครท (Aristocrat) ราคาแพงใช้ได้อยู่ ได้กลิ่นอายลมทะเลโชยพัดเข้าจมูกเป็นระยะ ก็เจ้าถนนสายนี้แหละที่ช่วงหนึ่งเป็น มะนิลาเบย์วอล์ค (Manila Baywalk) ให้ได้เดินทัศนาหลายกิโลเมตร ที่นี่มีทุกอย่างให้ชม ตั้งแต่รูปปั้นริมทาง งานศิลปะ ร้านอาหารริมทางแต่มักจะเปิดตอนเย็นๆ คนตกปลา ชมรมจักรยาน ฯลฯ  ก็เพราะว่าที่นี่นั้นติดทะเลเลย ซึ่งเรียกว่าอ่าวมะนิลา แม้ว่าสีน้ำไม่สวยใสกลิ่นไม่โสภานักแต่ก็มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลราวกับว่าเดินอยู่ในเมืองตากอากาศชายทะเลได้เลยทีเดียว
 รูปปั้นสวยๆ ริมอ่าวมะนิลา
 น้ำพุแห่งนี้มีคนมาตักน้ำไปกินด้วย
 รูปปั้นหน้าตาคล้ายเทพโพไซดอน
 ถนน8เลนริมมะนิลาเบย์ มีทางม้าลายให้ข้ามถนนแบบว่ากว้างมาก
คุณแม่ลูกอ่อนเลี้ยงลูกทั้งสามตามลำพังบนถนนสายนี้

ที่นี่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงควักกล้องออกมาถ่ายรูปได้สบาย แต่สัญชาตญานก็ต้องระวังตัวบ้างแหละน่า ลืมไม่ได้ที่จะเหลียวซ้ายแลขวาก่อนยกกล้องขึ้นมาเล็ง เมื่อเดินผ่านกลุ่มผู้คนที่มาทำกิจกรรมนั้นเราก็ผ่านท่าเรือที่มีเรือยอร์ชลำหรูจอดมากมาย บริเวณนั้นเหม็นกลิ่นน้ำมาก เรือลำหรูของผู้มีอันจะกินจอดอยู่เต็มไปหมด อ้อมันคือ Manila Yatch Club นั่นเอง คลับเรือยอร์ชสุดหรูที่คนมีอันจะกินจะต้องฝากจอดเรือไว้แล้วพอจะเดินทางถึงค่อยมาใช้บริการ ค่าสมาชิกรายปีคงแพงระยับ
งานตกปลาน่าจะเป็นงานหลักของคนแถวนี้
หลากอารมณ์กับคนตกปลาริมอ่าวมะนิลา
 เรือหาปลาแบบมีกาบกันคว่ำด้านข้างอันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น
 รูปปั้นแนวครอบครัวอบอุ่นริมถนน
 เด็กน้อยนั่งจับกบ (ท่าเหมือน)
เรือยอร์ชลำหรูจอดอยู่ในบริเวณที่น้ำเน่าเสีย
Manila Yatch Club

                ชีวิตผู้คนบนมานิลาเบย์เหมือนหยุดนิ่ง ไม่มีใครรีบเร่ง คนตกปลาเค้าก็ตกของเค้าไปเรื่อยๆ คนนั่งชมทะเลก็นั่งเฉยๆ บ้างก็พูดคุยกันเป็นกลุ่มๆ พอเราเดินไปอีกนิดก็จะผ่านภัตตาคารลอยน้ำ และกรมทหารเรือเค้าพักกลางวันพอดีเลย เดินอีกนิดก็จะผ่านโรงละครแห่งชาติซึ่งตอนนี้ไม่มีงานแสดงใดๆ สัญญาณความหิวเริ่มมาเยือน มองไปโดยรอบก็ไม่เห็นมีร้านอาหารแบบโตโรโตโร (Toro Toro) ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า Point point หรือ ชี้ ชี้ นั่นเอง ซึ่งก็คือข้าวราดแกง ไม่มีร้านแบบนี้ให้เราเห็นบนถนนเส้นนี้เลย ร้านขายอาหารริมทางก็จะเปิดให้บริการแต่ตอนเย็นเท่านั้น ทำไงดีล่ะตอนนี้ หิวก็หิวนั่งรถไปกินในห้างดีกว่า

 สมาคมคนตกปลานั่งพักผ่อนหย่อนใจ
เสาไฟรูปแบบต่างๆริมทางเดิน
สมาคมจักรยานแห่งมะนิลาเบย์วอล์ค
 ทิวมะพร้าวให้ร่มเงาในยามเที่ยง ทำให้เดินเล่นแล้วไม่ร้อนเลย
งานศิลปะตกแต่งตามทางเดินมีให้เห็นทั่วไปบนถนนสายนี้

                แล้วเราก็ยืนรอรถตรงหน้ากองทัพเรือนั่นแหละ มีหลายคันวิ่งผ่านไปตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับไปทานข้าวแถวบัคคลาราน แต่พอเอาแผนที่มากางมันอ้อมมากหากจะเดินทางไปย่านมากาติ (Makati) ต่อ เรานั่งรถไปลงกลางทางดีกว่าแล้วค่อยต่อรถเมล์ไปย่านธุรกิจกลางเมือง เราโบกรถจี๊ป ไม่มีคันไหนไปมากาติสักคัน  จนในที่สุดก็มีรถตู้มาจอดคันนึงเราเลยถามว่าไปมากาติได้มั้ย เค้าบอกไม่ได้ไปแต่จะไปส่งตรงจุดที่ต่อรถไปมากาติได้ เราตอบตกลง โอ้แอร์รถเย็นมากมันคือรถตู้โดยสารประจำทางแบบบ้านเรานี่เอง ผู้โดยสารก็น้อยนิดมิน่าเล่าถึงรีบรับเราขึ้นรถ เค้าเริ่มสนทนากับเราเค้าถามว่าไม่ใช่คนฟิลิปิโนหรอกหรือ เราตอบว่าไม่ใช่เป็นคนไทย เค้าตอบมาหน้าตาเหมือนคนที่นี่เลย เราเลยเล่าต่อถึงเรื่องรถติดว่าเหมือนบ้านไอที่บางกอกเลยนะ รถติดแบบนี้ไอชินแล้ว รถตู้วิ่งฝ่าการจราจรที่ติดขัดยามเที่ยงวันศุกร์ผ่านแยกแล้วแยกเล่าจนมาถึงจุดสี่แยกใหญ่คนขับรถบอกให้ลง เค้าแนะให้ข้ามถนนแล้วไปขึ้นรถเมล์ที่สี่แยกแล้วดูป้ายหน้ารถว่าคันที่ไป Ayala Ave. “อายาล่า เอฟเวนิว นั่นแหละ ค่าโดยสารรถเพียง20เปโซ คุ้มค่ากับแอร์เย็นเฉียบจริงๆ
อาคารสถานที่ราชการริมถนนRoxas ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินแห่งชาติ

                เราเดินข้ามถนนไปรอรถเมล์ที่ถนนตรงจุดตัดย่านนี้ใช้ได้นะ ไม่ค่อยเป็นแหล่งเสื่อมโทรมสักเท่าไหร่ ดูแล้วปลอดภัยกว่าย่านที่เราพักนัก รถเมล์แอร์คันนึงวิ่งผ่านมาป้ายรถเขียนคำว่า Ayala Centerใช่แน่นอนเลยคันนี้มันต้องไปห้างที่เรียกว่า อายาล่า เซ็นเตอร์  เราโบกให้รถจอดแล้วเดินขึ้นรถไป รถเมล์ที่นี่ไม่ได้ทันสมัยเป็นระบบหยอดเหรียญเหมือนที่สิงคโปร์นะ เค้ายังเป็นระบบพกส.อยู่เลย ระบบพนักงานเก็บสตางค์นั่นเอง เจ้าหน้าที่จะมาถามเราว่าลงไหน ถามเป็นตากาล็อกด้วย เราตอบอยาล่าเซ็นเตอร์ เค้าก็ฉีกตั๋วให้ราคาประมาณ15เปโซ เลยถามเค้าต่อว่าอีกไกลมั้ยกว่าจะถึง เค้าบอกถ้าถึงเดี๋ยวเค้าเรียกเอง 

ตอนต่อไปจะพาทุกท่านมาสัมผัสย่านหรูใจกลางกรุงมะนิลาอันมีนามว่า Makati City