วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่ 7 ตะลุยตลาดอาหรับ ยามเช้า

                เมื่อคืนเราไปเดินช้อปปิ้งย่านถนนออชาร์ดเสียจนเมื่อยขา สินค้าลดราคามีน้อยแล้ว เพราะเป็นช่วงปลายฤดูเซลแล้ว เมื่อคืนกลับมาถึงที่พักประมาณ5ทุ่มกว่าได้ เราเดินจนวินาทีสุดท้ายที่ห้างไล่ปิด โดยไม่ลืมที่จะซื้อเค้กมาเป็นเสบียงแช่ตู้เย็นไว้ทานยามเช้าด้วย ที่ตู้เย็นจะมีกฎประกาสิทธิ์เขียนไว้ว่า ห้ามหยิบอาหารของคนอื่นไปทานและกรุณาเขียนชื่อตนเองลงบนถุงด้วย เพื่อป้องกันปัญหานี้
                เช้ามาเราตื่นนอนทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เดินตรงไปที่ล็อบบี้ไปเปิดตู้เย็น เค้กของเราไม่หาย ว่าแล้วก็หยิบขึ้นมาจัดใส่จานทานร่วมกับอาหารเช้าอย่างอร่อย กลายเป็นมื้อเช้าที่แสนไฮโซ ผิดกับโต๊ะอื่นที่ทานขนมปังปิ้งทาแยมกับไข่ต้มธรรมดา ต่างมองจานเราที่มีทั้งบลูเบอรี่ชีสเค้ก และช็อคโกแลตฟัดจ์  คงสงสัยว่าทานหมดไปได้ยังไง
                เรากลับไปเก็บข้าวของ เก็บผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเพื่อนำมาส่งที่ล็อบบี้ และฝากกระเป๋าไว้ที่นั่นเพื่อเตรียมขึ้นเครื่อง เขาคิดค่าฝากจนถึง5ทุ่ม คิดเป็นเงินประมาณ$6 แหมที่นี่คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด  พอเราเช็คเอ๊าท์พร้อมคืนกุญแจล็อคเกอร์ เราก็จะได้เงินค่ามัดจำกุญแจคืน พอฝากของในห้องฝากของเรียบร้อย เราก็กางแผนที่แล้วเดินต่อไปย่านอาหรับสตรีท หรือที่เรียกว่าย่าน Kampong Glam (กำปง กลาม) เดินจากที่พักได้ไม่ไกลนัก แต่อากาศนี่สิร้อนได้ใจเลย  เราเดินผ่านมัสยิดขนาดใหญ่ และเดินผ่านร้านค้าซึ่งส่วนใหญ่ยังปิดอยู่ แวะเข้าไปในร้านเครื่องหอมแป๊บนึง มีน้ำหอมจากแดนอาหรับมาวางขายมากมาย มีทั้งตะเกียงจุดเครื่องหอม กำยาน ฯลฯ ของอาหรับเค้าว่าทำน้ำหอมกลิ่นกุหลาบได้ดีที่สุด  ราคาเครื่องหอมในร้านค่อนข้างสูง

 มัสยิดขนาดใหญ่มีชื่อว่า Sultan Mosque
 Arab Street ยามเช้า หอมกรุ่นกลิ่นกาแฟโชยมาเตะจมูกเป็นระยะ
ร้านค้าทาสีสันแสบตามีให้เห็นทั่วไปที่นี่

                เราเดินออกมาแวะไปเข้าห้องน้ำที่ Malay Heritage Center ซึ่งยังไม่เปิดให้บริการลูกค้า เป็นศูนย์แสดงวัฒนธรรมแบบเปรานากัน (Peranakan) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมร่วมระหว่างจีนและมาเล ซึ่งจะมีการแสดงเป็นรอบๆ ช่วงเย็น เราไม่มีเวลามากนัก
เลยเดินต่อไปตามถนนที่จะพาไปสถานีใต้ดิน ผ่านย่านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ผ่านสวนสาธารณะ จนลงอุโมงค์ที่สถานี Lavender ซึ่งเป็นสายตะวันออก เพื่อต่อรถไปยังสถานี Boon Lay ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้สวนนกจูร่งมากที่สุด แต่ทั้งนี้เราจะต้องต่อรถเมล์ไปอีก เพื่อเข้าไปยังสวนนกแห่งนี้
 ร้านกาแฟริมถนนยามเช้าย่าน Kampong Glam
 ร้านขายเครื่องหอมของอาหรับอันขึ้นชื่อ
Malay Heritage Centre

                รถใต้ดินวิ่งยาวประมาณเกือบชั่วโมงจากใต้ดินจนโผล่ขึ้นเหนือดินเมื่อวิ่งออกนอกเมือง ผ่านกลุ่มอาคารพักอาศัย ที่ปลูกอย่างหนาแน่นทาสีสดใส พร้อมติดธงชาติสิงคโปร์ทุกอาคาร ภายใต้ความแน่นหนานั้นยังแมไผด้วยพื้นที่สีเขียวซึ่งมีสวนหย่อม สระว่ายน้ำ และสนามบาส แทรกอยู่ข้างตัวอาคารทุกที่ มิน่าคนสิงคโปร์ถึงมีคนอ้วนน้อยมาก เพราะมีการส่งเสริมการออกกำลังกายใกล้ๆกับแหล่งที่พักนั่นเอง รถพาวิ่งผ่าน Chinese Garden ซึ่งมีเก๋งจีนตั้งเด่นสง่าอยู่  ในที่สุดรถก็พามาถึงสถานี Boon Lay อันมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แน่นอนล่ะ เราต้องฝากท้องไว้กับศูนย์อาหารอีกตามเคย มื้อนี้เราได้กินข้าวมันไก่สมใจ  ข้าวมันไก่ที่นี่ไม่เหมือนกับที่บ้านเรานะ เค้าจะแยกไก่กับข้าวมาคนละจาน ไก่เค้าจะไม่แห้งและโปะมาบนถั่วงอกลวกกับน้ำซีอิ๊ว และข้าวมันมาอีกจานหนึ่ง แต่ข้าวของเค้าจะไม่มันเท่ากับข้าวของไทย ส่วนน้ำจิ้มพริกเผานั้นอร่อยมากๆ
                ทานเสร็จเราก็ไปต่อรถที่ชั้นใต้ดินของห้างที่นั่น Boonlay Bus Interchangeจะคล้ายกับท่ารถไปต่างจังหวัดของบ้านเรา มีการยืนเข้าคิวเพื่อรอรถ และยังไม่เปิดทางให้เข้าจนกว่ารถเมล์จะมาเทียบท่า ส่วนการซื้อตั๋วนั้นจะต้องไปซื้อที่จุดจำหน่ายตั๋วก่อน หรือจะหยอดที่กระป๋องหน้ารถก็ได้ แต่ต้องหยอดให้พอดี เพราะเค้าจะไม่ทอนตังค์ให้เรานะ  เรานั่งสาย194 เพื่อไปลงที่สวนนก รถจะพาวิ่งผ่านนิคมอุตสาหกรรม มีโรงงานใหญ่ๆมากมาย แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์รถเลยเบาบาง รถเมล์ใช้เวลาแค่15นาทีก็พาเรามาถึงหน้าสวนนกซึ่งสุดสายของรถเมล์พอดี
ตอนหน้าจะพาทุกท่านชมสวนนกอย่างละเอียดนะครับ

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่ 6 เกาะละลายทรัพย์มีนามว่าเซนโตซ่า

                บ่ายนี้เราจะพาทุกท่านไปยังเกาะละลายทรัพย์อันมีนามว่าเซนโตซ่า Sentosa ถ้าแปลตรงตัวตามภาษามลายู จะแปลว่าเกาะแห่งความตาย เกาะนี้ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของสิงคโปร์ ได้ส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของสิงคโปร์ มีกิจกรรมมากมายให้ทำที่นี่ ตั้งแต่สวนสนุก พิพิธภัณฑ์ เครื่องเล่นต่างๆ สวนน้ำ ชายหาด ตลอดจนโรงถ่าย Universal Studio และล่าสุดที่จะเปิดให้บริการคือ Resort World Sentosa
            เรานั่งรถใต้ดินจากสถานีไชน่าทาวน์ มาลงที่สถานี Harbour front เป็นสถานีปลายทางที่จะสามารถต่อรถหรือพาหนะอื่นๆ ข้ามไปยังเกาะเซนโตซ่าได้ ซึ่งมีทั้งรถเมล์สีส้มปรับอากาศ รถกระเช้า และโมโนเรล แต่เราจะเลือกเป็นโมโนเรลเพราะประหยัดที่สุด แค่ $2.90  พอเราโผล่จากใต้ดินก็เจอห้าง Vivo City เป็นห้างย่านชานเมือง มีวัยรุ่นสิงคโปร์เดินเยอะ ได้การละ เรามาถึงใกล้เที่ยงขอกินข้าวซักหน่อย ที่นี่มีศูนย์อาหารอยู่ชั้นบนสุด ซึ่งสามารถชมวิวเกาะเซนโตซ่าได้จากระเบียงด้านนอก ด้านนอกมีลานกิจกรรม มีกิจกรรมรับน้องจากหลายที่  เราไปต่อแถวสั่งอาหารเป็นอาหารอินโดนีเซีย ซึ่งมีทั้งสะเต๊ะและข้าวแกง เราสั่งข้าวแกงอินโดที่มีชื่อว่า Nasi Rames เป็นข้าว Nasi อ่านว่า นาสิ แปลว่าข้าว จานนี้จะเป็นข้าวราดแกงแพะ มีน้ำพริกแบบอินโดนีเซียแกล้ม รสเผ็ดมาก รับประทานแนมกับปลีกล้วยต้มและผัก จานนี้รสชาติอร่อยและจัดจ้านมากๆ ราคา $3.90

 Resort World of Sentosa being underconstructioned
 Cable car รถกระเช้าที่ข้ามไปยังเกาะเซนโตซ่า ราคาประมาณ $15 ไปกลับ
 กิจกรรมรับน้องที่มักจะจัดขึ้นในห้างสรรพสินค้า
 ด้านข้างของสถาปัตยกรรมห้าง Vivo City
Nasi Rames อาหารพื้นเมืองอินโดนีเซีย


                ทานข้าวอิ่มแล้วก็เดินทัพต่อ เราเดินไปต่อแถวซื้อตั๋วรถโมโนเรลไปเซนโตซ่า สถานีปลายทางอยู่ที่ชายหาด คนต่อแถวรอซื้อตั๋วยาวเหยียดเนื่องจากตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติเสีย เลยกลายเป็นการขายแบบอัตโนมือโดยเจ้าหน้าที่แทน  แต่ช่างเหอะความสนุกบนเกาะรออยู่ตรงหน้า เรารอรถไม่นานคนก็ทะยอยอัดขึ้นรถจนเต็มเป็นปลากระป๋อง แน่นจนแทบจะไม่มีที่ยืน  รถโมโนเรลพาเราข้ามเกาะ มองลงไปแลเห็นเรือสินค้าจอดอยู่มากมายและเห็น Resort World Sentosa ที่กำลังก่อสร้างอยู่จวนจะเสร็จ และคิวยาวเหยียดที่เห็นอยู่เบื้องล่างคือคนรอเข้าชม Universal Studio คิวยาวร่วมกิโล เห็นแล้วถอยเลย  บริเวณสถานี Imbiah ตรงเมอร์ไลออนยักษ์ก็กำลังปิดปรับปรุง มีพิพิธภัณฑ์ให้ชมด้วย มีชื่อว่า Images of Singapore ค่าเข้าชมคนละ $10 เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต มีการจัดแสดงวัฒนธรรมต่างๆ และร้านขายของที่ระลึกราคาแพงยิบ นอกจากนี้ยังมีหอชมวิวที่สูงมากชมวิวได้ถึง 360องศา ค่าขึ้นชมไม่ต้องพูดถึงคนละ $12 มีโรงหนัง 4มิติค่าเข้าชมคนละ $16 สวนผีเสื้อและแมลงค่าเข้าชมคนละ $10 สนามโกคาร์ทเล่นครั้งละ $9 ภัตตาคารสุดหรู ฯลฯ ไว้คอยละลายทรัพย์นักท่องเที่ยว หากเดินเที่ยวบนเกาะเซนโตซ่าแล้วพบป้ายที่เขียนว่า Imbiah เยอะมากๆ แปลตรงตัวคือ Look out ! คือสิ่งที่น่าสนใจควรค่าแก่การหยุดชมนั่นเอง

 Monorail พาหนะที่ราคาถูกและใช้เวลาน้อยที่สุดในการเดินทางไปSentosa
 ซุ้มประตูที่สวนแห่งนี้ เมื่อครบ1ชั่วโมง จะมีเสียงระฆังและเพลงดังกังวานแบบไม่ซ้ำกันเลย
 เสี้ยวหนึ่งของผู้เข้าชมโรงถ่าย Universal ต้องต่อคิวยาวร่วมกิโลในช่วงบ่าย
Resort World Sentosa เป็นสวนน้ำและสวนสนุก รวมถึงรีสอร์ทอย่างครบวงจร

                รถพาไปจอดที่สถานีปลายทางคือชายหาด เรากำลังจะไปชมจุดสมมติที่เค้าว่ากันว่าเป็นปลายสุดของทวีปเอเชียหรือ Southernmost Point of Asia ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายหาด Palawan จุดนี้จะเป็นสะพานไม้ทอดยาวข้ามชายหาดไปยังเกาะที่เค้าทำขึ้น ข้างบนสร้างเป็นประภาคารไม้สูงเทียมตึก4ชั้น ไว้ให้คนขึ้นไปชมวิว หากบรรยากาศดีก็จะมองไปได้ไกลถึงเกาะหลายเกาะในอินโดนีเซียเลยทีเดียว  พอเดินข้ามสะพานกลับมาก็เจอกับกิจกรรมชายหาดหลากหลายรูปแบบ ทั้งวอลเลย์บอลชายหาด ฟุตบอล กิจกรรมรับน้อง และการซ้อมกีฬาแล่นพาย คนที่นี่เค้าช่างใช้เวลาว่างที่มีในวันหยุดได้คุ้มค่าจริงๆ  ขนาดชายหาดซึ่งเป็นชายหาดเทียมยังมีคนลงเล่นน้ำมากมายเลย  ที่นี่มีรถบริการวิ่งแต่ละชายหาดทั้งหมด3ชายหาด บริการฟรี วิ่งระหว่างหาด Tanjong  Palawan และ Siloso หาดSiloso จะมีการแสดงแสงสีเสียงและน้ำพุเต้นระบำหรือ Song of the Sea ให้ชมฟรีในช่วง 19.40น. และ 20.40น.  แต่เราคงไม่อยู่ดึกขนาดนั้น เพราะไม่รู้จะไปชมอะไรต่อเพื่อคั่นเวลา Underwaterworld & Dolphin Lagoon  หรือพิพธภัณฑ์สัตว์น้ำและชมการแสดงของโลมา ค่าเข้าชมรวมประมาณ $36 แถวนั้นมีกระเช้าขึ้นเขาให้เล่น มีสวนสนุก ร้านขายของที่ระลึกที่ราคาเห็นแล้วจับไม่ลง เคยมาหลายครั้งพอครั้นจะซื้อ คนข้างๆจะคอยสะกิดบอกว่าไม่เห็นมีอะไรเลยแพงเปล่าๆ เป็นอย่างนั้นไปเสมอ  เรานั่งรถรางกลับมาที่ เมอร์ไลออนยักษ์ซึ่งปิดปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมด อดแชะภาพอีกแล้วเรา ต้องนั่งรถต่อมาข้ามฝั่งกลับห้าง Vivo City อย่างเดิม  ยังพอมีเวลาเหลือเพิ่งจะบ่ายสี่ ว่าแล้วกลับอาบน้ำแต่งตัวออกไปช้อปปิ้งดีกว่า
หากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเกาะเซนโตซ่าเพิ่มเติม สามารถไปอ่านได้ที่ http://www.sentosa.com.sg/
 The Southernmost Point of Asia
 เมอร์ไลออนยักษ์และหอคอยชมวิว
 มุมถ่ายรูปบริเวณ Point of Asia
 กระเช้าขึ้นเขาบริเวณร้านขายของที่ระลึก
 วงแหวนจากการเป่าควันสีดำลอยขึ้นท้องฟ้า ช่างเข้าใจทำเนอะ
 บริเวณสะพานข้ามจากชายหาดมุ่งไป Point of Asia
 หลากกิจกรรมบนชายหาดที่ยอดฮิตคือฟุตบอลชายหาด
นักกีฬากับการฝึกซ้อมกระดานโต้คลื่น

ตอนหน้าพบกับการตะลุยตลาดอาหรับยามเช้า

 

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่ 5 สิงคโปร์เมืองตื่นสาย

                เมื่อคืนเรานอนหลับๆตื่นๆ ด้วยว่าย่านที่เรานอนเป็นย่านราตรี มีผับบาร์มากมาย เสียงเพลงดังเล็ดลอดมาตามช่องหน้าต่าง พร้อมกับเสียงคนเมาเป็นระยะ พอเช้ามาทุกอย่างเงียบสนิท ผมตื่นเจ็ดโมงกว่าลุกขึ้นมาอาบน้ำ หลายเตียงที่เป็นฝรั่งเสียส่วนใหญ่ยังนอนหลับอุตุ สงสัยพวกเค้าคงกลับมาดึก  เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงไปข้างล่างไปไขล็อกเกอร์เอาของมีค่าเท่าที่จำเป็นพร้อมกล้องออกมา เราเดินไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมเค้าจัดให้ฟรี เป็นไข่ต้มคนละใบ กาแฟต้องชงเอง และมีขนมปังเตรียมไว้ให้ซึ่งทั้งหมดจะต้องบริการตนเองและล้างจานด้วยตนเองด้วย ห้องกินข้าวมีทีวีให้ดูและอินเตอร์เน็ตให้เล่นฟรี  กว่าร้อยละ90เป็นชาวตะวันตกที่เข้ามาพักทานอาหารเช้าแบบบริการตนเองกันอยู่ บ้างก็นอนเอกเขนกดูทีวี ที่ล็อบบี้มีขายโปรแกรมทัวร์ Universal Studio ในราคาพิเศษรวมตั๋วแลกซื้อของที่ระลึก $68 เราก็สนใจอยู่เพราะราคาถูกกว่าซื้อตั๋วหน้างานซึ่งแพงเกิน $75 แต่พอคิดอีกทีเอาเงินไปช้อปปิ้งดีกว่ามั้ง
Abdul Gafur Mosque

                  เราเดินออกจากที่พักผ่านมัสยิดที่อยู่ใกล้ๆ คือมัสยิด Abdul Gafur สวยแบบเรียบง่าย และเดินผ่านตลาดที่ยังคงหลับเพราะเช้าอยู่ เดินผ่าน Shop house ที่มีสีสันฉูดฉาดอันเป็นเอกลักษณ์ของสิงคโปร์ เราเดินลงใต้ดินที่สถานีลิตเติ้ลอินเดีย เพื่อซื้อตั๋วไปสถานีไชน่าทาวน์ (China Town) ตอนเช้าคนยังไม่แน่นรถใต้ดินกำลังดีเลย เมื่อโผล่ที่สถานีก็จะพบกับซุ้มประตูมังกร สัญลักษณ์ของชุมชนชาวจีน และร้านรวงต่างๆที่จำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับคนจีนทั้งกำไลหยก ผ้าไหมจีน ผลไม้ดอง เหล้าจีน สมุนไพรจีน ฯลฯ คล้ายกับเยาวราชบ้านเรา ของที่ระลึกมีขายมากมายแต่ราคาสูงมาก อาหารจีนหาทานได้หลากหลายที่นี่แต่ราคาสูงกว่าบ้านเราเยอะ  เราเดินผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนจีน (Chinatown Heritage Center) เค้าเก็บค่าเข้าชมใช้ได้เลย $20 เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์2ชั้นประมาณ3คูหา เราเลยขอบาย ไปเดินดูวัดจีนน่าสนใจกว่าแยะ

ตลาดไชน่าทาวน์ยามเช้า

วัดจีน Buddha Tooth Relic Temple


เราเดินผ่านวัดแขกแห่งเดียวในชุมชนชาวจีน ชื่อว่าวัด Sri Mariamman เข้าไปภายในมีพิธีบูชาองค์ทวยเทพฮินดูพอดี เลยเก็บภาพบรรยากาศงานมา ชาวอินเดียทั้งหลายล้วนแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง หญิงนุ่งห่มสาหรี ชายนุ่งผ้านุ่งบ้างเปลือยท่อนบนกำลังเข้าพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่บางคนอุ้มทารกมาให้พราหมณ์เจิมที่หน้าผากเพื่อความเป็นศิริมงคล กลิ่นเครื่องหอมที่คนนำมาบูชาหอมฟุ้ง รวมไปถึงกลิ่นกำยานและธูปหอมที่ตลบอบอวล การบูชาองค์เทพที่นี่ซึ่งมีพระพิฆเนศ และพระแม่อุมาเทวีนั้น ห้ามนำของคาวมาถวายดังนั้นจึงมีแต่อาหารพวกผลไม้ กล้วย มะพร้าว ใส่ถาดบูชามา เรานั่งชมพิธีกรรมสักครู่ใหญ่แล้วค่อยเดินออกมา
Sri Mariamman Temple
ผู้คนมายืนดูการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อแห่งวิถีฮินดู


            เราเดินมาถึงวัดจีนที่คิดว่าน่าจะใหญ่ที่สุดในย่านนี้ สร้างแบบสถาปัตยกรรมจีนแบบอาคารสมัยใหม่สูง5ชั้น วัดนี้มีชื่อว่า Buddha Tooth Relic Temple  เราเดินเข้าไปชมความงามภายใน มีชาวจีนนำของมาทำบุญทั้งน้ำมันพืชเพื่อเติมน้ำมันตะเกียง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  ภายในมีพิธีกรรมอีกแล้ว คนจีนแต่งกายด้วยชุดดำกำลังยืนพนมมือฟังพระสวดอยู่ในอุโบสถ เราเก็บภาพบรรยากาศภายในสักครู่แล้วค่อยเดินออกมาภายนอก


                ดูเวลาอีกที11โมงแล้ว แต่ท้องยังไม่ส่งสัญญาณหิวเลย เดินผ่านศูนย์อาหารชื่อ Maxwell Center ที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารจีนและข้าวมันไก่อร่อย แต่ก็ต้องตัดใจ เพราะร้านยังไม่ค่อยจะเปิดเลย ทั้งที่มันสายมากแล้ว เลยต้องเดินผ่านวัดจีนจะกลับไปที่สถานีใต้ดิน เพื่อที่จะไปเซ็นโตซ่า ระหว่างทางเราผ่านร้านรับซื้อของเก่า เห็นสองสามีภรรยากำลังจัดเรียงกระดาษเพื่อขึ้นตาชั่งอยู่ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี จากนั้นก็แวะตลาด Chinatown Complex เดินดูอาหารสดพบชาวจีนเดินทางมาจับจ่ายซื้อของไปทำกับข้าวกันมาก ตลาดที่นี่หาของเจอง่ายด้วยว่าจัดเป็นหมวดหมู่สินค้า และไม่มีน้ำเฉอะแฉะให้เสียอารมณ์สักนิด  สายแล้วบางร้านเพิ่งจะเอาของมาวางขาย นี่แหละน้าสิงคโปร์เมืองตื่นสาย ถึงมีคนบอกว่าถ้ามาสิงคโปร์ จงเดินเที่ยวให้ดึกและตะลุยราตรี ตอนเช้าค่อยนอนเพราะไม่ค่อยมีอะไรขาย ให้ตื่นใกล้เที่ยงแทน

 Maxwell Food Court
 ตึกคอนโดมิเนียมทุกแห่งจะต้องติดธงชาติสิงคโปร์
 จุดรับซื้อหนังสือพิมพ์เก่า สองสามีภรรยาช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน
 สองหนุ่ม (เหลือน้อย) กำลังดวลหมากกันอย่างจดจ่อ
ร้านรวงล้วนตกแต่งด้วยสีแดงเพื่อความเฮง

ตอนหน้าเรามาตะลุยเกาะเซนโตซ่ากัน อย่าพลาดนะ