วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวย่างกุ้งตอนที่ 5 เที่ยวชมย่างกุ้งแบบอ้อยอิ่ง แวะช้อปปิ้งตลาดสินค้าพื้นเมืองก่อนมุ่งหน้ากลับเมืองไทย

            และแล้วโครงการแบกเป้เที่ยวพม่าก็เดินทางมาสู่ตอนจบวันสุดท้ายของทริปทำไมเราถึงมักตื่นสายเสมอ ก็เพราะว่าเรามีความเหนื่อยสะสมมานั่นไง วันสุดท้ายเลยตื่นเสียแปดโมงกว่าจะออกมาทานอาหารเช้าได้ก็เก้าโมงกว่า แต่สิ่งแรกที่ทำให้เราต้องตื่นเต้นอีกครั้งนั่นคือขบวนพระบิณฑบาตเป็นแถวยาวผ่านหน้าโรงแรมที่เราพัก เราเห็นชาวบ้านมารอตักข้าวใส่บาตรอยู่ พระที่นี่รับเงินได้เป็นเรื่องปกติแต่สงสัยอย่างว่าพระที่นี่ออกบิณฑบาตกันสายมากๆ ไม่เหมือนบ้านเราที่ออกแต่เช้าตรู่ เพราะพวกเราออกไปเที่ยวกันก่อนที่ขบวนพระจะเดินมาบิณฑบาตเสียอีก
พระและสามเณรออกบิณฑบาตผ่านหน้าโรงแรม 

                หลังจากที่จัดการกับข้าวผัดมื้อเช้าเสร็จแล้ว เราก็ยกกระเป๋าออกมาจากห้องเพื่อเช็คเอ๊าท์และฝากไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมก่อนที่จะเดินออกไปแบกเป้เที่ยวเมืองย่างกุ้งกันต่อ โดยจุดแรกที่เราจะแวะคือเจดีย์สุเลในตอนเช้า เพื่อนำเงินทำบุญของเพื่อนๆคนไทยที่เหลือบรรจงหยอดใส่ตู้บริจาคให้หมดเพื่อไม่ให้เหลือติดค้างคาใจกันอีก เจดีย์สุเลยามเช้าผู้คนมาทำบุญไม่มากเท่ากับตอนกลางคืนแต่ก็พอมีให้เห็นบ้างประปราย แดดอ่อนๆยามสายช่วยขับสีทองของยอดเจดีย์ให้ทอประกายงดงามยิ่งขึ้น
เจดีย์สุเลในยามเช้า ฝนตกพรำๆ  
ร้านขายกีต้าร์บริเวณฐานเจดีย์สุเล

                เมื่อทำบุญด้วยเงินก้อนสุดท้ายจนหมดแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือเดินเท้าต่อไปยังตลาดโบซกอ่องซาน (Bogyoke Aung San Market) หรือ ตลาดสก๊อตต์ (Scott Market) ซึ่งระหว่างทางเราจะต้องเดินผ่านกลุ่มอาคารสมัยอาณานิคมอังกฤษซึ่งจะประกอบด้วย ศาลากลาง (City Hall) ซึ่งเป็นอาคารผสมผสานระหว่างศิลปะพม่าและอาคารแบบอังกฤษ ส่วนอาคารศาลนั้นเป็นอาคารอิฐสีแดงแบบอังกฤษแท้ๆ
โรงหนังชั้นนำใจกลางกรุงย่างกุ้ง 

อาคาร City Hall และอาคารศาลสร้างแบบอังกฤษ

อาคารศาลใจกลางกรุงย่างกุ้งสร้างแบบอังกฤษแท้ๆ 
มัสยิดใหญ่ในเมืองย่างกุ้งพบเห็นได้ทั่วไป 
               
ตลาดโบซกอ่องซาน (Bogyoke Aung San Market) เป็นตลาดกลางค้าสินค้าพื้นเมืองของพม่า  มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตลาดสก๊อตต์ (Scott Market) เพราะสร้างขึ้นโดยชาวสก๊อตแลนด์ เป็นตลาดที่บรรดานักช้อปชาวไทยไม่ควรพลาดเพราะมีสินค้านานาชนิดจำหน่ายและที่สำคัญสามารถต่อรองราคาได้ สินค้าในตลาดนี้ประกอบด้วย ผ้าปักพื้นเมือง งานแกะสลักไม้ เครื่องเงิน เครื่องเขิน เครื่องดนตรี ตุ๊กตาระบำ ย่าม โสร่งและเสื้อผ้าสไตล์พื้นเมือง ภาพวาดงานศิลปะ และที่สำคัญที่สุดคือ อัญมณีจำพวกหยกและทับทิมที่มาจาก เหมืองโมก๊ก (Mogok) แต่เราขอเตือนท่านๆ สักนิดว่าการหาซื้ออัญมณีควรจะซื้อจากร้านค้าที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลจะได้อัญมณีแท้ ซึ่งแน่นอนราคาย่อมแพงเป็นเรื่องปกติ ส่วนทับทิมจากเหมืองโมก๊กนั้นหายากเต็มทีผู้ซื้อต้องทำใจเนื่องจากว่าทับทิมส่วนใหญ่ในปัจจุบันมาจากแอฟริกาทั้งนั้น แล้วนำมาเจียระไนขึ้นตัวเรือนกันที่นี่
ตลาดโบซกอองซาน ตลาดค้าสินค้าพื้นเมืองพม่า 
ผ้าโสร่งนับเป็นสินค้าขึ้นชื่อของประเทศพม่า 
ร้านขายเครื่องเขินและงานแกะสลักไม้กับหุ่นชักรอกแบบพม่า 

หยกนานาชนิดวางโชว์เต็มตู้ 

การต่อรองราคาสินค้าภายในตลาดโบซกอ่องซานนั้นควรต่อรองพ่อค้าแม่ค้าเยอะๆก่อน เพราะที่นี่จะบอกราคากันค่อนข้างสูงมาก ลองให้ทำเป็นไม่สนใจแล้วทำท่าจะเดินจากไป เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะรีบบอกลดราคาทันที สินค้าที่พวกเราพากันได้ซื้อมาคือ เครื่องประดับเงิน เครื่องเขินไม้ และผ้าโสร่งพม่าของผู้ชาย หรือที่เรียกกันว่า โลงยี (Longyis) ราคาโสร่งผืนละ 5000 จ๊าด
บรรยากาศภายในตลาดเต็มไปด้วยชาวต่างชาติและคนพื้นเมืองมาจับจ่าย 
อัญมณีขึ้นชื่อของพม่านั่นคือหยกนั่นเอง

                เมื่อเดินถัดออกมาจากตลาดนิดหน่อยก็จะพบ โบสถ์โบราณสไตล์โกธิค  เป็นโบสถ์คาทอลิกแบบยุโรปก่อด้วยอิฐสีแดง ถ้าคุณว่างพอก็สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปที่นี่ได้ เพราะอยู่ติดกับตลาด ส่วนบริเวณหน้าตลาดจะมีทหารรักษาการณ์ยืนถือปืนอยู่ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ราชการและเค้ามีไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรมที่อาจเกิดขึ้นในตลาดค้าอัญมณีนั่นเอง
โบสถ์คาทอลิกสไตล์โกธิค และอาคารเก่าแก่มักจะสร้างด้วยอิฐสีแดง

         มื้อเที่ยงวันนี้เราขอยกระดับการรับประทานอาหารกันบ้าง ถ้าคุณผู้อ่านติดตามเรามาตลอดว่าแต่ละมื้อเราจะทานกันแต่ข้าวแกงพม่า ไม่ก็อาหารอินเดียหรืออาหารมื้อเช้าของโรงแรม แต่มื้อกลางวันนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายในกรุงย่างกุ้งเลยอยากทานอาหารดีดีบ้าง แล้วเราก็มาสะดุดกับภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นของโรงแรมที่ตั้งอยู่ด้านใน ภัตตาคารนี้ขายอาหารระดับนานาชาติมีชื่อว่า Zawgyi House Café  ถือว่าเป็นร้านไฮโซของที่นั้นเลยทีเดียว เพราะไม่ปะหน้าคนพื้นเมืองเลยสักคน มีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งหมด
  Zawgyi House Café  ภัตตาคารนานาชาติชั้นเลิศ 
น้ำพั้นช์แบบค็อกเทลรสผลไม้รวม

          เรานั่งที่ระเบียงด้านนอกของร้าน สั่งต้มหมี่ซั่วและหมี่ผัดมานั่งทาน นอกจากนี้เรายังได้ลองสั่งพิซซ่าแบบอิตาเลียนมานั่งทานกันด้วย ก่อนตบท้ายด้วยน้ำเมล่อน ซึ่งเดินทางไกลมาจากเมืองบากันโน่น (Bagan Melon Juice ) แก้วละ 1500 จ๊าด แต่รสชาติออกมันแตงไทยจนเลี่ยน และพลาดไม่ได้กับค็อกเทลสูตรเด็ดที่เราสั่งมาใส่ขวดเกือบ1ลิตร เล่นเอาหัวหมุนตอนกลางวันได้เหมือนกันนะนี่ สนนราคามื้อนี้หมดไปที่ 24,000 จ๊าดจ้า
น้ำเมล่อนจากเมืองบากันซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลเท่านั้น
พิซซ่ารสชาติแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆ
หมี่ซั่วต้มแบบจีน แต่หน้าตากลับคล้ายแกงจืดเสียมากกว่า

         ทานอิ่มกันถ้วนหน้าจนแทบเดินไม่ไหว อย่างนี้เราต้องกลับไปเดินที่ตลาดโบซกอ่องซานอีกสักรอบเพื่อให้ระบบย่อยเผาผลาญ และเผื่อว่าจะหาซื้อของถูกใจได้เพิ่มมาอีกด้วยแต่แล้วเราก็ไม่สามารถหาซื้ออะไรได้อีกนอกเสียจากแป้งทาหน้า ทานาคาของพม่าที่ต้องมานั่งเจ็บใจภายหลังเมื่อรู้ว่าเป็นสินค้าที่มาจากเมืองไทย
หลากชีวิตบนท้องถนนหน้าตลาดโบซกอ่องซาน

แม้แต่คนพื้นเมืองก็ยังเดินทางมาจับจ่ายซื้อของกันที่นี่

             เดินตลาดเพลินจนบ่ายสองได้เวลาที่เราจะต้องกลับไปยังที่พักเพื่อจัดกระเป๋าเพิ่มเติมและเดินทางไปยังสนามบินย่างกุ้ง ระหว่างทางเดินกลับเรายังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปวิถีชีวิตคนเมืองที่ดูไม่เร่งรีบเท่าใดนัก และตึกรามบ้านช่องในสมัยอาณานิคม ถึงแม้ประเทศนี้จะถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารแต่แววตาที่ฉายออกมาจากคนที่นี่ยังแสดงถึงความสุขที่เต็มเปี่ยม เพราะสังคมของเขามิได้แก่งแย่งแข่งขันเหมือนกับอีกหลายสังคมในทุกวันนี้นั่นเอง
เห็นรถเมล์จอดอยู่ข้างทางก็เลยขอเนียนทำเป็นนั่งรอรถเมล์เสียเลย 

ด้านขวามือคือเกสท์เฮ้าส์ราคาถูกอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันกับที่พักของเรา 

เพิ่งจะรู้ว่าในเมืองย่างกุ้งจะมีสโมสรฟุตบอลเป็นของตนเองด้วย

            และแล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรามีพบแล้วก็ต้องมีจาก เมื่อเราต้องอำลากรุงย่างกุ้งกลับสู่กรุงเทพมหานคร คนขับรถคนเดิมมารับพวกเราที่โรงแรมตามที่ได้นัดไว้ตอนประมาณบ่ายสามเพื่อเหมารถไปสนามบินในราคา 10ดอลลาร์ มีผู้ร่วมทางอีกสามคนเป็นชาวต่างชาติที่พักที่โรงแรมเดียวกัน พวกเขาต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เหมือนกับพวกเรา เราเลยเสนอให้พวกเขาได้อาศัยรถนั่งมาด้วยกัน ไม่นานนักรถก็แล่นถึงสนามบิน เราต้องขอขอบคุณ คุณไกด์ผู้ใจดีที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับพวกเราตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายโดยที่ไม่เคี่ยวกับพวกเราเลยสักนิด เจ๊เลยขอจัดแจงตบรางวัลทิปให้อย่างงามให้สมกับที่ดูแลเราเป็นอย่างดี

ถึงแล้วสนามบินย่างกุ้ง

ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกกันหน่อย

 
            เมื่อถึงสนามบินแล้วต้องไม่ลืมที่จะจ่ายค่าภาษีสนามบินต่างหาก 10 ดอลล่าร์นะ เพราะภาษีสนามบินฝั่งขากลับจากกรุงย่างกุ้งมิได้รวมอยู่ในอัตราค่าโดยสารของสายการบินแอร์เอเชียครับ อาคารผู้โดยสารช่วงบ่ายเต็มไปด้วยผู้คนทั้งมารอรับญาติและมาขึ้นเครื่องเพราะที่นี่เค้าไม่ได้แยกจากกันสิ้นเชิง ส่งผลให้คณะของเราไม่มีที่นั่งรอเครื่องเลย แต่ดีที่ร้านขนมและเครื่องดื่มเล็กๆในสนามบินราคาไม่สูงเกินไปเหมือนสนามบินบ้านเรา ยังพอพึ่งพาอาศัยกันได้ เมื่อเสียค่าภาษีสนามบินและโหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะหลีกหนีความวุ่นวาย เข้าสู่ส่วนของผู้โดยสารขาออก ภายในนั้นยังมีร้านค้าเล็กๆที่คอยละลายทรัพย์นักท่องเที่ยวอีกมากมาย ซึ่งมีทั้งร้านขายหยก ขายชา ขายของที่ระลึกของพม่า ในที่สุดเราก็ได้หนังสือเล่มเล็กๆนำเที่ยวเมืองย่างกุ้งมาในราคาเล่มละ 6ดอลล่าร์ แบกเป้เที่ยวพม่าในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณแอร์เอเชียที่ได้เสนอโปรโมชั่นดีดี ถึงแม้ช่วงเวลาเดินทางยังไม่ดีนักเพราะเป็นฤดูฝน นักท่องเที่ยวน้อยมาก ถึงอย่างไรคราวหน้าหากมีโอกาสได้มาเยือนพม่าอีกเป็นครั้งที่สาม เราก็จะไม่พลาดเมืองบากันและเมืองมัณฑะเลย์แน่นอน แล้วพบกันใหม่ครับ

มุมกาแฟและเบเกอรี่เล็กๆ ภายในสนามบินย่างกุ้ง 

ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีสนามบินขากลับคนละ 10 ดอลล่าร์ 
สายการบินประจำชาติของพม่า

ลาแล้วจ้ากรุงย่างกุ้งแล้วพบกันใหม่นะ



 



วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวพะโคตอนที่2 ชมพระราชวังบุเรงนอง วัดพระธาตุมุเตาและวัดพระนอนชเวตาเหลียว (Kambawzathardi Golden Palace, Shwemawdaw Pagoda & Shwethalyaung Buddha)

              พระราชวังบุเรงนอง (Kambawzathardi Golden Palace) แม้จะเป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดที่ฐานรากเดิม แต่ก็มีความงดงามแบบศิลปะพม่า สมัยเดิมเลยดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่ากรุงหงสาวดีซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ สมัยพระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชย์ (คนพม่าอ่านออกเสียงว่า บาเยงนอง) โปรดให้สร้างพระราชวังขึ้นที่นี่ พอสิ้นสมัยพระองค์ พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นครองราชย์แทนแต่พระองค์ไม่สามารถรักษาเมืองหงสาวดีได้ จึงถูกกองทัพพวกยะไข่ตีเสียสิ้น พระราชวังถูกไฟเผาจนเหลือแต่ตอไม้ และพระเจ้านันทบุเรงนั้นทรงถูกวางยาพิษสิ้นพระชนม์ที่เมืองตองอู
พระราชวังบุเรงนอง

บัลลังก์ผึ้งแยกออกมาจากพระราชวังหลวง

                หลังยุคนายพลเนวินสละอำนาจ รัฐบาลพม่าก็ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ความงดงามนั้นสู้หลังเดิมไม่ได้ แม้จะสร้างตามแบบศิลปะพม่าแล้วก็ตามแต่ความประณีตก็ยังสู้ฝีมือช่างสมัยก่อนไม่ได้  ตัวอาคารจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ด้านหน้าของพระราชวังจะเป็นที่ประดิษฐานของบัลลังก์ผึ้ง (Bee Throne Hall) เป็นอาคารมุงด้วยหลังคาสังกะสีขนาดเล็ก หลังคาซ้อนกันเป็นทรงปราสาท ภายในมีซากเสาไม้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของพระราชวังอีกหลังหนึ่ง แต่ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ตอ ภายในอาคารหลังนี้ท่านจะได้กลิ่นฉี่ค้างคาวอย่างรุนแรงทำให้เยี่ยมชมได้ไม่นานก็ต้องรีบออกมา
สาวชาวพม่ากับชุดพื้นเมืองระหว่างรอเข้าชมตำหนักบัลลังก์ผึ้ง 
บัลลังก์ผึ้งซึ่งกลิ่นภายในไม่โสภาเอาเสียเลย
กลุ่มคนไทยแบกเป้เที่ยวที่ไม่บังเอิญเจอกันเป็นครั้งที่สองที่นี่

                ถัดจากบัลลังก์ผึ้งไปทางทิศตะวันตกจะมีถนนสายหนึ่งแล่นไปถึงตัวพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ตัวอาคารลักษณะเป็นแบบชักปีกนก ภายในประดิษฐานบัลลังก์จำลอง อาคารฝั่งซ้ายและขวามีไว้สำหรับบุคคลที่รอเข้าเฝ้า ในอาคารมีแผนผังกลุ่มอาคารและห้องต่างๆ มีประวัติศาสตร์พงศาวดารพม่า และมีราชรถจำลองแบบเดียวกันกับที่พระเจ้าบุเรงนองเคยใช้ประทับ
ฐานเดิมของพระราชวังซึ่งสร้างด้วยไม้สักยังคงเหลือซากให้เห็น 
เบื้องหน้าของพระราชวังบุเรงนอง 
ภายในมีท่อนไม้สักที่ใช้สร้างพระราชวังแสดงอยู่ด้วย 
บริเวณท้องพระโรงและบัลลังก์พระที่นั่ง
ราชรถจำลองที่เคยใช้งานในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง

ประวัติของพระเจ้าบุเรงนองโดยสังเขป

                ด้านหน้าของพระราชวังยังมีปืนใหญ่จำลองด้วย ที่นี่เองทำให้เราได้พบกับกลุ่มคนไทยที่แบกเป้ท่องเที่ยวและเดินทางมาจากกรุงย่างกุ้งเช่นกัน เสียดายที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยกัน และเราได้พบกับวัยรุ่นพม่าที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มาท่องเที่ยวที่นี่ งานนี้จึงไม่มีคำว่าช่องว่างระหว่างวัยทุกคนทำตัวกลมกลืนกันไปหมด ไปไหนเฮนั่นไม่มีอุปสรรคใดๆในด้านภาษา แต่ทุกคนก็พอจะสื่อสารกันเข้าใจ งานนี้จึงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ฝากความประทับใจเอาไว้เล็กๆน้อยๆ ก่อนที่เราจะส่งพวกเค้ากลับทางรถสองแถวแล้วเราก็ออกเดินทางต่อ
เพื่อนซี้ต่างวัยชาวพม่าที่เจอกันโดยบังเอิญ 
ดูซิข้าวยำตามแบบฉบับพม่าน่าทานเชียว 
งานนี้ไม่มีคำว่าช่องว่างระหว่างวัย 
เหมารถสองแถวเที่ยวย่อมจ่ายถูกกว่ารถแท็กซี่หรือรถตู้แน่นอน

ปืนใหญ่หน้าพระราชวัง

          วัดพระธาตุมุเตา (Shwemawdaw Pagoda) หรือวัดชเวมอดอว์พะยา (ออกเสียงตามแบบพม่า) เป็นเจดีย์ที่สูงและใหญ่ที่สุดประจำเมืองพะโค  ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพะโค ตำนานเดิมมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับ ณ เขา มะถุละ  ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหงสาวดี มีชายสองคนพี่น้องได้มาเข้าเฝ้า และฟังธรรมเทศนาจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา พระพุทธเจ้าจึงประทานพระเกศาให้คนละเส้น แล้วให้นำไปประดิษฐานที่เขา ทั้งสองจึงสร้างเจดีย์สูง 25เมตร เส้นรอบฐาน 125เมตร ขึ้นมา เพื่อนำพระเกศาไปบรรจุไว้ ซึ่งปัจจุบันก็คือเจดีย์ชเวมอดอว์ในปัจจุบัน
เจดีย์ชเวมอดอว์หรือพระธาตุมุเตาและสิงห์เฝ้าประตูเข้าวัด 

               ในสมัยพระเจ้าปุดงได้มีการต่อเติมพระธาตุให้สูงขึ้นไปถึง 108 เมตร และขยายฐานออกอีกด้านละ 53 เมตร แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2473 ครั้งนั้นได้ส่งผลให้ยอดเจดีย์พังทลายลงมาทั้งหมด ซึ่งน่าประหลาดใจที่ตรงส่วนยอดที่หักพังลงมานั้นไม่ป่นละเอียด หากแต่คงสภาพเดิมไว้ทั้งปลียอดเจดีย์ ทางวัดจึงเก็บรักษาไว้ให้ชาวบ้านได้กราบไหว้ขอพร  และได้มีการบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 ที่เห็นเป็นองค์เจดีย์เยี่ยงปัจจุบันที่มีความสูง 125 เมตร

ยอดเจดีย์ที่หักพังลงมาทางรัฐบาลพม่าได้คงสภาพเดิมนั้นไว้ 
 เบื้องหลังของสิงห์คู่ขนาดใหญ่สัญลักษณ์ของวัด 

                บริเวณทางเข้าพระธาตุมุเตาจะเห็นสิงห์คู่ขนาดใหญ่สองตัวตั้งขนาบซ้ายและขวาขององค์เจดีย์ จุดนี้จะสามารถถ่ายรูปเจดีย์ได้เต็มองค์ จุดทางเข้าจะมีดอกไม้บูชาพระจำหน่าย และให้แสดงบัตรเข้าชม พร้อมกับเสียค่าธรรมเนียมนำกล้องถ่ายรูปเข้า 300 จ๊าด และตู้รับฝากรองเท้า จากนั้นเราต้องเดินขึ้นบันได เพื่อไปสักการะพระพุทธรูปทั้งสี่พระองค์
 หนุ่มพม่าขายบาเยียและเด็กขายดอกไม้บริเวณทางเข้าวัด 
 อาคารธรรมศาลามีสัญลักษณ์หงส์ของชาวมอญ
บริเวณจุดรับฝากรองเท้าก่อนเข้าวัด
                ถึงแม้ว่าบริเวณลานด้านบนของเจดีย์ชเวมอดอว์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเฉกเช่นเจดีย์ชเวดากอง แต่ก็คงไว้ซึ่งตวามขลังของยอดเจดีย์ที่หักพังลงมา ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเข้าไปกราบไหว้บูชาและถ่ายรูป เสียงประกาศดังก้องเป็นภาษาพม่าในบริเวณวัด เราเดินตามเสียงนั้นถึงได้รู้ว่านั่นคือโต๊ะรับเงินทำบุญจากชาวพุทธซึ่งมีการออกใบอนุโมทนาบัตรเป็นภาษาพม่าให้ด้วย พวกเราพากันทำบุญแล้วเก็บใบอนุโมทนาบัตรเป็นที่ระลึกออกมา ก่อนที่จะเดินทางไปยังวัดพระนอนชเวตาเหลียวเป็นแห่งต่อไป
ด้านบนของลานเจดีย์ชเวมอดอว์ 
แม้แต่เหล่าบรรดาข้าราชการก็ยังมาไหว้พระขอพรกันที่นี่ 
ทำบุญเสร็จแล้วอย่าลืมตีเหล็กให้ดังนะ เสียงกังวานเชียว  
เหล่ามัคทายกอวยพรให้โชคเป็นภาษาพม่าหลังจากที่เราทำบุญเสร็จ 

          วัดพระนอนชเวตาเหลียว (Shwethalyaung Buddha) หรือพระนอนชเวเลยอง (ออกเสียงตามแบบพม่า) คนไทยออกเสียงเพี้ยนจนกลายเป็นพระชเวตาเหลียว เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ที่เรียกว่าเป็นแบบ สีหไสยาสน์ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่นอนตะแคงด้านขวานั่นเอง  พระองค์นี้ยังมีผู้นับถือบูชามากกว่าพระนอนเจ๊าทัตจีในกรุงย่างกุ้งเสียอีก ถึงแม้ขนาดจะเล็กกว่าและความงดงามอลังการจะสู้ไม่ได้ก็ตาม องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร สร้างขึ้นโดยพระเจ้าเมงกะดิปะที่1 (Migadippa I) ในปี พ.ศ. 1537 และถูกทิ้งร้างมานานกว่า 500 ปี จนต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมเสียสิ้น จนถึงปี พ.ศ. 2449 คณะคนงานสร้างรางรถไฟของอังกฤษจึงได้ค้นพบอีกครั้งหลังจากที่ถูกปล่อยให้ผุพังมานาน จึงได้ถางต้นไม้ออกและสร้างโรงหลังคาเหล็กขึ้นครอบองค์พระไว้ และบูรณะอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2491
ถนนปากทางเข้าวัดชเวตาเหลียว 
 บริเวณหน้าวัดชเวตาเหลียว
องค์พระนอนชเวตาเหลียวปางสีหไสยาสน์

        บริเวณบันไดทางเข้าวัดสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก มีทั้งงานไม้แกะสลัก โปสการ์ด ภาพวาดภาพเขียนสีต่างๆ รวมไปถึงสร้อยประคำและกำไลหยก สนนราคาก็ย่อมเยาและต่อรองราคาได้ เราสามารถซื้อสร้อยประคำหยกไปให้คนที่ชอบนั่งสมาธิได้ที่นี่ เมื่อขึ้นบันไดมาถึงฐานองค์พระแล้ว สำหรับคนที่พกกล้องถ่ายรูปมาจะต้องเสียค่าธรรมเนียมถ่ายรูปกล้องละ 300 จ๊าด  จากนั้นให้เดินไปที่พระบาทของพระนอนก่อนเพื่อชมการประดับประดาแก้วนานาชนิด จากนั้นค่อยชมองค์พระโดยรอบ วัดพระนอนชเวตาเหลียวแห่งนี้มีคนไทยเข้ามาบริจาคเงินมากมาย โดยสังเกตได้จากฐานพระที่มีชื่อคนไทยและบริษัทห้างร้านต่างๆ สลักชื่อเป็นรายนามผู้มีจิตศรัทธาเต็มไปหมด
 ลายพระบาทอันงามวิจิตรกรุด้วยกระจกสีสวยงาม
 ความละเอียดอ่อนช้อยขององค์พระนอน 
รายนามผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินมีชื่อคนไทยอยู่ด้วย
ความละเอียดอ่อนช้อยของแท่นบรรทมกรุด้วยกระจกสี 
ร้านขายของที่ระลึกตลอดสองข้างทางขึ้นวัด

         และแล้วก็ได้เวลาที่พวกเราต้องเดินทางกลับกรุงย่างกุ้ง ยังมีพระนอนอีกองค์ที่ตั้งอยู่ติดกับพระนอนชเวตาเหลียว แต่ต่างกันตรงที่พระนอนองค์นี้ประดิษฐานกลางแจ้งมีชื่อว่า Naung  Daw Gyi Mya Tha Lyaung มีขนาดใหญ่โตกว่าพระนอนชเวตาเหลียวมาก แต่เราไม่ได้เข้าชมเพราะฝนเทลงมาหนักทีเดียว
องค์พระนอนกลางแจ้งขนาดใหญ่กว่าพระนอนชเวตาเหลียว

             ระหว่างทางกลับถึงเมืองย่างกุ้งคุณไกด์ชี้ให้ดูถนนที่ทางแยกซึ่งเป็นทางไปยังเมืองหลวงของประเทศพม่าแห่งใหม่ ซึ่งคือกรุงเนปีดอว์ ทราบมาว่าพวกเราสามารถเดินทางผ่านไประหว่างวันได้ แต่ทางการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวค้างแรมแม้สักคืนเดียว คงเป็นกฏหมายด้านความมั่นคงของเขากระมังมี่ไม่อยากให้ชาวต่างชาติได้เห็นเขตเมืองใหม่ ขากลับรถแล่นใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงรถก็เข้าเขตเมืองย่างกุ้ง ซึ่งฝนตกพรำๆตลอดทาง คุณไกด์ชี้ให้ดู ทะเลสาบอินยา (Inya Lake) ที่ถึงแม้ว่าฝนจะตกแต่ก็ยังเต็มไปด้วยคู่วัยรุ่นหนุ่มสาวมานั่งจู๋จี๋กันท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นใจ  เมื่อกลับถึงที่พักเราต้องไม่ลืมที่จะจ่ายค่าเหมารถทั้งวันในราคา 70 ดอลล่าร์ด้วย
ทะลสาบอินยา (Inya Lake) 
คอนโดฯ หรูใจกลางกรุงย่างกุ้ง 
โรงแรมชื่อดังใจกลางกรุงย่างกุ้ง

             เมื่อกลับถึงที่พักก็ได้เวลาออกไปเดินช้อปปิ้งอิสระ เราเดินไปตามถนนเจดีย์สุเล เพื่อเดินหาซื้อซีดีเพลงพม่า อันนี้เราสอบถามจากพนักงานโรงแรมแล้วว่าตั้งขายอยู่ย่านไหนบ้าง เพราะเจ๊หลงไหลได้ปลื้มนักร้องพม่าคนหนึ่งมากซึ่งเขาจะร้องเพลงแนวเพื่อชีวิตแต่ก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว เราแวะชิมก๋วยเตี๋ยวพม่าข้างทางซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวแบบมังสวิรัติใส่เต้าหู้และถั่วแผ่นทอดกรอบบิลงไปแทนเกี๊ยว ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยแผงขายอาหารข้างทาง แผงขายของไม่ต่างกับตลาดนัดริมทางบ้านเรา เมื่อเจ๊ได้ซีดีเพลงสมใจแล้วซึ่งราคาแทบไม่ต่างกับซีดีเพลงแม่สายเท่าไหร่  เราจึงพากันไปทานอาหารพื้นเมืองพม่าที่ร้านขนมหวานแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง
ภัตตาคารและค็อฟฟี่ช็อปใจกลางเมือง

                ร้านนี้ลักษณะเป็นภัตตาคารดูสะอาดตาทีเดียวชื่อร้าน Let Ywe Sin เราสั่งก๋วยเตี๋ยวผัดแห้งแบบพม่ามาทาน ซึ่งเขาได้เอาไข่ไปคลุกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วย รสชาติจะออกมันและเค็มเป็นหลัก จากนั้นเราก็สั่งคาราเมลคัสตาร์ดมาทานกันต่อ ปรากฏว่ารสชาติอร่อยจนต้องยกนิ้วให้และซื้อกลับมาทานที่โรงแรมกันอีก พรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางกลับเมืองไทยกันแล้ว ดังนั้นทั้งวันของพรุ่งนี้จึงเป็นวันช้อปปิ้งอิสระ อยากไปไหนก็ได้ตามใจฉัน
ตอนต่อไปจะกลับมาเที่ยวย่างกุ้งอีกครั้ง ช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองที่ตลาดโบซ่กอ่องซาน และชมสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษใจกลางเมือง