วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ตอนที่ 7 Medan City เที่ยวแบบไม่ง้อรถ

                การท่องเที่ยวแบบมีความสุขที่สุดในทัศนคติของผมคือ การท่องเที่ยวแบบอ้อยอิ่ง หรือ Slow Travel นั่นเอง ชีวิตของเราจะได้ไม่รีบร้อน ไม่ต้องกังวลว่าจะตกรถตกเครื่อง หรือจะต้องกลับเมื่อไหร่ แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์เงินเดือนแล้วคงจะไม่มีใครสามารถทำเยี่ยงนั้นได้แน่ๆ
                เราออกจากโรงแรมแล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ My Hotel เพราะว่าเราจะเข้าพักในคืนนี้ ทางโรงแรมเองยินดีรับฝากกระเป๋า เอาล่ะคราวนี้ก็เดินตัวปลิวไปกันได้แล้ว จุดแรกเลยเราเดินตามเส้นทางแผนที่เพื่อที่จะไปยังมัสยิดรายาและพระราชวังไมมูน (Masjid Raya Al-Mashun & Maimoon Palace) คือเดินผ่านแท็งก์น้ำสูง แล้วเดินข้ามทางรถไฟไปตามถนน Sisigamangraja เดินเลี้ยวขวาข้ามถนนก็จะเจอกับมัสยิดหลังงามขนาดย่อมๆ หลังนึ่งตั้งตระหง่านอยู่หัวมุมถนน
 ระหว่างทางเราเดินผ่าน สำนักการประปาเมดาน
โรงแรมการูด้าพลาซ่าที่ขึ้นชื่อ
        Masjid Raya Al-Mashun เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเขตสุมาตราเหนือ สร้างขึ้นโดยท่านสุลต่าน เดลี (Deli Sultan) ในปี ค.ศ. 1906 สถาปัตยกรรมเป็นแบบแขกมัวร์ กระเบื้องและของประดับตกแต่งมัสยิดล้วนนำเข้าจากประเทศอิตาลี ปัจจุบันยังคงใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจอยู่ วันนี้เป็นวันศุกร์ด้วยครับจึงมีเหล่าอิสลามิกชนมากมายทยอยเดินทางมาสวดมนตร์ใหญ่ในวันศุกร์ เราเดินถ่ายรูปได้สักพักก็ต้องออกมาเพราะคนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้านหน้ามัสยิดมีขอทานที่พิการทางร่างกายมารอรับทานจากผู้ใจบุญอีกด้วย ก่อนออกจากมัสยิดได้เจอกับเด็กสาวอินโดฯกลุ่มใหญ่เลยครับ ดูพวกเธอจะตื่นเต้นที่นานๆทีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองเมดาน ก็เลยขอแชะภาพกันชุดใหญ่ซะก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังพระราชวังไมมูนที่อยู่ใกล้กัน
 เบื้องหน้าของมัสยิดหลังงาม
 ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนไทยแบกเป้เที่ยวด้วยที่นี่
  เบื้องหลังของมัสยิดก็ยังออกแบบมางดงามแม้แต่หออะซาน 
 ขอทานด้านหน้ามัสยิดนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

 เด็กนักเรียนแดนอิเหนาผู้บ้ากล้องกับลีลาแอ็คท่าได้ใจ
วันศุกร์ใกล้เที่ยงผู้คนเริ่มเข้ามาทำละหมาดใหญ่

          Maimoon Palace พระราชวังไมมูนตั้งอยู่ใกล้กันกับมัสยิดนิดเดียวสามารถเดินเท้าถึงได้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888 โดยท่านสุลต่านไมมูน อัล รัสยิด (Sultan Maimoon Al Rasyid) สถาปนิกคือ Captain TH. Van Erop สถาปัตยกรรมการก่อสร้างผสมผสานระหว่างศิลปะแบบมาเลย์ อินเดียและมุสลิม เลยออกมาเป็นเรือนปั้นหยาขนาดใหญ่ทาด้วยสีเหลือง ตัวอาคารแบ่งเป็นปีกซ้ายขวา2ด้าน ภายในพระราชวังยังมีของที่ระลึกจำหน่ายด้วย ค่าเข้าชมสำหรับคนอินโดนีเซียเข้าชมฟรี ชาวต่างชาติคิดคนละ 5,000 รูเปียเท่านั้น คราวนี้พวกเราโดนเรียกเก็บเงินก็เพราะสะพายกล้องใหญ่เข้ามาถ่ายรูปนี่แหละ พวกเขาเลยรู้ว่านี่คือนักท่องเที่ยวแน่นอน พวกเราเดินชมภายในได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่นี่เค้าจะปิดตอนเที่ยงเพื่อพักรับประทานอาหารกัน ทำให้เราออกมาแทบไม่ทันประตูปิด เกือบจะโดนขังให้เป็นข้าทาสบริวารในวังแล้วมั้ยล่ะ
 พระราชวังไมมูนทำเป็นเรือนปั้นหยาทาด้วยสีเหลือง
 แม้แต่กระท่อมแบบโทบานีสก็มีไว้ให้ชมที่นี่
 บริเวณชานเรือนของพระราชวัง
 บริเวณท้องพระโรงของพระราชวัง
ข้าวของโคมไฟทำจากประเทศอิตาลี และเฟอร์นิเจอร์ไม้โบราณ
 เตียงบรรทมสมัยโบราณ
 สมุดรายนามลงชื่อแขก (นักท่องเที่ยว)ผู้มาเยือนพระราชวัง
 ลาก่อนนะพระราชวังไมมูน น่าเสียดายที่มาเยือนยามใกล้เที่ยง

               อากาศเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเดินค่อนข้างเยอะท้องเลยเริ่มหิว ไอ้ตอนขามาพวกเราเดินผ่านเพิงขายอาหารข้างทางนี่นา ถ้าไม่แวะชิมเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเมืองเมดานนะ ที่นั่นมีคนนั่งกินอยู่พอสมควรน่าจะใช้ได้แหละ อ้าว กลุ่มนักเรียนสาวกลุ่มเดิมนี่นา พวกเธอกำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย เพื่อนของเราอยากลองทานเนื้อสะเต๊ะดู ส่วนเราอยากทานไก่สะเต๊ะ ก็เลยสั่งแม่ค้าว่าเอา Sate Ayam และ Sate Sapi มาอย่างละจาน สะเต๊ะร้านนี้จะเสริ์ฟมาในจานใบตอง จานละ6ไม้ และราดน้ำจิ้มมาเลย พร้อมกับมันต้มและหอมเจียวเป็นเครื่องเคียง รสชาติน้ำจิ้มออกหวานแตกต่างไปจากเมืองไทย ส่วนเนื้อที่เค้าเอามาทำนั้นจะแห้งๆและไร้มัน แล้วเราก็ลองสั่งน้ำผลไม้มาทานกัน จะสั่งน้ำส้มกับน้ำอะโวคาโดปั่นมาดื่ม แต่คนขายก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยสักนิด เดือดร้อนถึงน้องนักเรียนสาวต้องมาช่วยอำนวยการสั่งให้กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง แต่น้ำอะโวคาโดนั้นเลี่ยนสุดๆ เพราะเค้าดันเอาไปปั่นรวมกับน้ำตาลเชื่อมด้วย น้ำเลยออกเป็นสีน้ำตาล สนนราคาค่าเสียหายมื้อเบา  สะเต๊ะสองจาน 30,000 รูเปีย และน้ำสองแก้วอีก 10,000 รูเปีย ครับผม ขอบคุณน้องนักเรียนที่ช่วยเป็นล่ามให้แม่ค้าด้วย
 ร้านอาหารแบบขายข้าวข้างทางที่อินโดฯเค้าเรียกว่า "วารุง" (Warung)
 สะเต๊ะที่อร่อยแท้จริงจะต้องทำโดยคนมุสลิมเท่านั้น
 ระหว่างที่รอแม่ค้าปรุงรสสะเต๊ะ เราก็ไปสั่งน้ำผลไม้ ที่นี่ทำน้ำทุเรียนด้วยนะ

            โฉมหน้าสะเต๊ะและน้ำอะโวคาโดสีเข้ม เพื่อนเราแสดงออกทางสีหน้าได้ชัด

            พวกเรายังทานไม่อิ่มกันดี มื้อนี้เป็นเพียงมื้อรองท้องเท่านั้น ห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมเด่นอยู่ตรงหน้า ความถวิลหาห้องแอร์แล่นเข้ามาในหัวทันที เพื่อนเราเลยได้ชวนให้ไปนั่งทานมื้อหนักในห้างอีกสักหน่อยจะได้ไม่ค้างคาใจ ห้างเล็กๆนี้มีชื่อว่า Yuki Simpang Raya ภายในห้างก็มีของขายเหมือนห้างทั่วไปนั่นแหละ ต่างกันตรงที่เสื้อผ้าพื้นเมืองแบบอินโดนีเซียนั้นมีวางขายทั่วไปในห้างนี่เลย ก็เพราะว่าที่นี่เค้าให้ใส่ผ้าพื้นเมืองไปทำงานไงล่ะ ตอนพักเที่ยงเราถึงเห็นชาวเมดานทั่วไปใส่ชุดพื้นเมืองออกมาทานข้าวกลางวันกัน มื้อกลางวันอีกมื้อเราขอฝากท้องไว้ที่ร้านฟาสต์ฟู้ด CFC เหมือนกับว่าเป็นคู่แข่ง KFC ของอินโดนีเซียเลย เราสั่งชุดไก่ทอดและชุดสปาเก็ตตี้ไก่ทอด ทั้งหมดในราคา 47,800 รูเปีย อิ่มแล้วก็เดินย่อยดูของในห้างสักหน่อยก่อนที่จะย้ายออกไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งสุมาตราเหนือกัน (Museum of North Sumatra)
 ห้างสรรพสินค้าที่นี่เปรียบเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย ทั้งเย็นและสบาย สบาย
 KFC ต้องรับศึกหนัก เพราะมีคู่แข่งเสียแล้ว
 ชุดไก่ทอดพร้อมชาผลไม้
จานนี้เป็นสปาเก็ตตี้ไก่ทอด

ตอนต่อไปพาชมพิพิธภัณฑ์สุมาตรา และพาช็อปปิ้งห้าง Sun Plaza แวะชิมอาหารย่านอร่อย Merdeka  Walk


วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ตอนที่ 6 ชมตลาดผลไม้และดอกไม้แห่งเมือง เบอราสตากี้ (Berastagi)

                ฝนฟ้าอากาศกับการเดินทางนั้นถือว่าสำคัญมากต่อการท่องเที่ยวนะครับ ยิ่งเป็นการแบกเป้ท่องเที่ยวด้วยตัวเองแล้วก็ยิ่งมีความสำคัญที่จะต้องศึกษาข้อมูลดินฟ้าอากาศก่อนการเดินทาง มิฉะนั้นอาจจะหมดสนุกเหมือนกับทริปที่เรากำลังจะไปนี่ครับ ที่พอล้อเริ่มหมุนออกจากเรือนหลังยาว พี่ฝนก็ตั้งเค้าโจมตีและเทกระหน่ำลงมาไม่นานหลังจากออกรถ
ภาพสุดท้ายที่เรือนไม้หลังยาวก่อนที่ฝนจะตกลงมาโครมใหญ่

                จุดหมายต่อไปคือการแวะชมน้ำตกที่สูงที่สุดบนเกาะสุมาตรา  (Sipiso-piso Waterfall) และภูเขาไฟซินาบุง (Sinabung Volcano) จะขอกล่าวถึงน้ำตกก่อนละกัน น้ำตกซิปิโซปิโซ (Sipiso-piso) เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางจากเมืองพาราพัทไปยังเมืองบราสตากี้ อยู่ห่างจากเมืองบราสตากี้เพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น เป็นน้ำตกที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบโทบา ไหลลงมาจากหุบผาที่มีความสูงชันถึง 120 เมตร ซึ่งถ้าฝนไม่ตกมาบดบังทัศนียภาพ ที่นี่จะงดงามยิ่งนัก เพราะฉากหลังของน้ำตกคือทะเลสาบโทบานั่นเอง
Sipiso-piso Waterfall หน้าตาต้องเป็นแบบนี้


                ต่อไปจะขอเอ่ยถึงภูเขาไฟบนเกาะสุมาตราเสียหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เอ่ยถึงความน่าสะพรึงกลัวของเจ้ายักษ์ใหญ่เจ้าถิ่นแห่งเกาะสุมาตรา เพราะยามใดที่คุณยักษ์พิโรธขึ้นมาก็จะพ่นควันและลาวาเถ้าถ่านออกมาปกคลุมถึงน่านฟ้าภาคใต้ของไทยเลยทีเดียว  ซึ่งในเส้นทางที่รถนำเที่ยวจะพาผ่านนั้นมีทั้งภูเขาไฟซินาบุง (Sinabung Volcano) และภูเขาไฟซิบายัค (Sibayak Volcano) ซึ่งภูเขาไฟซินาบุงนั้นเป็นภูเขาลูกแรกที่จะถึงก่อนซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองบราสตากี้เพียง 30 กิโลเมตร ด้วยความสูงจากยอดวัดได้ 2,417เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บริเวณยอดภูเขาไฟมีจุดพักแรมไว้บริการนักไต่เขาด้วย แต่ต้องระวังนะภูเขาไฟลูกนี้ยังคงมีชีวิตอยู่นะครับ ยังคงมีควันและเถ้าถ่านพุ่งออกมาเสมอ โดยต้องเริ่มต้นปีนที่หมู่บ้าน Lau Kawar และ Mardinding ใช้เวลาในการปีนขึ้นประมาณ 4 ชั่วโมงครับ
Sinabung Vocano ยามที่มันปะทุ (เครดิตภาพจากสำนักข่าวรอยส์เตอร์)

                ภูเขาไฟลูกต่อไปที่เราขอเอ่ยถึงซึ่งอยู่ในทริปนี้เหมือนกันแต่ไม่ได้ลงไปดูเพียงเพราะว่าฝนตกหนักและท้องฟ้ามืดเสียก่อน ภูเขาไฟซิบายัค (Sibayak Volcano) ซึ่งมีความสูง 2,172เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งทำให้บนยอดเขามีอุณหภูมิเฉลี่ย 18 องศาฯตลอดทั้งปี แต่ยังเป็นภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่นะครับที่สำคัญภูเขาไฟลูกนี้ปีนยากกว่าลูกแรกเพราะมีป่าดงดิบขึ้นหนาทึบ การไต่เขาจึงอันตรายกว่ามาก บริเวณปากปล่องยังคงมีลาวาเดือดพล่านอยู่  หากต้องการพิชิตยอดภูเขาไฟลูกนี้ จะต้องไปขึ้นเขาที่หมู่บ้าน Jaranguda ที่เดินเพียง 1.5กิโลเมตร แต่ทางเดินลาดชันมาก และ หมู่บ้าน Raja Berneh ที่อยู่ไกลออกไป 15กิโลเมตร และใช้เวลาในการขึ้น 2.3ชั่วโมง  ขอแถมอีกนิดภาษาอินโดนีเซียเค้าจะเรียกภูเขาไฟว่า กุนุง (Gunung) นะครับ ต้องออกเสียงให้ถูกต้องด้วย
Sibayak Volcano (เครดิตภาพจากศูนย์วิจัยภูเขาไฟ ประเทศญี่ปุ่น)

            สรุปว่าวันนี้คณะเราอดชมทั้งน้ำตกและภูเขาไฟที่เอ่ยมา นี่แหละหนา ความจริงพวกเราก็เลือกเดินทางมาได้ถูกต้องตามฤดูกาล แต่ดันมีมรสุมเข้ามาซะพอดี แบบนี้เค้าเรียกว่าฟ้าดินกลั่นแกล้ง เมื่อไม่ได้ทุกสิ่งสมความตั้งใจ ดังนั้นภารกิจต่อไปคือ แวะเข้าชมความงดงามของเมืองกลางขุนเขา บราสตากี้ หรือเบอราสตากี้ (Berastagi) สามารถเรียกชื่อได้ทั้งสองแบบนะครับ แต่คนอินโดฯแท้ๆ มักจะออกเสียงว่า บราสตากี้ มากกว่า
ทิวทัศน์เมืองบราสตากี้หลังฝนพรำทำเอาอากาศเย็นสุดขั้วหัวใจเลยทีเดียว

               อันเมืองบราสตากี้นั้น (Berastagi) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,220 เมตร จึงทำให้มีอากาศเย็นสบายทั้งปี ตั้งอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบโทบาและอยู่ห่างจากเมืองเมดานเพียง 70 กิโลเมตรเท่านั้น อยู่ใกล้กับภูเขาไฟซินาบุงและซิบายัค จึงทำให้พื้นที่นี้สามารถเพาะปลูกไม้ผลได้เป็นอย่างดี ก็เพราะว่าดินภูเขาไฟเป็นดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาประการนั่นเอง จึงทำให้ที่เมืองบราสตากี้นี้เป็นศูนย์กลางค้าส่งทั้งผักและผลไม้ ผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่นี่เลยคือ อะโวคาโด เสาวรส มะม่วง ส้ม สตรอเบอรี่ สละ ซึ่งสละอินโดนีเซียนั้นขึ้นชื่อมากเรื่องความกรอบของเนื้อสละ  และผลไม้หน้าตาคล้ายแตงที่มีชื่อว่า Pepino ซึ่งน่าลองซื้อมาชิมกัน ผลปรากฏว่ารสชาติคล้ายแตงจริงๆ แถมจืดสนิทอีกต่างหาก และสละนั้นกรอบก็จริงแต่เปรี้ยวอมฝาดมากๆ น่าผิดหวังสำหรับสละอินโดฯที่เลื่องชื่อระบือไกล
 ตลาดผลไม้และราคาน้ำมันวันนี้ 
 คณะทัวร์ลูกเป็ดพร้อมกันที่ตลาดผลไม้ครับผม
 สถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้ที่ขึ้นชื่อก็คือตลาดผลไม้และตลาดดอกไม้ ส่วนใหญ่เป็นไม้ดอกเมืองหนาว และมีม้าไว้บริการนักท่องเที่ยวให้ขี่ชมรอบเมือง พร้อมระบุอัตราค่าบริการไว้เสร็จสรรพไม่ต้องกลัวเรื่องโดนฟันราคา แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นแล้วน่าสงสารคือที่ตลาดมีกระต่ายขายด้วยครับ แต่ไม่ใช่ขายเพื่อนำไปเลี้ยงไว้ดูเล่น แต่เอาไปฆ่าเพื่อรับประทานเนื้อครับ มิน่าแต่ละตัวอ้วนพีเชียว เค้าตั้งขายแบบว่าไม่กลัวกระต่ายกระโดดหนีเลย ดูแล้วก็น่าสงสารครับ
 รถม้านำเที่ยวชมเมืองพร้อมอัตราค่าบริการ
กระต่ายพันธุ์เนื้อขายเพื่อเป็นอาหารมนุษย์
และแล้วก็ได้เวลาที่จะต้องเดินทางกลับเมืองเมดาน ด้วยระยะทางที่เหลืออีก 70 กิโลเมตร แต่เป็นระยะทางที่หฤโหดสำหรับคนขับรถมากๆ ทางโค้งหักศอกที่ลาดชันลงเขากอปรกับฝนที่ตกกระหน่ำมาจนทางบางช่วงมีน้ำป่าไหลบ่าตัดตรงกลางถนน ถ้าไหลนานๆไม่แน่ถนนก็อาจจะขาดได้ พวกเราทุกคนภาวนาให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย คนขับแกชำนาญเส้นทางมากขับช้าก็จริงแต่ปลอดภัย  100% ขากลับใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงกว่าทั้งที่ระยะทางแค่นั้นเอง ถึงช้ายังดีกว่าไปไม่ถึงนะ พวกเรากลับมาถึงเมดานประมาณสองทุ่ม ท่ามกลางความเหนื่อยเมื่อยล้าจากการนั่งรถแต่เช้า สิ้นสุดภารกิจการเดินทางโดยจ้างทัวร์ พวกเราให้ทิปไกด์และคนขับรถที่ให้บริการดีมากไปประมาณ 28 ดอลลาร์ และเจ๊หัวหน้าคณะทัวร์ยังได้นำของที่ระลึกจากเมืองไทยมามอบให้ด้วย นั่นคือเสื้อยืดคอกลมสีเหลืองสกรีนลาย Bangkok city Thailandติดไม้ติดมือมาให้แกด้วย แกดีใจมากขอบคุณพวกเราใหญ่เลยและรับมาสวมใส่เดี๋ยวนั้นเลย  สิ่งนี้เป็นสิ่งเล็กๆที่พวกเราไม่ควรมองข้ามนะครับ นั่นคือการนำของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ จากประเทศของเรามามอบให้กับคนต่างประเทศที่มีน้ำใจอันดีกับเรา จะเป็นการสร้างความประทับใจให้เค้ามากขึ้นไปอีก   
 Wisma Sederhana Budget Hotel
 บริเวณล็อบบี้ของโรงแรม
การกลับมาเมืองเมดานเที่ยวนี้เราไม่ได้จองที่พักไว้ที่ My Hotel เพราะได้จองไว้ในคืนสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ ดังนั้นวันนี้จึงต้องแยกกันพักกับกลุ่มสาวๆ รถตู้ของบริษัททัวร์ปล่อยสาวๆลงที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านไชน่าทาวน์ ส่วนเราสองคนกลับมาที่โรงแรมวิสม่า (Wisma Hotel)  ที่อยู่ติดกันกับ My Hotel ราคาโรงแรมที่นี่ถูกกว่ามากประมาณ 180,000 รูเปีย หรือประมาณ600บาทไทย เป็นห้องเตียงเดี่ยว แอร์ น้ำอุ่นพร้อม แต่ห้องพักอยู่ชั้นสี่เดินเมื่อยไม่น้อย ที่นี่มีบริการนวดสปาด้วยนะครับที่ชั้นสอง เก็บข้าวของเสร็จเราก็เดินออกไปที่ถนนที่ใกล้กับแท็งก์น้ำเพื่อไปทานอาหารตามสั่งแบบพื้นเมือง เราสั่งข้าวผัดไก่และหมี่ผัดไก่มาคนละชาม (Nasi Gorng Ayam & Mee Goreng Ayam) ที่นี่เขาโรยข้าวเกรียบมาด้วยแต่น้ำมันที่ใช้ผัดนี่สิเหลือรับประทานจริงๆ สนนราคาสองจาน 24,000 รูเปีย
 ร้านอาหารตามสั่งพื้นบ้านของชาวเมืองเมดานแม้ดึกแล้วคนก็ยังแน่น
ข้าวผัดและหมี่ผัดใส่เนื้อไก่แถมไข่เจียวมาให้ด้วยทานคู่กับข้าวเกรียบอินโดฯ
พรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันท่องเที่ยวอิสระหนึ่งวัน จะตื่นสายยังไงก็ได้ชีวิตเป็นของเราไม่ต้องทำตามสูตร 5-6-7 เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา วันรุ่งขึ้นเราเลยตื่นเสียเก้าโมงแล้วลงมาทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมบริการให้ฟรี เป็นข้าวผัดตักแบบบุฟเฟ่ต์ ทานพร้อมกับชาร้อนแก้เลี่ยน ให้ท้องอิ่มก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะไปไหนกันต่อ
 บุฟเฟ่ต์อาหารเช้ามีข้าวผัด แผ่นข้าวโพดทอดและขนมชั้น
 ข้าวผัดต้องรับประทานกับชาร้อนนะ ไม่งั้นมันจุกอกแน่ๆ

ตอนต่อไปจะเป็น City Tour Medan เป็นการเดินเท้าแบบไม่ง้อรถโดยสารแทบจะตลอดทริปครับ