วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวย่างกุ้งตอนที่ 5 เที่ยวชมย่างกุ้งแบบอ้อยอิ่ง แวะช้อปปิ้งตลาดสินค้าพื้นเมืองก่อนมุ่งหน้ากลับเมืองไทย

            และแล้วโครงการแบกเป้เที่ยวพม่าก็เดินทางมาสู่ตอนจบวันสุดท้ายของทริปทำไมเราถึงมักตื่นสายเสมอ ก็เพราะว่าเรามีความเหนื่อยสะสมมานั่นไง วันสุดท้ายเลยตื่นเสียแปดโมงกว่าจะออกมาทานอาหารเช้าได้ก็เก้าโมงกว่า แต่สิ่งแรกที่ทำให้เราต้องตื่นเต้นอีกครั้งนั่นคือขบวนพระบิณฑบาตเป็นแถวยาวผ่านหน้าโรงแรมที่เราพัก เราเห็นชาวบ้านมารอตักข้าวใส่บาตรอยู่ พระที่นี่รับเงินได้เป็นเรื่องปกติแต่สงสัยอย่างว่าพระที่นี่ออกบิณฑบาตกันสายมากๆ ไม่เหมือนบ้านเราที่ออกแต่เช้าตรู่ เพราะพวกเราออกไปเที่ยวกันก่อนที่ขบวนพระจะเดินมาบิณฑบาตเสียอีก
พระและสามเณรออกบิณฑบาตผ่านหน้าโรงแรม 

                หลังจากที่จัดการกับข้าวผัดมื้อเช้าเสร็จแล้ว เราก็ยกกระเป๋าออกมาจากห้องเพื่อเช็คเอ๊าท์และฝากไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมก่อนที่จะเดินออกไปแบกเป้เที่ยวเมืองย่างกุ้งกันต่อ โดยจุดแรกที่เราจะแวะคือเจดีย์สุเลในตอนเช้า เพื่อนำเงินทำบุญของเพื่อนๆคนไทยที่เหลือบรรจงหยอดใส่ตู้บริจาคให้หมดเพื่อไม่ให้เหลือติดค้างคาใจกันอีก เจดีย์สุเลยามเช้าผู้คนมาทำบุญไม่มากเท่ากับตอนกลางคืนแต่ก็พอมีให้เห็นบ้างประปราย แดดอ่อนๆยามสายช่วยขับสีทองของยอดเจดีย์ให้ทอประกายงดงามยิ่งขึ้น
เจดีย์สุเลในยามเช้า ฝนตกพรำๆ  
ร้านขายกีต้าร์บริเวณฐานเจดีย์สุเล

                เมื่อทำบุญด้วยเงินก้อนสุดท้ายจนหมดแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือเดินเท้าต่อไปยังตลาดโบซกอ่องซาน (Bogyoke Aung San Market) หรือ ตลาดสก๊อตต์ (Scott Market) ซึ่งระหว่างทางเราจะต้องเดินผ่านกลุ่มอาคารสมัยอาณานิคมอังกฤษซึ่งจะประกอบด้วย ศาลากลาง (City Hall) ซึ่งเป็นอาคารผสมผสานระหว่างศิลปะพม่าและอาคารแบบอังกฤษ ส่วนอาคารศาลนั้นเป็นอาคารอิฐสีแดงแบบอังกฤษแท้ๆ
โรงหนังชั้นนำใจกลางกรุงย่างกุ้ง 

อาคาร City Hall และอาคารศาลสร้างแบบอังกฤษ

อาคารศาลใจกลางกรุงย่างกุ้งสร้างแบบอังกฤษแท้ๆ 
มัสยิดใหญ่ในเมืองย่างกุ้งพบเห็นได้ทั่วไป 
               
ตลาดโบซกอ่องซาน (Bogyoke Aung San Market) เป็นตลาดกลางค้าสินค้าพื้นเมืองของพม่า  มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตลาดสก๊อตต์ (Scott Market) เพราะสร้างขึ้นโดยชาวสก๊อตแลนด์ เป็นตลาดที่บรรดานักช้อปชาวไทยไม่ควรพลาดเพราะมีสินค้านานาชนิดจำหน่ายและที่สำคัญสามารถต่อรองราคาได้ สินค้าในตลาดนี้ประกอบด้วย ผ้าปักพื้นเมือง งานแกะสลักไม้ เครื่องเงิน เครื่องเขิน เครื่องดนตรี ตุ๊กตาระบำ ย่าม โสร่งและเสื้อผ้าสไตล์พื้นเมือง ภาพวาดงานศิลปะ และที่สำคัญที่สุดคือ อัญมณีจำพวกหยกและทับทิมที่มาจาก เหมืองโมก๊ก (Mogok) แต่เราขอเตือนท่านๆ สักนิดว่าการหาซื้ออัญมณีควรจะซื้อจากร้านค้าที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลจะได้อัญมณีแท้ ซึ่งแน่นอนราคาย่อมแพงเป็นเรื่องปกติ ส่วนทับทิมจากเหมืองโมก๊กนั้นหายากเต็มทีผู้ซื้อต้องทำใจเนื่องจากว่าทับทิมส่วนใหญ่ในปัจจุบันมาจากแอฟริกาทั้งนั้น แล้วนำมาเจียระไนขึ้นตัวเรือนกันที่นี่
ตลาดโบซกอองซาน ตลาดค้าสินค้าพื้นเมืองพม่า 
ผ้าโสร่งนับเป็นสินค้าขึ้นชื่อของประเทศพม่า 
ร้านขายเครื่องเขินและงานแกะสลักไม้กับหุ่นชักรอกแบบพม่า 

หยกนานาชนิดวางโชว์เต็มตู้ 

การต่อรองราคาสินค้าภายในตลาดโบซกอ่องซานนั้นควรต่อรองพ่อค้าแม่ค้าเยอะๆก่อน เพราะที่นี่จะบอกราคากันค่อนข้างสูงมาก ลองให้ทำเป็นไม่สนใจแล้วทำท่าจะเดินจากไป เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะรีบบอกลดราคาทันที สินค้าที่พวกเราพากันได้ซื้อมาคือ เครื่องประดับเงิน เครื่องเขินไม้ และผ้าโสร่งพม่าของผู้ชาย หรือที่เรียกกันว่า โลงยี (Longyis) ราคาโสร่งผืนละ 5000 จ๊าด
บรรยากาศภายในตลาดเต็มไปด้วยชาวต่างชาติและคนพื้นเมืองมาจับจ่าย 
อัญมณีขึ้นชื่อของพม่านั่นคือหยกนั่นเอง

                เมื่อเดินถัดออกมาจากตลาดนิดหน่อยก็จะพบ โบสถ์โบราณสไตล์โกธิค  เป็นโบสถ์คาทอลิกแบบยุโรปก่อด้วยอิฐสีแดง ถ้าคุณว่างพอก็สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปที่นี่ได้ เพราะอยู่ติดกับตลาด ส่วนบริเวณหน้าตลาดจะมีทหารรักษาการณ์ยืนถือปืนอยู่ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ราชการและเค้ามีไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรมที่อาจเกิดขึ้นในตลาดค้าอัญมณีนั่นเอง
โบสถ์คาทอลิกสไตล์โกธิค และอาคารเก่าแก่มักจะสร้างด้วยอิฐสีแดง

         มื้อเที่ยงวันนี้เราขอยกระดับการรับประทานอาหารกันบ้าง ถ้าคุณผู้อ่านติดตามเรามาตลอดว่าแต่ละมื้อเราจะทานกันแต่ข้าวแกงพม่า ไม่ก็อาหารอินเดียหรืออาหารมื้อเช้าของโรงแรม แต่มื้อกลางวันนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายในกรุงย่างกุ้งเลยอยากทานอาหารดีดีบ้าง แล้วเราก็มาสะดุดกับภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นของโรงแรมที่ตั้งอยู่ด้านใน ภัตตาคารนี้ขายอาหารระดับนานาชาติมีชื่อว่า Zawgyi House Café  ถือว่าเป็นร้านไฮโซของที่นั้นเลยทีเดียว เพราะไม่ปะหน้าคนพื้นเมืองเลยสักคน มีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งหมด
  Zawgyi House Café  ภัตตาคารนานาชาติชั้นเลิศ 
น้ำพั้นช์แบบค็อกเทลรสผลไม้รวม

          เรานั่งที่ระเบียงด้านนอกของร้าน สั่งต้มหมี่ซั่วและหมี่ผัดมานั่งทาน นอกจากนี้เรายังได้ลองสั่งพิซซ่าแบบอิตาเลียนมานั่งทานกันด้วย ก่อนตบท้ายด้วยน้ำเมล่อน ซึ่งเดินทางไกลมาจากเมืองบากันโน่น (Bagan Melon Juice ) แก้วละ 1500 จ๊าด แต่รสชาติออกมันแตงไทยจนเลี่ยน และพลาดไม่ได้กับค็อกเทลสูตรเด็ดที่เราสั่งมาใส่ขวดเกือบ1ลิตร เล่นเอาหัวหมุนตอนกลางวันได้เหมือนกันนะนี่ สนนราคามื้อนี้หมดไปที่ 24,000 จ๊าดจ้า
น้ำเมล่อนจากเมืองบากันซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลเท่านั้น
พิซซ่ารสชาติแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆ
หมี่ซั่วต้มแบบจีน แต่หน้าตากลับคล้ายแกงจืดเสียมากกว่า

         ทานอิ่มกันถ้วนหน้าจนแทบเดินไม่ไหว อย่างนี้เราต้องกลับไปเดินที่ตลาดโบซกอ่องซานอีกสักรอบเพื่อให้ระบบย่อยเผาผลาญ และเผื่อว่าจะหาซื้อของถูกใจได้เพิ่มมาอีกด้วยแต่แล้วเราก็ไม่สามารถหาซื้ออะไรได้อีกนอกเสียจากแป้งทาหน้า ทานาคาของพม่าที่ต้องมานั่งเจ็บใจภายหลังเมื่อรู้ว่าเป็นสินค้าที่มาจากเมืองไทย
หลากชีวิตบนท้องถนนหน้าตลาดโบซกอ่องซาน

แม้แต่คนพื้นเมืองก็ยังเดินทางมาจับจ่ายซื้อของกันที่นี่

             เดินตลาดเพลินจนบ่ายสองได้เวลาที่เราจะต้องกลับไปยังที่พักเพื่อจัดกระเป๋าเพิ่มเติมและเดินทางไปยังสนามบินย่างกุ้ง ระหว่างทางเดินกลับเรายังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปวิถีชีวิตคนเมืองที่ดูไม่เร่งรีบเท่าใดนัก และตึกรามบ้านช่องในสมัยอาณานิคม ถึงแม้ประเทศนี้จะถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารแต่แววตาที่ฉายออกมาจากคนที่นี่ยังแสดงถึงความสุขที่เต็มเปี่ยม เพราะสังคมของเขามิได้แก่งแย่งแข่งขันเหมือนกับอีกหลายสังคมในทุกวันนี้นั่นเอง
เห็นรถเมล์จอดอยู่ข้างทางก็เลยขอเนียนทำเป็นนั่งรอรถเมล์เสียเลย 

ด้านขวามือคือเกสท์เฮ้าส์ราคาถูกอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันกับที่พักของเรา 

เพิ่งจะรู้ว่าในเมืองย่างกุ้งจะมีสโมสรฟุตบอลเป็นของตนเองด้วย

            และแล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรามีพบแล้วก็ต้องมีจาก เมื่อเราต้องอำลากรุงย่างกุ้งกลับสู่กรุงเทพมหานคร คนขับรถคนเดิมมารับพวกเราที่โรงแรมตามที่ได้นัดไว้ตอนประมาณบ่ายสามเพื่อเหมารถไปสนามบินในราคา 10ดอลลาร์ มีผู้ร่วมทางอีกสามคนเป็นชาวต่างชาติที่พักที่โรงแรมเดียวกัน พวกเขาต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เหมือนกับพวกเรา เราเลยเสนอให้พวกเขาได้อาศัยรถนั่งมาด้วยกัน ไม่นานนักรถก็แล่นถึงสนามบิน เราต้องขอขอบคุณ คุณไกด์ผู้ใจดีที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับพวกเราตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายโดยที่ไม่เคี่ยวกับพวกเราเลยสักนิด เจ๊เลยขอจัดแจงตบรางวัลทิปให้อย่างงามให้สมกับที่ดูแลเราเป็นอย่างดี

ถึงแล้วสนามบินย่างกุ้ง

ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกกันหน่อย

 
            เมื่อถึงสนามบินแล้วต้องไม่ลืมที่จะจ่ายค่าภาษีสนามบินต่างหาก 10 ดอลล่าร์นะ เพราะภาษีสนามบินฝั่งขากลับจากกรุงย่างกุ้งมิได้รวมอยู่ในอัตราค่าโดยสารของสายการบินแอร์เอเชียครับ อาคารผู้โดยสารช่วงบ่ายเต็มไปด้วยผู้คนทั้งมารอรับญาติและมาขึ้นเครื่องเพราะที่นี่เค้าไม่ได้แยกจากกันสิ้นเชิง ส่งผลให้คณะของเราไม่มีที่นั่งรอเครื่องเลย แต่ดีที่ร้านขนมและเครื่องดื่มเล็กๆในสนามบินราคาไม่สูงเกินไปเหมือนสนามบินบ้านเรา ยังพอพึ่งพาอาศัยกันได้ เมื่อเสียค่าภาษีสนามบินและโหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะหลีกหนีความวุ่นวาย เข้าสู่ส่วนของผู้โดยสารขาออก ภายในนั้นยังมีร้านค้าเล็กๆที่คอยละลายทรัพย์นักท่องเที่ยวอีกมากมาย ซึ่งมีทั้งร้านขายหยก ขายชา ขายของที่ระลึกของพม่า ในที่สุดเราก็ได้หนังสือเล่มเล็กๆนำเที่ยวเมืองย่างกุ้งมาในราคาเล่มละ 6ดอลล่าร์ แบกเป้เที่ยวพม่าในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณแอร์เอเชียที่ได้เสนอโปรโมชั่นดีดี ถึงแม้ช่วงเวลาเดินทางยังไม่ดีนักเพราะเป็นฤดูฝน นักท่องเที่ยวน้อยมาก ถึงอย่างไรคราวหน้าหากมีโอกาสได้มาเยือนพม่าอีกเป็นครั้งที่สาม เราก็จะไม่พลาดเมืองบากันและเมืองมัณฑะเลย์แน่นอน แล้วพบกันใหม่ครับ

มุมกาแฟและเบเกอรี่เล็กๆ ภายในสนามบินย่างกุ้ง 

ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีสนามบินขากลับคนละ 10 ดอลล่าร์ 
สายการบินประจำชาติของพม่า

ลาแล้วจ้ากรุงย่างกุ้งแล้วพบกันใหม่นะ