วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หนาวนี้ที่เลห์ลาดั๊กห์ (Juleh! Welcome to Leh) เที่ยวเลห์ เตรียมตัวให้พร้อมก่อนพิชิตหลังคาโลก แวะเที่ยวเดลลีก่อน1วัน ( Qutub Minar Dehli)

Calling from Leh!  Calling from Leh!

อะไรนะ จะไปเที่ยวเลห์ลาดั๊กห์กันเหรอ แล้วที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวล่ะ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทิวทัศน์ที่งดงามแล้ว เพื่อนสาวร่างท้วมของชั้นได้บรรยายถึงดอกไม้ใบหญ้าที่อาจจะพร้อมใจกันผลิบานในช่วงนั้น หิมะที่ยังละลายไม่หมด รวมไปถึงวัดแบบทิเบตที่พบเจอได้ทั่วไป เพียงแค่นั้นฉันก็หูผึ่งอยากขอติดตามไปด้วยทันที 
ดอกApricot บานที่ Nubra Valley 
ทะเลสาบปานกองแสนงดงาม

ช่วงสงกรานต์เป็นเวลาที่ช่างเหมาะแก่การไปเที่ยวแบบยาวๆของมนุษย์เงินเดือนอย่างเรามากๆ การเที่ยวที่หนาวๆเพื่อหลีกหนีอากาศร้อนๆในบ้านเรามักเกิดขึ้นเสมอ เพื่อนฉันสามารถหาตั๋ว กรุงเทพฯ-เดลลี, เดลลี-เลห์ (BKK-Delhi-Leh, Leh-Dehli-BKK)แบบไปกลับ4ขาได้ ในราคาเพียง 13,500 บาท จากสายการบินแอร์อินเดีย (Air India)ได้ พวกเราทุกคนพร้อมใจกันจองก่อนที่ราคามันจะขยับขึ้นไปไกล เพราะถ้าบินสายการบินในประเทศในช่วงนี้ราคาจะแพงหูฉี่เลยทีเดียว
จองตั๋วเครื่องบินได้แล้วก็พร้อมเดินทางกันเลยจ้า 
ตั๋วบินแบบสองขาจะต้องพิมพ์ออกมาสองใบนะจ๊ะ



ไปเที่ยวอินเดียทุกครั้งนอกจากจะต้องจองตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมล่วงหน้าแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะขอวีซ่าอินเดียกันด้วยนะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ทำได้สบายโดยทำกับบริษัทที่รับทำวีซ่าตึกย่านอโศก ค่าทำวีซ่าอยู่ที่ 2250 บาท รวมค่าส่งตัวเล่มหนังสือเดินทางแล้ว และการเดินทางไปเมืองเลห์ไม่จำเป็นต้องระบุอะไรพิเศษในแบบฟอร์มขอวีซ่า

                การเดินทางขึ้นที่สูงทุกครั้ง ทุกคนมักจะมีปัญหาเรื่องความกดอากาศเนื่องจากเราใช้ชีวิตอยู่กับพื้นล่างมานาน การขึ้นที่สูงกว่า 3,000 เมตรแบบทันที ร่างกายต้องการการปรับตัวก่อนซึ่งถ้าไม่กินยาปรับความดันไปก่อนก็ต้องยึดหลักให้ร่างกายเคลื่อนไหวให้ช้าลง อย่ารีบเดินหรือลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป โดยอาการเบื้องต้นของโรคแพ้ความสูง (High Altitude Sickness) เบื้องต้นที่พบคือใจจะสั่นชีพจรเต้นแรงและเร็ว บางคนอาจเวียนหัวปวดหัวหรือคลื่นไส้ได้ แต่อาการเหล่านี้จะหมดไปถ้าอยู่ที่นั่นหลายวันแล้วจนร่างกายปรับตัวจนชิน ที่สำคัญไปถึงวันแรกห้ามนอนพักเด็ดขาดให้พยายามเดินเข้าไว้
ข้อปฏิบัติตัวเมื่อเดินทางขึ้นที่สูงที่ต้องระวังไว้

     และอย่าลืมเตรียมเสื้อกันหนาว ชุดชั้นในลองจอนและผ้าพันคอหรือผ้าคลุมไหล่ให้พร้อมด้วย ถุงเท้าหนาๆและรองเท้าหนาก็ช่วยได้มาก เพราะที่เมืองเลห์ลมค่อนข้างแรง และช่วงเดือนเมษายน อุณหภูมิช่วงเช้ายังติดลบอยู่และตอนกลางวันก็ยังคงเป็นเลขตัวเดียว อย่าลืมถุงมือและหมวกด้วยนะจ๊ะ มันช่วยได้เยอะเลย บางโรงแรมที่เมืองเลห์ไฟฟ้าเดินเป็นเวลา ดังนั้นฮีทเตอร์จะไม่ได้ร้อนทั้งคืน ซึ่งตื่นมาตอนเช้าจะหนาวมากๆ
การเดินทางบางตอนมีหิมะ ดังนั้นแว่นกันแดดกับรองเท้าบู๊ตก็จำเป็น

                เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ถึงเวลาเตรียมตัวขึ้นเครื่องกันได้แล้ว ด้วยไฟลท์ที่เราออกเดินทางของแอร์อินเดียเป็นไฟลท์เช้า เดินทางประมาณ 9 โมงเช้า ต้องไปถึงสนามบินก่อนเวลาใช้เวลาบิน สี่ชั่วโมงครึ่ง ไปถึงที่นั่นก็จะประมาณเที่ยงๆ เครื่องบินใช้ลำใหญ่ประมาณ 300 ที่นั่ง หลับไปตื่นนึงก็ถึงสนามบินอินทิราคานธีโดยสวัสดิภาพ
สามแซ่บพร้อมเดินทางแล้วค่ะ อีกหนึ่งหนุ่มแยกไปนั่งอีกที่ 
แอร์อินเดียพร้อมเสิร์ฟความบันเทิงตลอดการเดินทาง 
บินลำใหญ่ที่นั่งกว้างขวางตลอด4ชั่วโมงเต็ม 
อาหารเสริ์ฟมื้อเช้าเป็นไข่ม้วนกับขนมปังครัวซองต์จ้า 
เอกลักษณ์ของสนามบินกรุงเดลลีคือเจ้าสัญลักษณ์มือนี่แหละ

         พอก้าวออกจากสนามบินกรุงเดลลี สิ่งแรกที่เราต้องเจอคือ เหล่ารถแท็กซี่มารุมล้อมราวกับว่าเราเป็นซุปตาร์อะไรปานนั้น แต่ละคนแย่งกันมาเสนอราคาไม่ต้องห่วง แค่เราเดินหนีราคาค่ารถแท็กซี่ก็จะถูกลงเรื่อยๆๆ จนได้ราคาที่จะไปส่งเราที่โรงแรมแบบกดมิเตอร์ โดยโรงแรมที่เราพักมีชื่อว่า  Suncourt Hotel Yatri อยู่ย่าน Karol Bagh ใจกลางกรุงนิวเดลลี ค่าห้องพักคืนละ 1300 บาทโดยประมาณ ท่ามกลางรถราที่ติดขัดแสนสาหัสในบ่ายวันอังคาร แม่เจ้าใช้เวลาบนท้องถนนกว่าชั่วโมงครึ่งจึงถึงที่พัก มาพร้อมกับความหิว เหวี่ยงกระเป๋าเสร็จก็ออกไปหาของกินยามบ่ายเลย ร้านอยู่ติดกับโรงแรมมีชื่อว่า J P Chicken Corner สั่งข้าวหมกกับไก่Tikka และไก่ทันดูรีมากินซะเต็มคราบเลย
สัมภาระพวกเราเยอะจนต้องวางบนหลังคาเลยค่ะ 
เป็นอาหารอินเดียตอนเหนือที่อร่อยมากๆ 
 ไก่ย่างมาครบทั้งสองสูตร มีปลาทอดและข้าวหมกด้วย
โฉมหน้าของร้าน JP Chicken จ้า

เรานั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Karol Baghไปยังสถานี กุตับ มินาร์ (Qutab Minar) ไกลจากโบราณสถานประมาณ 1กิโลเมตร เราต้องนั่งรถตุ๊กๆไปลงที่กุตับมินาร์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 50 รูปี เมื่อถึงแล้วให้เดินข้ามถนนกลับมาซื้อตั๋วเข้าชมในราคาสมาชิก BIMSTEC นั่นคือ 10 รูปี เหมือนกับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังตามที่ต่างๆ โบราณสถาน Qutab Complex เป็นการเข้ามาของวัฒนธรรมอิสลามในยุคตอนต้น เป็นที่ตั้งของหอสูงกุตับมินาร์ Qutab Minar ซึ่งในสมัยค.ศ. 1200 ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงมาก เด่นที่สุดในกรุงเดลี สร้างในสมัยสุลต่าน Qutab-ud-din-Aibak ซึ่งเป็นผู้นำชาวมุสลิมที่เข้ามายึดครองอินเดียในยุคแรก
ป้ายทางเข้า Qutub Minar 
สถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลามคือหลังคายอดโดม 
สตรองกันให้เต็มที่กับศิลปะแบบโมกุล 
หอสูงที่ปัจจุบันห้ามคนขึ้นไปแล้ว

หอคอยโบราณนี้สร้างขึ้นด้วยหินทรายสีแดงสูง 72.5 เมตร ฐานล่างกว้างและค่อยแคบลงจนถึงจุดสูงสุด ตรงกลางเป็นโพรงมีบันไดเวียนขึ้นไปชั้นบน แต่ก่อนเปิดให้เข้าชม ต่อมามักมีคนไปกระโดดหอเพื่อฆ่าตัวตายบ่อยครั้งเข้า เขาก็เลยปิดไม่ให้ขึ้นไปโดยปริยาย  ใกล้กันกับหอคอยกุตับมินาร์ ยังมีหอคอยอีกแห่งที่สร้างไม่เสร็จ คงเหลือแต่ซากปรักหักพังคงไว้ที่ฐาน
สาวๆอินเดียในชุดส่าหรีสีสันสดใส 
กลุ่มโบราณสถานที่เป็นสุสานของที่นี่ 

จุดนี้เป็นกลุ่มโบราณสถานที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ

                รอบๆหอคอยยังคงมีซากปรักหักพังของมัสยิดหลังแรกของอินเดียที่มีชื่อว่า Quwwatul-Islam Masjid ซึ่งสร้างขึ้นก่อนหอคอยกุตับมินาร์เสียอีก มีลวดลายแกะสลักบนเสาและผนังที่น่าตื่นตาตื่นใจ บางส่วนก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูแล้ว เดินลึกเข้าไปในสุดเป็นที่ตั้งของสุสานมุสลิม ภายในมีแท่นหินอ่อนวางอยู่ คนอินเดียเมื่อเดินผ่านก็จะสักการบูชาด้วยการเอามือแตะหีบศพ แล้วกลับไปแตะหน้าผากตนเอง

เสาแกะสลักที่ยิ่งใหญ่และงดงาม

            โบราณสถาน Qutab Complex นั้นกว้างใหญ่มาก หากจะเดินให้ทั่วจริงๆ คุณจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง เพราะมีจุดให้แวะชมแวะถ่ายรูปเยอะมาก เยอะจนทำให้เราต้องตัดรายการท่องเที่ยวบางรายการออกไป เอาเป็นว่าพวกเราได้ชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่เลย ก่อนที่จะนั่งรถแท็กซี่กลับไปที่สถานีรถไฟฟ้าเพื่อนั่งรถกลับไปยังโรงแรม Suncourt Hotel Yatri เพื่อพักผ่อนก่อนที่จะต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปสนามบินอินทิราคานธี เพื่อนั่งเครื่องไปเมืองเลห์
บนรถไฟฟ้ากรุงเดลลียามคนเลิกงานคนแน่นเนืองนอง 
สถานีรถไฟฟ้าที่นี่กว้างขวางแต่ยังล้าสมัยหลายจุดเลย
โรงแรมที่เรานอนพักคืนแรก
บรรยากาศภายในห้องพักแอร์เย็นฉ่ำ 
บริเวณหน้าล้อบบี้โรงแรม

พรุ่งนี้แล้วสิเราจะได้เดินทางไปเปิดหูเปิดตาเมืองเลห์ พิชิตอาการแพ้ความสูงกันครับ จะรอดหรือไม่รอดติดตามตอนต่อไปกัน





วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แบกเป้เที่ยวไทเปตอนสุดท้าย ไหว้พระ4วัด ขอพรก่อนบินกลับกทม.กันจ้า ( Places to make a wish in Taipei)

มาเที่ยวไทเปกันทั้งที ถ้าไม่ให้แวะไหว้พระเข้าวัดเพื่อขอพรเลยก็กระไรอยู่ อีกอย่างการเดินทางของเราก็มาสิ้นสุดลงในวันนี้แล้วด้วย วันนี้เราจึงขอแนะนำวัดดังในไทเปให้สำหรับคนที่มาเที่ยวแล้วต้องการไหว้พระขอพรกันด้วยด้วย ซึ่งการเดินทางไปแต่ละแห่งก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินไปสามารถเดินทางถึงกันได้ด้วยรถไฟฟ้าและรถเมล์ครับ
วัดขงจื๊อที่เราจะพาไปเที่ยวในวันนี้จ้า

หลังจากที่เราอัดมื้อเช้าไปด้วยกาแฟไฮโซแบรนด์ดัง เราก็พบว่าที่ร้านมีขายถ้วยกาแฟให้ซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกด้วยซึ่งลายก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือ Signature ของเมืองๆนั้น ซึ่งลายของไต้หวันก็ไม่ทำให้เราต้องผิดหวังครับ กินเสร็จก็แวะถ่ายกับเจ้าป้ายการ์ตูน Naruto สักนิดก่อนที่จะต้องเดินทางด้วยรถใต้ดินกันต่อ วัดแรกที่เราจะไปสักการะตั้งอยู่นอกเมืองเป็นวัดที่ไกลที่สุด โดยเราจะเริ่มต้นจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยมาเก็บสถานที่ท่องเที่ยวภายในเมือง
แก้วเซรามิคแบบ Signature ของเมืองต่างๆในไต้หวัน 
ถ้าแก้วเซรามิคแพงไป แบบแก้วพลาสติกก็มีนะ
ขอบ้านารูโตะการ์ตูนสุดโปรดแป๊บนึงนะ

  วัดกวนตู้ (Guandu Temple) วัดกวนตู้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทเป คนที่มาที่นี่ล้วนมาไหว้พระขอพรให้ร่ำรวยและโชคดี โดยมีเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมาจู่ (Matzu) เพื่อให้เดินทางปลอดภัยและโชคดี และองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม อยู่ภายในอุโมงค์วัด โดยวัดแห่งนี้ได้สร้างขึ้นบนภูเขา และมีการเจาะอุโมงค์ยาวกว่าร้อยเมตร เพื่อทะลุไปอีกฝั่งหนึ่งและไปสักการะองค์กวนอิมได้ ตรงทางเข้าวัดจะมีเสาให้หยอดเหรียญขอพรซึ่งจะนำมาซึ่งความร่ำรวยเงินทอง ถ้าคุณทำการค้าหรือเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ควรพลาดมาไหว้พระขอพรที่นี่จ้า

มาที่นี่อย่าลืมไหว้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลนะ

ชุดเครื่องไหว้ขอพรมีจำหน่ายในวัดเลย ไม่ต้องไปหาซื้อไกล

วัดกวนตู้ยังปรับปรุงไม่เสร็จนะครับ

มังกรพ่นน้ำหน้าวัดกวนตู้


เจ้าแม่กวนอิมปางพันมือ

อุโมงค์ในวัดเจาะผ่านเขายาวกว่าร้อยเมตร นำไปสู่ทะเล

สถาปัตยกรรมวัดกวนตู้งดงามไม่แพ้วัดใดเลย



เปิดให้บริการ 8.30-21.00 น. การเดินทาง MRT สายสีแดง สถานี Guandu แล้วเดินต่อมายัง No.360 Zixhing Road, Beitou District, Taipei แต่เดินไกลอยู่ แนะให้เรียกแท็กซี่ได้ไม่แพงครับ

ไหว้พระขอพรที่แรกเสร็จแล้วก็ต่อไปยังวัดที่สอง เดินทางด้วยรถเมล์ไปลงยังสถานีรถไฟฟ้าเป่ยโถว (Beitou) เพื่อนั่งรถ MRTสายสีแดงไปลงยังสถานี Yuanshan แล้วเราจะได้เที่ยวสองวัดกันต่อ ระหว่างทางเดินไปถึงวัด เราจะต้องเดินผ่านสวน Taipei Expo Park ที่ร่มรื่นก่อน ข้างในยังเป็นสนามกีฬาอีกด้วย  เป็นสวนที่สวยน่าเดินแห่งนึงเลยล่ะ
ถึงแล้วสนามกีฬาไทเป 
Taipei Expo Park 
 
พาหนะยอดฮิตของคนที่นี่คือจักรยานนั่นเอง

วัดเป่าอัน (Baoan Temple) เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองไทเปมากว่า 200ปี โดยมีเทพเจ้าที่ชื่อว่าเทพเจ้าเป่าเซิงต้าตี้ (Baosheng Dadi)  ที่ช่วยอำนวยพรให้ทุกท่านที่มากราบไหว้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง และอายุยืนยาว ภายในวัดยังคงมีเซียมซีให้เสี่ยงทาย แต่ถ้าจับได้ไม้ไหนคงต้องไปอ่านและแปลภาษาจีนเอาเอง นอกจากนั้นยังมีไม้เสี่ยงทายที่เรียกว่า ปวย อีกด้วยด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามทำให้วัดแห่งนี้ได้รับรางวัลวัดที่สวยงามที่สุดในไทเป และห่างจากวัดเป่าอันไปเพียงไม่กี่ก้าว เพียงแค่เดินข้ามถนนเราก็จะเข้าสู่วัดลัทธิขงจื๊อแห่งไทเปกันแล้ว
มาถึงแล้วนะวัดเบ่าอัน 
ภาพวาดสามก๊กภายในวัดเบ่าอัน 
เทพเจ้าเป่าเซิงต้าตี้ภายในวัด 
มาที่นี่แล้วอย่าลืมขอพรให้มีสุขภาพดีกันนะจ๊ะ 

ด้านหน้าวัดเบ่าอัน จะเห็นได้เลยว่าวัดแห่งนี้เก่าแก่มาก
ถนนแบบตัวหนอนโบราณหน้าวัด

       วัดขงจื๊อแห่งไทเป (Taipei Confucius Temple) ด้วยลัทธิขงจื๊อสอนเรื่องการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายซึ่งสอดคล้องกับที่ปราชญ์ของขงจื๊อท่านได้สอนไว้ ซึ่งในวัดแห่งนี้จะไม่มีเทพเจ้าองค์ใดๆทั้งสิ้นให้ขอพร แต่แปลกตรงที่ว่าใครก็ตามที่มาไหว้พระที่นี่ก็มักจะเขียนขอพรให้สำเร็จด้านการศึกษา ขอพรให้สอบผ่าน ไม่แปลกที่จะได้เห็นนักเรียนนักศึกษาที่นี่ เพราะว่าปราชญ์ขงจื๊อท่านเป็นปราชญ์แห่งการเรียนรู้นั่นเอง และสิ่งที่น่ารักของวัดนี้อีกอย่างคือ รูปปั้นท่านนักปราชญ์หน้าวัดนั่นเอง
มีเอกสารแจกฟรีเกี่ยวกับวัดและลัทธิขงจื๊อด้วย

ประตูทางเข้าวัดสร้างแบบเรียบง่าย 
รูปปั้นนักปราชญ์ทำแบบการ์ตูนอนิเมชั่นเลย 

ตัววัดสร้างแบบเรียบง่ายแต่ก็มีขนาดใหญ่โตใช่ย่อย 
มาที่นี่อย่าลืมขอพรให้สอบผ่านกันด้วยนะเด็กๆ 

รูปปั้นลิงปริศนาธรรมด้านนอกวัดขงจื๊อ 

    ไหว้พระกันเพลินยันบ่ายจนลืมเวลากินข้าวกลางวันไปเลย โชคดีที่หน้าวัดมีร้านอาหารไต้หวันแบบบุฟเฟ่ต์ จ่ายแค่หัวละ 250NTD แล้วเดินเข้าไปตักข้าว ตักกับข้าวแบบไม่อั้นเลย ดูแล้วไม่แตกต่างจากบุฟเฟ่ต์ข้าวแกงไทยเท่าไร แต่กับข้าวเป็นแบบสไตล์ไต้หวันทั้งหมด 
สำรับกับข้าวตามแบบฉบับไต้หวัน จืดทุกอย่างเลย

      ตั้งแต่เช้ามาเราได้ขอพรทั้งด้านสุขภาพ ด้านการเรียนรู้ ด้านความมั่งคั่งร่ำรวย ยังจ้ะยังไม่หมด ยังเหลืออีกด้าน ถ้านึกไม่ออกด้านความรักไงล่ะ หนุ่มๆสาวๆไม่ควรพลาดที่จะมาสักการะยังวัดแห่งสุดท้ายของวันนี้ แต่เราเชื่อว่าน่าจะมีแต่สาวๆมาไหว้ขอพรกันมากกว่า
ระหว่างทางได้เดินผ่านสวนสวยอีกแล้ว

วัดแห่งสุดท้ายเรานั่งรถใต้ดินมาโผล่ที่สถานีนี้

       วัดแห่งเทพเจ้าเสียไห่ (Hsiahai city god temple) เดินทางไม่ยากอยู่ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางด้วย MRT สายสีแดง ลงสถานี Zhongshan แล้วเดินอีกนิด ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นแทบก้าวขาไม่ออก วัดแห่งนี้มีเทพเจ้า เย่วเซี่ยเหล่าเหริน ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงจันทร์ ช่วยในเรื่องของความรัก ความจริงวัดนี้มีขนาดเล็กมากจนเกือบจะกลายเป็นศาลเจ้า สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1860 ถ้ายังไม่มีเครื่องไหว้เราก็สามารถซื้อเครื่องไหว้หน้าวัดได้ แล้วก็ทำตามขั้นตอนที่แนะนำเท่านั้นเอง
วัดสุดท้ายนี่เราจะเจอแต่สาวๆกันนะครับ 
มาที่นี่ต้องไหว้เทพแห่งดวงจันทร์ที่ช่วยดลบันดาลเรื่องความรัก 
วัดเสียไห่ตอนนี้ยังปรับปรุงไม่เสร็จ ปีหน้าน่าจะบูรณะแล้วเสร็จ 
การเดินทางมาวัดนี้จะซับซ้อนหายากนิดนึง เพราะมีขนาดเล็กมากๆ

           ออกจากวัดเพื่อเดินทางกลับที่พักเราได้เดินผ่านถนนย่านการค้าโบราณอีกเส้นทางหนึ่ง มีชื่อว่า Dinhua Commercial Street ตลอดสองข้างทางจะเป็นร้านค้าเก่าแก่ให้อารมณ์คล้ายย่านเมืองเก่า มีคาเฟ่เล็กๆซ่อนตัวอยู่ตามห้องแถวโบราณนั้นๆ แล้วของที่ขายอยู่ก็มีราคาถูกมากๆด้วย แต่จะเป็นของคนมีอายุนิดนึงครับ
ถนนโบราณย่านการค้าของที่นี่ 
ร้านกาแฟเล็กๆ รอให้คนมาจิบแก้หนาว

มาถนนสายนี้ก็ต้องถ่ายรูปกับชื่อถนนสินะ ถ่ายวนไปนั่น

        แล้วเวลาสุดท้ายของวันก็มาถึงเราใช้เวลาที่เหลือเดินเลือกซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปฝากคนทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ก็คงหนีไม่พ้นเค้กไส้ผลไม้ต่างๆ แต่ดั้งเดิมเลยคือเค้กสับปะรด ในเวลาต่อมาก็แตกหน่ออกมาเป็นไส้เมล่อน ไส้พีช และอีกสารพัดไส้ในปัจจุบัน ที่นี่ขนมโมจิก็ดังไม่แพ้ญี่ปุ่นเช่นกัน แต่ขนมอื่นที่โด่งดังก็จะเป็นพวกขนมเปี๊ยะไส้ต่างๆ เช่นกัน
ของฝากขึ้นชื่อไต้หวันคือบรรดาเค้กก้อนเล็กๆนี่แหละ 
อาหารมื้อสุดท้ายของวันนี้ เราเบื่ออาหารไต้หวันเต็มทีแล้วล่ะ 
นมมะละกอรสชาติดีขึ้นชื่อไม่แพ้นมกล้วย นมแอ๊บเปิ้ลเลยล่ะ

             เครื่องออกตอนเช้ามืด เราใช้บริการของโรงแรมให้เค้าช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้ เช็คเอ๊าท์ออกกลางดึกคืนนั้นเอง  ค่ารถแท็กซี่ประมาณ 750NTD แต่ก็ยังคุ้ม เพราะข้าวของที่เราซื้อกันบวกกับกระเป๋าล้อลากใบใหญ่ก็เล่นเอาเต็มท้ายรถเหมือนกัน สนามบินนานาชาติเถาหยวนในหน้าหนาวนั้นหนาวจริง พี่แกไม่ยอมเปิดฮีทเตอร์หรือมันไม่มีก้ไม่รู้นะ ควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปใส่ที่สนามบินด้วย เครื่องบินของนกสกู๊ตออกตรงเวลาไม่ทำให้เราต้องผิดหวังเลย ใช้เวลาบินแค่สามชั่วโมงครึ่งก็ถึง กทม. กันแล้ว
Taoyuan International Airport ณ เวลา ตีสาม สนามบินเงียบมาก 
ภาพวาดแบบไต้หวันในสนามบิน 
บริเวณจุดรอผู้โดยสารขาออก 
เรานั่งรอGate ของนกสกู๊ตเปิดอยู่จ้า 
ในส่วนของที่นั่งรอก่อนขึ้นเครื่องไม่ได้เปิดฮีทเตอร์นะ 
เจ้านักยักษ์สีเหลืองของนกสกู๊ตมาจอดเทียบงวงแล้ว 

คราวหน้าเราจะรีวิวเมือง Leh Ladakh ไปเที่ยวแดนภารตะกันอีกรอบครับ