หนาวนี้ที่เลห์ลาดั๊กห์ กล่าวอำลา Julleh ณ เมืองเลห์
แล้วเราจะกลับมาเที่ยวใหม่นะ Say Good-Bye Leh Ladakh.
ถ่ายจากชั้นบนของโรงแรมที่เราพัก
ต้นหอมแดงที่นี่งามดีจัง
เช้านี้ร่างกายเราตื่นอัตโนมัติด้วยสมองสั่งการเมื่อคืนว่า
“เอ้ย แกต้องไปเก็บภาพใจกลางเมืองเลห์มาฝากทุกๆคนด้วยนะ” แล้วเราก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
ตื่นแต่เช้าพร้อมสะพายเป้ท่องเลห์แต่เช้าเลย
แต่สิ่งที่ทำให้เราผิดหวังก็คือ เมืองเลห์ยามเช้ายังคงหลับใหลไม่ตื่นเลย
เป็นเช้าวันใหม่ที่เงียบสงัดจริงๆ
แม้แต่เจ้าตูบก็ยังไม่ตื่นกันเลย นอนขดตัวกลมเลย
คนเดินก็พอมีบ้างแต่น้อยมากๆ
ตู้ไปรษณีย์ประจำเมืองเลห์
มัสยิดเล็กๆ ประจำเมืองเลห์
สองเท้าค่อยๆก้าวอย่างช้าสู้กับความหนาวเย็นและความเหนื่อย
พอเราอยู่ที่นี่หลายวันเข้าร่างกายจึงเริ่มปรับตัวได้ทำให้ก้าวเดินได้ไวขึ้น
สำรวจทั่วเมืองยังแทบไม่เจอผู้คนเลย เจอแต่สุนัขและวัวเต็มไปหมด
แถมค่อนข้างเชื่องเสียด้วยสิ
เชื่อหรือไม่บางตัวดูแล้วไม่มีเจ้าของแต่เดินตามเราเฉยเลย
ก็ดีนะไม่มีผู้คนอย่างน้อยมันเดินตาม ถ้าเกิดอะไรขึ้นมันจะได้ช่วยเห่าไงล่ะ
สามัคคีกันคุ้ยหาเศษขยะกิน โถๆ
ร้านขายของที่ระลึกยังปิดกันอยู่เลย
เจ้าตัวนี้คงถูกชะตาเรา พอถ่ายเสร็จก็ลุกขึ้นเดินตามเรามาเลย
มันเดินตามเรามาเรื่อยๆ
จนถึงปากทางถนนใหญ่ นั่นไงเจอผู้คนแล้วมายืนรอรถเต็มไปหมดเลย
แต่เมื่อพิจารณาจากชุดที่สวมใส่แล้ว คล้ายกับว่ารอรถเพื่อไปทำงานนอกเมืองมากกว่า
บางคนอุปกรณ์พร้อมเลย อ้อ นึกออกละ พวกเขาต้องรอรถมารับเพื่อไปเป็นแรงงานนอกเมืองนั่นเอง
ธงมนต์ขนาดเล็กถูกห้อยเป็นสายโยงระหว่างฟากถนน
คนงานรอรถบรรทุกมารับไปทำงานนอกเมืองแต่เช้าเลย
พอได้เวลาที่เราจะต้องเดินกลับไปที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าและหาอาหารเช้าทาน
เราก็เลือกที่จะเดินกลับที่ถนนใหญ่
เพราะมีผู้คนเยอะกว่าและเราก็จะได้เดินชมเมืองไปพร้อมๆกับรถคราที่วิ่งไง เมืองเลห์ถือว่ามีความปลอดภัยสูงกว่ากรุงนิวเดลลี เมืองหลวงของอินเดีย และที่สำคัญเราเที่ยวที่นี่หลายวันยังไม่เจอขอทานหรือคนจร
คนไร้บ้านเลย
สภาพอากาศที่นี่ค่อนข้างทารุณในฤดูหนาวคนไร้บ้านก็จะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีบ้าน
คุณป้าในชุดพื้นเมืองที่หนาและรัดกุม
เดินกลับมาทางถนนใหญ่มีคนบ้างแต่ก็ยังเงียบๆ
มื้อสุดท้ายที่เรากินมื้อเช้า
พวกเราได้ไปสั่งลาร้านคุณป้าให้ทำอาหารเช้าแบบสุดฝีมือ มื้อนี้เลยมีทั้งชุดอาหารเช้าแบบอเมริกันและแกงชีส Paneer Masala อร่อยจริงๆ
เสียดายที่เรามาค้นพบว่าร้านนี้อร่อยก็จากเมื่อคืนที่ได้ลองสั่งอาหารหลายอย่าง
และก็ค้นพบว่าป้านางทำอาหารได้หลากหลายเชื้อชาติจริงๆ
เดินผ่านร้านขนมหวานก็อดใจไม่ได้อีกแล้วเรา
อาหารเช้าแบบอเมริกันจ้า
เครื่องบินออกจากเมือง Leh ช่วงใกล้เที่ยง เราจะต้องกลับไปเจอกับความวุ่นวายของชีวิตในเมืองหลวงอีกแล้วสินะ
ยังนึกอิจฉาคนที่นี่ ที่เวลามันเดินช้ากว่าเรามากๆ
ขนาดที่ว่าการก้าวย่างในแต่ละก้าวยังต้องช้ากว่าปกติเลย พอเครื่องร่อนลงจอดที่สนามบินนานาชาติอินทิราคานธี
กรุงนิวเดลลี เราก็พบกับปัญหาใหญ่อีกครั้งที่เราต้องลากกระเป๋าไปเข้าเครื่องสแกนใหม่ทั้งหมดและติดป้ายใหม่
บวกกับจำนวนผู้โดยสารก็แออัด ถึงขนาดที่ว่ามีหลายคนกำลังจะตกเครื่อง
เพราะต้องรอต่อคิวสแกนกระเป๋าและสแกนร่างกายนี่แหละ
มารอเครื่องบินแบบชิลๆที่สนามบินเลห์
แต่ละภาพล้วนมีความหมาย กลับมาก็ยังไม่รู้ว่าความหมายของภาพคืออะไร
ตั๋ว Air India ออกแบบมาได้น่ารักจัง
เอาเป็นว่าถ้าใครคิดจะซื้อเที่ยวบินที่ต้องต่อเครื่องที่นิวเดลลี
ให้เผื่อเวลาต่อเครื่องไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมงก็แล้วกัน
กว่าจะขึ้นเครื่องลำใหญ่เที่ยวบินไปกรุงเทพฯได้
ก็แทบจะตกเครื่องแถมยังอดกินมื้ออร่อยที่สนามบินอีก เที่ยวเลห์ลาดั๊กห์เหมือนจะมาเที่ยวง่าย แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
ต้องเตรียมตัวและทำการบ้านเยอะเหมือนกัน ใครคิดว่าร่างกายยังดี
ใจยังเด็กแนะนำให้มาที่นี่จ้ะ Leh Ladakh สวรรค์บนดิน สวิตเซอร์แลนด์แดนเอเชีย
มาถึงสนามบินอินทิราคานธี นี่วิ่งจ้ำกันเลยจ้า กลัวตกเครื่อง
สติ๊กเกอร์ฉันรักลาดั๊กห์ได้ใช้งานละ
แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะคะ Byeeeeee