วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

หนาวนี้ที่เลห์ลาดั๊กห์   กล่าวอำลา Julleh ณ เมืองเลห์ แล้วเราจะกลับมาเที่ยวใหม่นะ Say Good-Bye Leh Ladakh.
ถ่ายจากชั้นบนของโรงแรมที่เราพัก 
ต้นหอมแดงที่นี่งามดีจัง


            เช้านี้ร่างกายเราตื่นอัตโนมัติด้วยสมองสั่งการเมื่อคืนว่า “เอ้ย แกต้องไปเก็บภาพใจกลางเมืองเลห์มาฝากทุกๆคนด้วยนะ”  แล้วเราก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ตื่นแต่เช้าพร้อมสะพายเป้ท่องเลห์แต่เช้าเลย แต่สิ่งที่ทำให้เราผิดหวังก็คือ เมืองเลห์ยามเช้ายังคงหลับใหลไม่ตื่นเลย
เป็นเช้าวันใหม่ที่เงียบสงัดจริงๆ 
แม้แต่เจ้าตูบก็ยังไม่ตื่นกันเลย นอนขดตัวกลมเลย 
คนเดินก็พอมีบ้างแต่น้อยมากๆ 
ตู้ไปรษณีย์ประจำเมืองเลห์  
มัสยิดเล็กๆ ประจำเมืองเลห์

        สองเท้าค่อยๆก้าวอย่างช้าสู้กับความหนาวเย็นและความเหนื่อย พอเราอยู่ที่นี่หลายวันเข้าร่างกายจึงเริ่มปรับตัวได้ทำให้ก้าวเดินได้ไวขึ้น สำรวจทั่วเมืองยังแทบไม่เจอผู้คนเลย เจอแต่สุนัขและวัวเต็มไปหมด แถมค่อนข้างเชื่องเสียด้วยสิ เชื่อหรือไม่บางตัวดูแล้วไม่มีเจ้าของแต่เดินตามเราเฉยเลย ก็ดีนะไม่มีผู้คนอย่างน้อยมันเดินตาม ถ้าเกิดอะไรขึ้นมันจะได้ช่วยเห่าไงล่ะ
สามัคคีกันคุ้ยหาเศษขยะกิน โถๆ 
ร้านขายของที่ระลึกยังปิดกันอยู่เลย 
เจ้าตัวนี้คงถูกชะตาเรา พอถ่ายเสร็จก็ลุกขึ้นเดินตามเรามาเลย

                มันเดินตามเรามาเรื่อยๆ จนถึงปากทางถนนใหญ่ นั่นไงเจอผู้คนแล้วมายืนรอรถเต็มไปหมดเลย แต่เมื่อพิจารณาจากชุดที่สวมใส่แล้ว คล้ายกับว่ารอรถเพื่อไปทำงานนอกเมืองมากกว่า บางคนอุปกรณ์พร้อมเลย อ้อ นึกออกละ พวกเขาต้องรอรถมารับเพื่อไปเป็นแรงงานนอกเมืองนั่นเอง
ธงมนต์ขนาดเล็กถูกห้อยเป็นสายโยงระหว่างฟากถนน

คนงานรอรถบรรทุกมารับไปทำงานนอกเมืองแต่เช้าเลย


        พอได้เวลาที่เราจะต้องเดินกลับไปที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าและหาอาหารเช้าทาน เราก็เลือกที่จะเดินกลับที่ถนนใหญ่ เพราะมีผู้คนเยอะกว่าและเราก็จะได้เดินชมเมืองไปพร้อมๆกับรถคราที่วิ่งไง เมืองเลห์ถือว่ามีความปลอดภัยสูงกว่ากรุงนิวเดลลี เมืองหลวงของอินเดีย และที่สำคัญเราเที่ยวที่นี่หลายวันยังไม่เจอขอทานหรือคนจร คนไร้บ้านเลย สภาพอากาศที่นี่ค่อนข้างทารุณในฤดูหนาวคนไร้บ้านก็จะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีบ้าน
คุณป้าในชุดพื้นเมืองที่หนาและรัดกุม 
เดินกลับมาทางถนนใหญ่มีคนบ้างแต่ก็ยังเงียบๆ


        มื้อสุดท้ายที่เรากินมื้อเช้า พวกเราได้ไปสั่งลาร้านคุณป้าให้ทำอาหารเช้าแบบสุดฝีมือ มื้อนี้เลยมีทั้งชุดอาหารเช้าแบบอเมริกันและแกงชีส  Paneer Masala อร่อยจริงๆ เสียดายที่เรามาค้นพบว่าร้านนี้อร่อยก็จากเมื่อคืนที่ได้ลองสั่งอาหารหลายอย่าง และก็ค้นพบว่าป้านางทำอาหารได้หลากหลายเชื้อชาติจริงๆ 
เดินผ่านร้านขนมหวานก็อดใจไม่ได้อีกแล้วเรา 
อาหารเช้าแบบอเมริกันจ้า

       เครื่องบินออกจากเมือง Leh ช่วงใกล้เที่ยง เราจะต้องกลับไปเจอกับความวุ่นวายของชีวิตในเมืองหลวงอีกแล้วสินะ ยังนึกอิจฉาคนที่นี่ ที่เวลามันเดินช้ากว่าเรามากๆ ขนาดที่ว่าการก้าวย่างในแต่ละก้าวยังต้องช้ากว่าปกติเลย พอเครื่องร่อนลงจอดที่สนามบินนานาชาติอินทิราคานธี กรุงนิวเดลลี เราก็พบกับปัญหาใหญ่อีกครั้งที่เราต้องลากกระเป๋าไปเข้าเครื่องสแกนใหม่ทั้งหมดและติดป้ายใหม่ บวกกับจำนวนผู้โดยสารก็แออัด ถึงขนาดที่ว่ามีหลายคนกำลังจะตกเครื่อง เพราะต้องรอต่อคิวสแกนกระเป๋าและสแกนร่างกายนี่แหละ
มารอเครื่องบินแบบชิลๆที่สนามบินเลห์ 
แต่ละภาพล้วนมีความหมาย กลับมาก็ยังไม่รู้ว่าความหมายของภาพคืออะไร 

ตั๋ว Air India ออกแบบมาได้น่ารักจัง

                เอาเป็นว่าถ้าใครคิดจะซื้อเที่ยวบินที่ต้องต่อเครื่องที่นิวเดลลี ให้เผื่อเวลาต่อเครื่องไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมงก็แล้วกัน
กว่าจะขึ้นเครื่องลำใหญ่เที่ยวบินไปกรุงเทพฯได้ ก็แทบจะตกเครื่องแถมยังอดกินมื้ออร่อยที่สนามบินอีก เที่ยวเลห์ลาดั๊กห์เหมือนจะมาเที่ยวง่าย แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องเตรียมตัวและทำการบ้านเยอะเหมือนกัน ใครคิดว่าร่างกายยังดี ใจยังเด็กแนะนำให้มาที่นี่จ้ะ Leh Ladakh สวรรค์บนดิน สวิตเซอร์แลนด์แดนเอเชีย

มาถึงสนามบินอินทิราคานธี นี่วิ่งจ้ำกันเลยจ้า กลัวตกเครื่อง 
สติ๊กเกอร์ฉันรักลาดั๊กห์ได้ใช้งานละ 
แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะคะ Byeeeeee