เรากลับมาที่ท่าน้ำบริเวณบูร์ดูไบ ( Bur Dubai)อีกครั้ง หลังจากที่เดินห้างมาค่อนวัน บริเวณนี้ในวันอาทิตย์ในสวนริมฝั่งน้ำแลดูคึกคักมากๆ ผู้คนจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นภาษาของตนเอง อ๋อพวกเขาคือชาวต่างชาติที่ได้อาศัยวันหยุดออกมาปิคนิคสูดอากาศกันนั่นเอง
ทางขึ้นจากสถานี Al Ghubaiba เต็มไปด้วยผู้คน
ความสุขเล็กๆของคนร่วมชาติเดียวกันที่ได้หยุดประจำสัปดาห์
ได้เวลาที่เราจะได้ลองนั่งเรือข้ามฟากหรือเจ้าอับรา
(Abra)
กันสักครั้ง เจ้าเรือนี้มีหน้าที่พาคนข้ามฟาก
ส่วนใหญ่คนนั่งเป็นคนต่างด้าวที่มาทำงานที่นี่ เขาคิดเงินแค่คนละ1ดีแรมเท่านั้น
และจะมีเรืออีกชนิดที่แล่นพาไปตลอดคลองดูไบ แต่จะคิดในอัตราเหมาจ่าย
ถ้ามากันหลายๆคน จะเหมาให้ไปชมความงามที่ดูไบครี้กก็ได้ (Dubai Creek)
หลายคนก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะลงเรือข้ามฟาก ยังคงนั่งคุยกันสนุกสนาน
การจราจรทางน้ำในยามเย็นค่อนข้างแออัด
วิวฝั่งเมืองเก่าแลเห็นมัสยิดใหญ่อยู่เบื้องหลัง
คลองดูไบยามเย็นอากาศไม่ร้อนอบอ้าวน่าเดินเล่น
เรือใช้เวลาข้ามฟากใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เพราะต้องค่อยสับหลีกหลบเรือลำอื่นที่มาจอดท่าอย่างแออัด ลักษณะที่นั่งบนเรือจะหันหลังชนกันบนที่นั่งตรงกลางที่มีหลังคาเล็กๆคลุม
ถ้าข้ามฟากตอนเที่ยงคงจะร้อนน่าดู
เรากำลังจะลงเรือจ้างลำเล็กกันแล้ว จ่ายแค่1ดีแรมหรือ 9 บาทเท่านั้น
เมื่อลงเรือแล้วต้องนั่งตรงกลางแบบนี้ห้ามยืน
ท่าน้ำฝั่งตรงข้ามมีเรือจอดอยู่แออัด
เรือลำเล็กแค่นี้ยังคงต้องวิ่งวนไปมารับส่งคนทั้งวัน
แล้วเราก็ข้ามมาฝั่งตลาดเครื่องเทศเป็นที่เรียบร้อย
ฝั่งที่ข้ามไปถึงคือถนน Old Baladiya เป็นที่ตั้งของตลาดเครื่องเทศ
(Spice Souk) และตลาดทองที่ใหญ่ที่สุดในเมืองดูไบ
ตลาดเครื่องเทศที่เราไปใกล้เวลาปิดแล้ว แต่ละร้านที่เราเดินผ่านกลิ่นเครื่องเทศหอมฟุ้งเตะเข้าจมูก
ที่นี่เค้าจะแบ่งขายแบบชั่งตาชั่งเพื่อให้ไปทำอาหารกัน
แล้วถ้าขายส่งเราก็เห็นบางร้านส่งของกันเป็นกระสอบก็มีนะ ของที่ขายดีก็มีตั้งแต่
หญ้าฝรั่นหรือ Zaffron ที่เอาไปทำข้าวหมกทำแกง อบเชย ใบกระวาน ลูกกระวาน เม็ดยี่หร่า น้ำตาลกรวดไปจนถึงเครื่องหอมที่กินไม่ได้
เช่น กำยาน พิมเสน การบูร แล้วมีอุปกรณ์เตาจุดกำยานขายด้วยนะ
เขตเมืองเก่าดูไบมีป้ายบอกทางชัดเจน เดินไม่มีทางหลง
ตลาดเครื่องเทศที่เก่าแก่ที่สุดกับโคมไฟแบบอาหรับ
หลายร้านใกล้ปิดแล้วแต่ยังมีคนมาซื้อเครื่องเทศกันอยู่เลย
ส่วนตัวเราก็ไม่ได้รู้จักเครื่องเทศทุกชนิด แต่ชอบกลิ่นเวลาที่เดินผ่านมากๆ
บรรยากาศการซื้อขายของคนพื้นที่ยังไม่จบลง
โคมไฟเลียนแบบสไตล์อาหรับโบราณ
บางร้านขายกำยานเครื่องหอมพร้อมเตาจุดด้วย
ถัดจากตลาดเครื่องเทศเข้าไปก็คือตลาดทองคำ
ตลาดค้าทองที่ดูไบไม่ได้ทำเป็นพลาซ่าใหญ่ๆ แล้วติดแอร์แบบที่ซาร์จ้าห์
แต่เขาทำเป็นกลุ่มตึกแถวร้านใครร้านมันแล้วมีทางเดินตรงกลางมุงด้วยหลังคา
มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า Dubai Gold Souk มีขนาดใหญ่กว่าที่ซาร์จ้าห์มาก
แต่ร้านค่อนข้างอยู่กระจัดกระจายกัน บางร้านก็ทำเป็น Collection เอเชียแบบให้คนจีนมาซื้อไป
บางร้านก็มีนาฬิกาแบบเป็นเพชรเป็นทองทั้งของใหม่และของมือสองขายด้วย
มัสยิดขนาดเล็กอยู่ตรงกลางตลาดค้าทอง
ร้านนี้จัดดิสเพลย์ได้แน่นมาก ต้องยอมเค้าเลย
Collection แบบทันสมัยที่นี่เค้าก็ผลิตได้เหมือนกัน
พวกตุ๊กตาเรซินเคลือบทองคำ 24 K คนจีนจะนิยมเอาไปตกแต่งบ้านมาก
ใครชอบกำไลแบบโบราณที่นี่เขาก็มีนะ แต่ไม่รู้ว่าหนักกี่บาท
คนที่เดินตลาดส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
ร้านขายนาฬิกาทั้งมือหนึ่งและมือสองจะหนักไปทางตัวเรือนทอง
ทางเข้าและทางออกตลาดค้าทองดูไบ
ออกจากตลาดทองเดินไปทางซ้ายมืออีกนิดจะเป็นย่านเก่าแก่บริเวณย่านอัลราส
(Al Ras) แถบนี้จะมี Heritage House ให้เข้าชม
แต่ว่ามันปิดไปแล้ว มีโรงเรียนเก่าแก่ที่กำลังซ่อมบำรุงอยู่ บางตึกก็ได้มีการดัดแปลงให้เป็นเกสท์เฮ้าส์สไตล์อาหรับโบราณ
แต่ถ้าให้เข้าไปนอนจริงๆ คงรู้สึกหลอนนิดๆนะ
ทางเข้าเขตเมืองเก่าที่ทางเทศบาลเมืองได้อนุรักษ์ไว้
เสาธงหน้าโรงเรียนมัธยมที่เก่าแก่ที่สุด ด้านหลังคือเกสท์เฮ้่าส์
ถ้าใครหิวที่นี่ก็มีภัตตาคารพื้นเมืองไว้ให้ฝากท้องกันนะครับ
หลอนไม่หลอนก็ดูนะ ตั้งกล้องตั้งนานไม่มีคนเดินผ่านไปมาเลย
จนกระทั่งเจ้าตัวนี้โผล่ออกมาเล่นกับเราด้วย ความเงียบจึงถูกทำลายไป
ได้เวลาออกมานั่งรถใต้ดินกลับที่พักแล้ว
ตอนต่อไป
พาท่องเมืองซาร์จ้าห์อีกครั้งแบบไม่รีบ ชมวิถีคนเมืองที่นั่นและเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยริมน้ำจ้า