วันเวลาเที่ยว1วันในมัสกัตนั้นสั้นยิ่งนัก เที่ยวมัสกัต เที่ยวโอมานอย่างไรให้คุ้ม เราคงต้องทำเวลาในแต่ละจุดแล้วล่ะ
ระหว่างทางเราได้แวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารอินเดียในตัวเมือง
ในกรุงมัสกัตมีคนอินเดียเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้นเราจึงเห็นร้านอาหารอินเดียมากกว่าอาหารอาหรับ
วันนี้เราก็ได้มาลองชิมข้าวหมกไก่ ในราคาจานละ 1.7 เรียลโอมาน ตกประมาณ จานละ
150บาท วัฒนธรรมที่นี่แบบเดิมๆ จะนั่งกินกับพื้นเปิบด้วยมือ
เมื่ออิ่มหนำสำราญก็สามารถเอนกายพิงหมอนที่หุ้มด้วยผ้าทอลายพื้นเมืองจากทะเลทรายวาฮีบาได้
ร้านอาหารกึ่งๆ อินเดียกึ่งๆอาหรับ
คนให้บริการและพ่อครัวส่วนใหญ่เป็นคนอินเดีย
วันนี้เรามีเพื่อนกินข้าวอีกแล้วตั้งสองคนแน่ะ
ชุดประจำชาติโอมานของผู้ชายเป็นชุดคลุมสีขาวยาวพร้อมหมวกทรงสูงสีขาว
จานเรียกน้ำย่อยจะเป็นซุปรสเปรี้ยวกับผักแนมข้าวหมกไก่
ข้าวหมกไก่ที่นี่จานใหญ่มาก 1 จาน ต้องแบ่งกันกินถึง3คน
หมอนอิงลายพื้นเมืองประจำชาติโอมาน
รถแล่นผ่านตลาดมุตตระ (Muttrah
Souq) แต่ไม่สามารถจอดรถได้
เนื่องจากตำรวจกวดขันมาก เลยอดได้ภาพตลาดพื้นเมืองสวยๆ มาฝาก พี่เขาเลยพาไปรียัมพาร์ก
(Riyam Park) สวนสาธารณะและสวนสนุกประจำเมืองมัสกัต
ที่นี่จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในช่วงเย็นๆหลังอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
เพราะมีเครื่องเล่นให้เด็กๆเล่นมากมาย
ระหว่างทางได้ผ่านห้างขนาดใหญ่ในมัสกัตด้วย
รถยังแล่นผ่านภูเขาหินสีน้ำตาลลูกแล้วลูกเล่า
อาคารที่นี่ส่วนใหญ่จะทาสีขาวกับสีเหลือง สีอื่นๆมีน้อยมาก
อาคารพาณิชย์ในเขตย่านเมืองเก่า
เสียดายที่ไม่ได้เดินตลาดมุตตระมาก ไม่มีที่จอดรถ
ภูเขาเตี้ยๆในสวนสาธารณะ Riyam Park
สวนสนุกริมทะเลเบื้องบนคือหอกำยาน
ร้านค้ายังไม่เปิด คงต้องรอให้เย็นๆกว่านี้ก่อน
ใกล้กับสวนสนุกเป็นที่ตั้งของหอกำยานขนาดยักษ์สีขาวเห็นเด่นแต่ไกล
หอกำยานสลักลวดลายสวยงามแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันชาติครั้งที่ 20
ของประเทศโอมาน น่าเสียดายที่เขาปิดไม่ให้เดินขึ้นไปชมข้างบนหอซึ่งในตัวเมืองมัสกัตมักจะเต็มไปด้วยภูเขาหินเตี้ยๆ
สีน้ำตาลตลอดทั้งเมือง
เสียดายที่ทางขึ้นหอกำยานปิด เลยอดขึ้นไปถ่ายมุมสูง
เลยขอถ่ายคุณพี่เข้าฉากเสียเลย
สวนสาธารณะที่นี่หญ้าเขียวมากผิดกับเปลวแดดที่แผดเผา
ถ้ามีลมทะเลพัดขึ้นมาเสียหน่อยคงจะดีขึ้น
ขอแอบเอาหมวกพี่เขามาใส่หน่อย
สถานที่ต่อไปที่เราจะพาชมคือย่านพระราชวังและเมืองเก่า เราจะพาชมพระราชวัง Al Alam Palace เป็นพระราชฐานของท่านสุลต่านคาบูส
เป็นอาคารสวยๆโดดเด่นด้วยเสาสีทองและสีฟ้า สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1972 นี่เอง บริเวณโดยรอบเป็นลานขนาดกว้างใหญ่และอาคารที่ทำการของรัฐบาลหลายตึก
ทุกตึกทาด้วยสีขาวสะอาดตา บริเวณใกล้กันเป็นที่ตั้งของป้อมประวัติศาสตร์ Fort Mirani และ Fort
Jalali สร้างขึ้นโดยโปรตุเกสในศตวรรษที่
15 ขณะที่มายึดครองมัสกัต ป้อมทั้งสองอยู่บนยอดเขาสีน้ำตาล
เป็นจุดที่สามารถมองออกไปได้ไกลในอ่าวโอมาน
ตึกสถานที่ราชการพอเราถ่ายเสร็จมีเจ้าหน้าที่มาไล่ทันที
ลานนี้อยู่ตรงข้ามกับพระราชวัง Al Alam
ด้านข้างของอาคารตรงข้ามพระราชวัง
โฉมหน้าพระราชวัง Al Alam มาตอนเย็นเงียบสงบมาก
อาคารข้างๆพระราชวัง
นักท่องเที่ยวที่นี่บางตามาก ไม่ต้องแย่งกันถ่ายรูป
พระราชวังสร้างในปี ค.ศ.1972 มีลักษณะเป็นอาหรับเรโทร ดูที่เสาสิ
Fort Jalali ป้อมปราการบนยอดเขา
หนุ่มโอมานที่นี่แซ่บจริงๆจ้า
บริเวณพระราชวังเงียบเหงาจริงๆ
ตรงนี้คือส่วนของกำแพงเมืองเก่า
มัสยิดเก่าแก่ในเขตพระราชวัง
บางแห่งก็กำลังบูรณะอยู่
และไฮไลท์ของเราวันนี้คือ การได้ขึ้นป้อมปราการที่ตั้งสูงตระหง่านเพื่อชมวิวอ่าวโอมานและพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ครับ
กว่าจะเดินขึ้นไปถึงป้อมชั้นบนสุดก็เล่นเอาหอบเหมือนกันเพราะทางเดินขึ้นทั้งสูงชันและแคบ
ป้อมปราการมีขนาดเล็ก ภายในบรรจุปืนใหญ่โบราณโดยหันปากกระบอกปืนออกไปหน้าอ่าว
จุดนี้เราสามารถชมเมืองมัสกัตได้ในมุมสูงและอ่าวโอมานทั้งหมดที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันเป็นทิวทัศน์ที่แปลกตาออกไป
กีฬาฟุตบอลเป็นที่นิยมของหนุ่มๆที่นี่
ตะวันใกล้ตกดินแล้ว ได้เวลาไปขึ้นป้อมชมวิวกัน
ทางขึ้นป้อมเพื่อชมวิวทะเลอ่าวโอมาน
หอกำยานอยู่ฝั่งตรงข้ามของป้อมปราการพอดี
ทะเลอ่าวโอมานไม่มีหน้าหาดแต่เป็นหน้าผาตัดลงไป
ยอดเขาทุกลูกในมัสกัตมักจะมีป้อมปราการตั้งอยู่
อาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ณ ริ่มอ่าวโอมาน
วิวฝั่งเมืองและสวน Riyam Park
ปืนใหญ่ของจริงแบบโบราณบนป้อมปราการ
ริมทะเลไม่มีหน้าหาดมีแต่หน้าผาสูงชัน
ตะวันลับฟ้าแล้วจ้า งดงามมาก ลาแล้วมัสกัต
และเมื่อตะวันลับฟ้าแล้วเราก็ถึงเวลาที่จะจากลาโอมาน
ถึงแม้ว่าจะเป็นทริปที่สั้นที่สุด เพราะเราแค่แวะเปลี่ยนเครื่องในเวลาไม่ถึง 12
ชั่วโมง แต่ก็เป็นประเทศที่ยังคงมีกลิ่นอายอาหรับอยู่มาก
ตั้งแต่ผู้ชายทุกคนประพรมน้ำหอมที่ตัวยังไม่พอ
ยังใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันฉีดประพรมในรถด้วยถือเป็นธรรมเนียมต้อนรับแขกของที่นี่
หากใครจะแวะเที่ยวที่บ้านหรือขึ้นรถ
หน้าที่ของเจ้าบ้านหรือเจ้าของรถจะนำน้ำหอมมาประพรมต้อนรับ พร้อมกับเชื้อเชิญให้แขกได้ทดลองกลิ่นต่างๆอีกด้วย
โดยกลิ่นน้ำหอมอาหรับมักจะมี Oud เป็นส่วนผสม
ความมืดโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาต้องรีบไปสนามบิน
ลาก่อนความเวิ้งว้างและเงียบสงบของที่นี่แล้วฉันจะมาอีก
เราจากลากับพี่แท็กซี่ให้เขามาส่งที่สนามบินมัสกัตตอนสองทุ่ม
ในเมื่อเราพลาดเดินตลาดพื้นเมืองก็ต้องลองไปส่องข้าวของในสนามบินมัสกัตดูซิว่า
ประเทศโอมานมีของซื้อของฝากโอมานอะไรบ้าง แต่ราคาค่อนข้างแพงตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ลายชนเผ่า
และตะเกียงอะลาดิน ตุ๊กตาอูฐ ตุ๊กตาคนอาหรับ ชุดถ้วยแก้ว ราคาเริ่มต้น 3
เรียลโอมานขึ้นไป แล้ววันเวลาในทริปตะวันออกกลางก็สิ้นสุดลง
เมื่อมีเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่อง ลาก่อนนะโอมาน เที่ยวหน้าเราจะมาเที่ยวแบบจัดเต็มสัก
7 วัน ไปเที่ยวให้ทั่วประเทศตั้งแต่หัวจรดใต้
ถ้วยชามแก้วกาแฟลวดลายประจำชาติโอมาน ราคาแพงมาก
ลวดลายแบบนี้มีขายที่สนามบินมัสกัตเท่านั้น
ผ้าคลุมไหล่ลายสวย
มีหนังสือแนวขับรถเที่ยวตะลุยทะเลทรายด้วยแฮะ
ของที่ระลึกจากโอมานแต่ละชิ้นราคาแพงกว่าของดูไบมาก
ตะเกียงอะลาดินราคาสูงเอาการอยู่
ชุดแก้วหุ้มทองสลักสวยงามอยู่
แก้วมัคหน้าอูฐ แก้วละ 440 บาท
สบู่หอมกลิ่น OUD ก้อนละ 290 บาท
กล่องเงินกล่องโลหะที่นี่สวยอยู่
โถใส่กำยานขนาดเล็ก ราคาร่วมพันบาท
แม้แต่ที่คั่นหนังสือยังสวยเลย
พอเหอะจะบ้าช้อปกันไปถึงไหน เก็บเงินไว้ทริปหน้า เพราะต้องพาขุ่นแม่ไปเที่ยวหลวงพระบางด้วยจ้า เป็นครั้งที่สามที่เราได้พาแม่แบกเป้เที่ยวหลังจากที่ผ่านบททอดสอบสิงคโปร์และฮ่องกงมาแล้ว แล้วติดตามชมตอนหน้านะ