สถานีรถไฟแคนดี้ (Kandy Railway Station)
Kandy (แคนดี้)
อดีตเคยเป็นราชธานีเก่าแก่ของศรีลังกา ตั้งอยู่บนที่สูงตอนกลางของเกาะ
ดังนั้นอากาศจึงเย็นสบายตลอดปี อยู่ห่างจากเมืองหลวงกรุงโคลอมโบประมาณ
139 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางราว 3-4 ชั่วมงจุดท่องเที่ยวหลักๆ ของเมืองแคนดี้จะอยู่ในตัวเมืองเป็นส่วนใหญ่
เช่น วัดพระเขี้ยวแก้ว จัตุรัสกลางเมืองเก่า อุทยานแห่งชาติ Udawattakele
และมีวัดอยู่รายรอบเมือง
ด้วยความที่เป็นราชธานีเก่าแก่จึงมีทั้งวัด โบสถ์ และมัสยิดทั่วเมือง การนั่งรถไฟมาท่องเที่ยวเมืองแคนดี้ให้ดีที่สุดนั้น ควรเลือกรอบเช้ากับรอบเย็น
จะได้ไม่เสียเวลาเที่ยว โดยมีเที่ยวรถที่แนะนำดังนี้
·
Train No.9 Inter City Express Colombo Fort 7.00 - Kandy 9.00
·
Train No.35 Express Colombo Fort 16.55 - Kandy 20.00
·
Train No. 10 Inter City Express Kandy
15.00 - Colombo Fort 17.35
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตั๋วมักจะถูกจองเต็มตลอด
ควรทำการจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3วันทำการ
ท่ารถโดยสารที่เราลงจะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ
บริเวณริมทางรถไฟ
เรือนจำโบราณที่ปัจจุบันก็ยังใช้เป็นที่คุมขังนักโทษอยู่
อาคารบ้านเรือนยุคอาณานิคมยังมีให้เห็นมากมาย
หากปักหมุดแบกเป้เที่ยวตั้งแต่สถานีรถไฟแคนดี้ (Kandy Railway Station) เราก็จะเดินผ่านตลาดสดหน้า Hall ผ่านจตุรัสและหอนาฬิกากลางใจเมือง เมื่อเดินเลี้ยวขวาก็จะพบกับย่านธุรกิจ
ร้านค้าตึกแถว รถราวิ่งกันขวักไว่ มีเทวาลัย โบสถ์คริสต์
และมัสยิดแทรกตัวอยู่ตามตึกแถวได้อย่างลงตัว
เราต้องเอากระเป๋าไปเก็บยังที่พักที่ได้จองไว้ก่อน ที่พักของเราชื่อ Clock Inn Kandy ราคาย่อมเยา ใหม่และสะอาด ตั้งอยู่เลขที่ 11 Hill Street เป็นห้องนอนรวมที่เรียกว่า Dorm มีทั้งหมด 8 เตียง ราคาเตียงละ 526 บาท เรานอนที่นี่สองคืน คิดเป็นเงิน 1052 บาท หรือ 4320
LKR (รูปี) เราเอากระเป๋าเข้าไปเก็บแวะทักทายเพื่อนร่วมห้องสักนิดแล้วรีบออกมาเดินเล่นยามเย็นต่อ
ที่พักของเราสองคืนต่อจากนี้น่ารักมั้ยล่ะ
Clock Inn Kandy
โบสถ์แรกตัวอยู่ตามชุมชนได้อย่างลงตัว
ย่านการค้าใจกลางเมืองแคนดี้
ทองที่นี่ลวดลายคล้ายกับอินเดีย
หอนาฬิกาประจำเมือง
ออกมาตอนเย็นแสงยังไม่หมดจึงได้โอกาสเดินชมเมืองสักนิดผ่านมัสยิดใหญ่ริมทางรถไฟ
และทะเลสาบแคนดี้ (Kandy Lake) ที่กว้างใหญ่ แต่ถนนรอบข้างการจราจรแออัด
เป็นสถานี่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง มีคนวิ่งออกกำลังกาย มีเรือนำเที่ยวรอบทะเลสาบ
ถ้ารถไม่ติดคาดว่าอากาศน่าจะดีมากๆ ให้เดินผ่านทะเลสาบเพื่อมุ่งหน้าไปยังวัดพระเขี้ยวแก้วที่เปิดหลัง
18.30 เป็นต้นไป ถ้านึกไม่ออกว่าจะบอกรถรับจ้างว่าไปที่ไหน ให้จำง่ายๆว่า Tooth Temple หรือ Sri
Dalada Maligawa หรือ “ศรีดาลาดา มาลิกาว่า” ตอนเช้าวัดเปิดเวลา 5.30-9.30 น. ตอนเย็นเปิดหลัง 18.30 น. เป็นต้นไป ทุกคนสามารถเข้าสักการะพระทันตธาตุ
หรือเข้าชมได้ทุกวันแค่ช่วงเช้ากับช่วงเย็นเท่านั้น ค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยว่างชาติคนละ 10 ดอลล่าร์ หรือ1000 LKR (รูปี) ทุกคนจะได้รับมินิDVD นำชม 1ชุด
มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของเมือง
ทะเลสาบแคนดี้(Kandy Lake)
รอบทะเลสาบเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทั่วไป
อีกมุมหนึ่งของทะเลสาบเห็นพระราชวังอยู่ลิบๆ
เบื้องหน้าของวัดพระเขี้ยวแก้วและพระราชวังเดิม
DVD ที่ทุกคนจะได้รับข้อมูลแน่นอยู่
ตำนานพระทันตธาตุ หรือกระดูกส่วนฟันของพระพุทธเจ้านั้น โบราณเชื่อกันว่า
ใครก็ตามที่ได้ครอบครองมีสิทธิ์ได้เป็นกษัตริย์ปกครองศรีลังกา
จึงมีการต่อสู้แย่งชิงกันมานมนาน ทั้งกษัตริย์สิงหล ชาวฮินดู
แม้แต่ชาวตะวันตกยุคล่าอาณานิคม ที่พยายามจะทำลายพระธาตุ ทั้งใช้ค้อนทุบทั้งนำไปเผาไฟแต่ก็ไม่เป็นผล
สุดท้ายก็ได้ประดิษฐาน ณ กรุงแคนดี้ ตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1592 โดยบรรจุในผอบรูปทรงสถูปลดหลั่น 7ชั้น ชั้นนอกบุเงินสูงเมตรกว่าๆ
ชั้นในเป็นทองคำ และถูกบรรจุอย่างแน่นหนาภายในชั้นบนของวัด
ภาพวาดภายในทางเดินเข้าอุโบสถวัด
เมื่อจ่ายค่าผ่านประตูเรียบร้อยแล้วก็จะต้องถอดรองเท้า
ซึ่งทางวัดจะมีที่เก็บรองเท้าไว้ให้บริการ วัดพระเขี้ยวแก้วจริงแล้วอยู่ในเขตพระราชวังเดิมคล้ายคลึงกับวัดพระแก้วจึงมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่
บริเวณหน้าวัดมักจะมีไกด์ผีเดินตามและอาสานำชม
ขอให้ปฏิเสธให้หมดและอย่าให้เดินตามเพราะคนพวกนี้สุดท้ายก็จะขูดรีดหรือข่มขู่เพื่อให้เสียค่าทิปราคาแพง
ให้ใช้บริการไกด์ของวัดเท่านั้น ตัววัดจะมีกำแพงพร้อมคูน้ำล้อมรอบ ทางเข้าวัดด้านหน้าจะพบอุโมงค์ภาพวาดงดงามด้วยลายอันวิจิตรบรรจง
เมื่อเข้าไปแล้วจะมีชายชุดโบราณยืนหน้าถมึงทึงตีกลองเป่าปี่ให้อยู่ภายในคล้ายกับได้เวลาทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง
ด้านหลังของอุโบสถจะเป็นพระพุทธรูปหินอ่อนปางต่างๆมากมายและภาพพุทธประวัติ
พิธีสักการะบูชาทำประจำทุกยามเย็น
ธงที่แขวนเป็นธงสัญลักษณ์พระพุทธศาสนา ถ้าไปทิเบตก็จะเจอแบบนี้เช่นกัน
ด้านข้างพระอุโบสถ
หากจะขึ้นไปสักการะพระเขี้ยวแก้วด้านบนจะต้องเก็บกล้องและปิดมือถือ
ห้ามบันทึกภาพ
เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันจะเป็นการรบกวนคนนั่งสมาธิหรือนั่งสวดมนต์อยู่ข้างใน
ทุกวันตอนเย็นคนที่นี่จะเยอะมากทั้งชาวศรีลังกาและนักท่องเที่ยวจึงต้องยืนต่อคิวเพื่อทะยอยขึ้นไปชมพระเขี้ยวแก้วที่จะเปิดให้เห็นจากช่องเล็กๆด้านในเป็นรอบๆ
เราได้รอบทุ่มครึ่งก็ต้องเข้าแถวรอต่อไป
ด้านหลังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปหินอ่อน
การสักการะบูชาของที่นี่นิยมนำดอกไม้สดที่ตัดก้านแล้วมาวางมากกว่าพวงมาลัย
ภาพแอบถ่ายระหว่างรอไหว้พระเขี้ยวแก้วที่จะเปิดให้ชมผ่านช่องเล็กๆนั่น
แต่เมื่อได้เข้าชมแล้วถึงรู้ได้ว่าเราได้เห็นแค่ในส่วนของผอบเท่านั้น
ให้ยกมือไหว้แล้วอธิษฐานขอพร เสร็จแล้วก็เดินลงมา
ด้านหลังของวัดเป็นพระราชวังเก่าซึ่งดูแล้วเหมือนท้องพระโรงมากกว่า ที่นี่ทำผังทางเดินเข้าออกและชมแต่ละจุดค่อนข้างดีเดินได้ง่าย
เดินออกมาตอนสองทุ่มร้านค้าปิดไปส่วนมากแล้ว
ท้องถนนในเมืองแคนดี้ยามค่ำคืนค่อนข้างเงียบและอากาศเย็นขึ้นมาทันทีเนื่องจากเป็นที่สูง
ระหว่างทางเราได้แวะกินมื้อเย็นตามใจอยาก เป็นอาหารพื้นเมืองศรีลังกาที่เรียกว่า
Hopper อ่านว่า “อัพพา” ออกเสียงฮอปเปอร์ คนพื้นเมืองไม่รู้จักนะ
เป็นอาหารว่างที่ทานกันได้ตั้งแต่เช้าสายบ่ายเย็น
ออกแบบเป็นกระทงคล้ายขนมครกแต่ใหญ่กว่ามาก ทำมาจากแป้งเนื้อเหมือนเครป
เมื่อทอดแล้วจะกรอบนอกนุ่มใน สามารถเพิ่มไข่ได้คล้ายกับโรตีโดยจะตอกไข่ใส่ลงตรงกลางแบบแดงเยิ้มๆ นะอร่อยอย่าอกใครเชียว ราคาไม่แพงตกชิ้นละ
50-60 รูปี
วัดพระเขี้ยวแก้วยามค่ำคืน
แวะชิม Hopper ร้านริมทางว่าจะอร่อยแค่ไหน กระทงหน้าร้านน่ะใช่เลย
Hopper ใส่ไข่หน้าตาจะเป็นแบบนี้ มีพริกไทยโรยมาให้ ไข่จะอยู่ตรงกลางกระทง
กินอิ่มแล้วแม้ยังไม่ดึกมากแต่ก็ควรรีบกลับเข้าที่พัก
เพราะถนนหนทางค่อนข้างมืดและวังเวง ไม่มีสถานที่ท่องราตรี
เมืองแคนดี้เป็นเมืองที่หลับกันไว เราก็ต้องรีบเข้าที่พักด้วย กลับถึงที่พักเราก็เห็นสมาชิกร่วมห้องขึ้นเตียงกันเกือบหมดแล้ว
ใจเขาใจเราการนอนห้องรวมต้องรักษามารยาท คือเมื่อมีคนนอน เราก็ต้องรื้อของทำอะไรให้เบาที่สุด วางแผนการเดินทางพรุ่งนี้ที่ต้องตื่นแต่เช้า
ไปสถานที่สำคัญอีกสองเมือง นั่นคือ วัดถ้ำดัมบุลลา (Dumbulla Cave Temple) และอุทยานสิงหราชา สิกิริยา (Sigiriya Rock)
ห้องพักแบบ Dorm จะทำอะไรต้องใจเขาใจเราและได้รู้จักมิตรภาพใหม่ๆ