วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บินเดี่ยวเที่ยวศรีลังกา เที่ยวเมืองแคนดี้และสักการะพระเขี้ยวแก้ว (Kandy & Sri Dalada Maligawa)

สถานีรถไฟแคนดี้ (Kandy Railway Station)

             Kandy (แคนดี้) อดีตเคยเป็นราชธานีเก่าแก่ของศรีลังกา ตั้งอยู่บนที่สูงตอนกลางของเกาะ ดังนั้นอากาศจึงเย็นสบายตลอดปี อยู่ห่างจากเมืองหลวงกรุงโคลอมโบประมาณ 139 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางราว 3-4 ชั่วมงจุดท่องเที่ยวหลักๆ ของเมืองแคนดี้จะอยู่ในตัวเมืองเป็นส่วนใหญ่ เช่น วัดพระเขี้ยวแก้ว จัตุรัสกลางเมืองเก่า อุทยานแห่งชาติ Udawattakele และมีวัดอยู่รายรอบเมือง ด้วยความที่เป็นราชธานีเก่าแก่จึงมีทั้งวัด โบสถ์ และมัสยิดทั่วเมือง การนั่งรถไฟมาท่องเที่ยวเมืองแคนดี้ให้ดีที่สุดนั้น ควรเลือกรอบเช้ากับรอบเย็น จะได้ไม่เสียเวลาเที่ยว โดยมีเที่ยวรถที่แนะนำดังนี้
·         Train No.9 Inter City Express  Colombo Fort 7.00  - Kandy 9.00
·         Train No.35 Express Colombo Fort 16.55  - Kandy 20.00
·         Train No. 10 Inter City Express   Kandy 15.00 - Colombo Fort 17.35
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตั๋วมักจะถูกจองเต็มตลอด ควรทำการจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3วันทำการ

ท่ารถโดยสารที่เราลงจะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ

บริเวณริมทางรถไฟ
เรือนจำโบราณที่ปัจจุบันก็ยังใช้เป็นที่คุมขังนักโทษอยู่

อาคารบ้านเรือนยุคอาณานิคมยังมีให้เห็นมากมาย

               หากปักหมุดแบกเป้เที่ยวตั้งแต่สถานีรถไฟแคนดี้ (Kandy Railway Station) เราก็จะเดินผ่านตลาดสดหน้า Hall ผ่านจตุรัสและหอนาฬิกากลางใจเมือง เมื่อเดินเลี้ยวขวาก็จะพบกับย่านธุรกิจ ร้านค้าตึกแถว รถราวิ่งกันขวักไว่ มีเทวาลัย โบสถ์คริสต์ และมัสยิดแทรกตัวอยู่ตามตึกแถวได้อย่างลงตัว เราต้องเอากระเป๋าไปเก็บยังที่พักที่ได้จองไว้ก่อน ที่พักของเราชื่อ Clock Inn Kandy ราคาย่อมเยา ใหม่และสะอาด ตั้งอยู่เลขที่ 11 Hill Street เป็นห้องนอนรวมที่เรียกว่า Dorm มีทั้งหมด 8 เตียง ราคาเตียงละ 526 บาท  เรานอนที่นี่สองคืน คิดเป็นเงิน 1052 บาท หรือ 4320 LKR (รูปี) เราเอากระเป๋าเข้าไปเก็บแวะทักทายเพื่อนร่วมห้องสักนิดแล้วรีบออกมาเดินเล่นยามเย็นต่อ
ที่พักของเราสองคืนต่อจากนี้น่ารักมั้ยล่ะ


Clock Inn Kandy
โบสถ์แรกตัวอยู่ตามชุมชนได้อย่างลงตัว

ย่านการค้าใจกลางเมืองแคนดี้

ทองที่นี่ลวดลายคล้ายกับอินเดีย

หอนาฬิกาประจำเมือง

               ออกมาตอนเย็นแสงยังไม่หมดจึงได้โอกาสเดินชมเมืองสักนิดผ่านมัสยิดใหญ่ริมทางรถไฟ และทะเลสาบแคนดี้ (Kandy Lake) ที่กว้างใหญ่ แต่ถนนรอบข้างการจราจรแออัด เป็นสถานี่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง มีคนวิ่งออกกำลังกาย มีเรือนำเที่ยวรอบทะเลสาบ ถ้ารถไม่ติดคาดว่าอากาศน่าจะดีมากๆ  ให้เดินผ่านทะเลสาบเพื่อมุ่งหน้าไปยังวัดพระเขี้ยวแก้วที่เปิดหลัง 18.30 เป็นต้นไป ถ้านึกไม่ออกว่าจะบอกรถรับจ้างว่าไปที่ไหน ให้จำง่ายๆว่า Tooth Temple หรือ Sri Dalada Maligawa หรือ “ศรีดาลาดา มาลิกาว่า”  ตอนเช้าวัดเปิดเวลา 5.30-9.30 น. ตอนเย็นเปิดหลัง 18.30 น. เป็นต้นไป ทุกคนสามารถเข้าสักการะพระทันตธาตุ หรือเข้าชมได้ทุกวันแค่ช่วงเช้ากับช่วงเย็นเท่านั้น ค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยว่างชาติคนละ 10 ดอลล่าร์ หรือ1000 LKR (รูปี) ทุกคนจะได้รับมินิDVD นำชม 1ชุด
มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของเมือง

ทะเลสาบแคนดี้(Kandy Lake)
รอบทะเลสาบเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทั่วไป

อีกมุมหนึ่งของทะเลสาบเห็นพระราชวังอยู่ลิบๆ

เบื้องหน้าของวัดพระเขี้ยวแก้วและพระราชวังเดิม
DVD ที่ทุกคนจะได้รับข้อมูลแน่นอยู่ 

            ตำนานพระทันตธาตุ หรือกระดูกส่วนฟันของพระพุทธเจ้านั้น โบราณเชื่อกันว่า ใครก็ตามที่ได้ครอบครองมีสิทธิ์ได้เป็นกษัตริย์ปกครองศรีลังกา จึงมีการต่อสู้แย่งชิงกันมานมนาน ทั้งกษัตริย์สิงหล ชาวฮินดู แม้แต่ชาวตะวันตกยุคล่าอาณานิคม ที่พยายามจะทำลายพระธาตุ ทั้งใช้ค้อนทุบทั้งนำไปเผาไฟแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ได้ประดิษฐาน ณ กรุงแคนดี้ ตั้งแต่ปี  ค.ศ. 1592 โดยบรรจุในผอบรูปทรงสถูปลดหลั่น 7ชั้น ชั้นนอกบุเงินสูงเมตรกว่าๆ ชั้นในเป็นทองคำ และถูกบรรจุอย่างแน่นหนาภายในชั้นบนของวัด
ภาพวาดภายในทางเดินเข้าอุโบสถวัด




                 เมื่อจ่ายค่าผ่านประตูเรียบร้อยแล้วก็จะต้องถอดรองเท้า ซึ่งทางวัดจะมีที่เก็บรองเท้าไว้ให้บริการ วัดพระเขี้ยวแก้วจริงแล้วอยู่ในเขตพระราชวังเดิมคล้ายคลึงกับวัดพระแก้วจึงมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ บริเวณหน้าวัดมักจะมีไกด์ผีเดินตามและอาสานำชม ขอให้ปฏิเสธให้หมดและอย่าให้เดินตามเพราะคนพวกนี้สุดท้ายก็จะขูดรีดหรือข่มขู่เพื่อให้เสียค่าทิปราคาแพง ให้ใช้บริการไกด์ของวัดเท่านั้น ตัววัดจะมีกำแพงพร้อมคูน้ำล้อมรอบ ทางเข้าวัดด้านหน้าจะพบอุโมงค์ภาพวาดงดงามด้วยลายอันวิจิตรบรรจง เมื่อเข้าไปแล้วจะมีชายชุดโบราณยืนหน้าถมึงทึงตีกลองเป่าปี่ให้อยู่ภายในคล้ายกับได้เวลาทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ด้านหลังของอุโบสถจะเป็นพระพุทธรูปหินอ่อนปางต่างๆมากมายและภาพพุทธประวัติ


พิธีสักการะบูชาทำประจำทุกยามเย็น

ธงที่แขวนเป็นธงสัญลักษณ์พระพุทธศาสนา ถ้าไปทิเบตก็จะเจอแบบนี้เช่นกัน

ด้านข้างพระอุโบสถ

             หากจะขึ้นไปสักการะพระเขี้ยวแก้วด้านบนจะต้องเก็บกล้องและปิดมือถือ ห้ามบันทึกภาพ เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันจะเป็นการรบกวนคนนั่งสมาธิหรือนั่งสวดมนต์อยู่ข้างใน ทุกวันตอนเย็นคนที่นี่จะเยอะมากทั้งชาวศรีลังกาและนักท่องเที่ยวจึงต้องยืนต่อคิวเพื่อทะยอยขึ้นไปชมพระเขี้ยวแก้วที่จะเปิดให้เห็นจากช่องเล็กๆด้านในเป็นรอบๆ เราได้รอบทุ่มครึ่งก็ต้องเข้าแถวรอต่อไป

ด้านหลังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปหินอ่อน

การสักการะบูชาของที่นี่นิยมนำดอกไม้สดที่ตัดก้านแล้วมาวางมากกว่าพวงมาลัย

ภาพแอบถ่ายระหว่างรอไหว้พระเขี้ยวแก้วที่จะเปิดให้ชมผ่านช่องเล็กๆนั่น

               แต่เมื่อได้เข้าชมแล้วถึงรู้ได้ว่าเราได้เห็นแค่ในส่วนของผอบเท่านั้น ให้ยกมือไหว้แล้วอธิษฐานขอพร เสร็จแล้วก็เดินลงมา ด้านหลังของวัดเป็นพระราชวังเก่าซึ่งดูแล้วเหมือนท้องพระโรงมากกว่า ที่นี่ทำผังทางเดินเข้าออกและชมแต่ละจุดค่อนข้างดีเดินได้ง่าย เดินออกมาตอนสองทุ่มร้านค้าปิดไปส่วนมากแล้ว ท้องถนนในเมืองแคนดี้ยามค่ำคืนค่อนข้างเงียบและอากาศเย็นขึ้นมาทันทีเนื่องจากเป็นที่สูง ระหว่างทางเราได้แวะกินมื้อเย็นตามใจอยาก เป็นอาหารพื้นเมืองศรีลังกาที่เรียกว่า Hopper อ่านว่า “อัพพา” ออกเสียงฮอปเปอร์ คนพื้นเมืองไม่รู้จักนะ เป็นอาหารว่างที่ทานกันได้ตั้งแต่เช้าสายบ่ายเย็น ออกแบบเป็นกระทงคล้ายขนมครกแต่ใหญ่กว่ามาก ทำมาจากแป้งเนื้อเหมือนเครป เมื่อทอดแล้วจะกรอบนอกนุ่มใน สามารถเพิ่มไข่ได้คล้ายกับโรตีโดยจะตอกไข่ใส่ลงตรงกลางแบบแดงเยิ้มๆ นะอร่อยอย่าอกใครเชียว ราคาไม่แพงตกชิ้นละ 50-60 รูปี


วัดพระเขี้ยวแก้วยามค่ำคืน



แวะชิม Hopper ร้านริมทางว่าจะอร่อยแค่ไหน กระทงหน้าร้านน่ะใช่เลย

Hopper ใส่ไข่หน้าตาจะเป็นแบบนี้ มีพริกไทยโรยมาให้ ไข่จะอยู่ตรงกลางกระทง

             กินอิ่มแล้วแม้ยังไม่ดึกมากแต่ก็ควรรีบกลับเข้าที่พัก เพราะถนนหนทางค่อนข้างมืดและวังเวง ไม่มีสถานที่ท่องราตรี เมืองแคนดี้เป็นเมืองที่หลับกันไว เราก็ต้องรีบเข้าที่พักด้วย กลับถึงที่พักเราก็เห็นสมาชิกร่วมห้องขึ้นเตียงกันเกือบหมดแล้ว ใจเขาใจเราการนอนห้องรวมต้องรักษามารยาท คือเมื่อมีคนนอน เราก็ต้องรื้อของทำอะไรให้เบาที่สุด วางแผนการเดินทางพรุ่งนี้ที่ต้องตื่นแต่เช้า ไปสถานที่สำคัญอีกสองเมือง นั่นคือ วัดถ้ำดัมบุลลา (Dumbulla Cave Temple) และอุทยานสิงหราชา สิกิริยา (Sigiriya Rock)

ห้องพักแบบ Dorm จะทำอะไรต้องใจเขาใจเราและได้รู้จักมิตรภาพใหม่ๆ









วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บินเดี่ยวเที่ยวศรีลังกา การเดินทางแบบชิลๆ จากสุวรรณภูมิถึงโคลอมโบต่อรถไปเมืองแคนดี้

                เราออกเดินทางไปศรีลังกาช่วงเดินสิงหาคม เป็นหน้ามรสุมแต่อากาศกำลังดี ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป ช่วงเวละที่เหมาะสมกับการเดินทางมากที่สุดคือช่วงเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม เพราะอากาศจะแห้งไม่มีฝนตก แต่ตั๋วออกมาเดือนสิงหาคมเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ 22.55 น. ไปถึงที่หมายเวลา 0.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศศรีลังกาซึ่งช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง ใช้เวลาบินราวสามชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางเสริ์ฟอาหารบนเครื่อง1มื้อ เป็นข้าวแกงกะหรี่ไก่รสจัดจ้านแบบศรีลังกาเลย ใช้เครื่องบินลำใหญ่บินเหยียดขาได้สบายแอบงีบไปนิดในเวลาอันสั้น
พร้อมจะออกเดินทางกันแล้วนะ



              พอเครื่องแตะพื้นเราก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Bandaranaike International Airport คนที่นั่น อ่านออกเสียงว่า “บัณดาระนายะเก”  แต่จะพูดรัวกว่านี้ เป็นภาษาประจำชาติ ภาษาสิงหล (Singhala) “สิงหะละ”    อันที่จริงแล้วคนที่นี่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับดีทีเดียว แต่ถ้าเราเรียนรู้ภาษาของเค้าเล็กๆน้อยๆ อาจเป็นคำง่ายๆ เช่น ขอบคุณ หรือสวัสดี มันจะช่วยสร้างเสน่ห์ในการเดินทางได้เยอะทีเดียว

อย่าลืมกรอกบัตรเข้าเมืองกันด้วย ถ้าบนเครื่องไม่แจกก็หยิบได้ที่ก่อนถึงตม.จ้า

สนามบินที่นี่ใหญ่และทันสมัยทีเดียวแหละ

             ทางเดินจากงวงช้างไปยังตรวจคนเข้าเมืองค่อนข้างไกลทีเดียว สนามบินมีขนาดใหญ่ควรรีบเดินสักนิด ระหว่างทางก็มีป้ายยินดีต้อนรับเข้าสู่ประเทศศรีลังกาโดยสาวสวย “อายุบอวัน.” Ayubowan เป็นคำกล่าวทักทายง่ายๆ แปลว่าสวัสดีนั่นแหละใช้ได้ตั้งแต่เช้ายันดึก แต่เรามาถึงที่นี่เสียตี 1 ถ้าไม่ใช้บริการรถรับส่งของโรงแรมก็จะหารถยากเต็มที ค่า Taxi เข้าเมืองหลวง Colombo “โคลอมโบ”  ราคา 2000 รูปี ขึ้นไป ถ้านอนเมือง Negombo “เนกอมโบ” ก่อนคืนแรกจะเสียค่ารถประมาณ 1500 รูปี แต่เราใช้บริการรถของโรงแรมที่จะไปพักเค้าคิดค่าบริการแค่ 700 รูปี โดยโรงแรมอยู่ห่างจากสนามบินแค่ 7 กิโลเมตร
Presenter มีทั้งสาวสวยพนักงานต้อนรับและสัญลักษณ์แห่งเมืองพุทธ

ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่นี่คิวไม่ยาว ถ้าทำวีซ่ามาแล้วก็ไม่มีปัญหา

             ที่พักคืนแรกเราจองผ่าน booking.com เข้าไปเพื่อขอวีซ่าศรีลังกาก่อน อยู่ในเขตเมืองเนกอมโบ (Negombo) สถานที่พักตากอากาศที่อยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุด โรงแรมที่เราจองไว้เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ น่ารักพักกับเจ้าของบ้าน มีชื่อว่า Grand Traverse Home stay บริหารงานโดย Mr. Rasika Fernando ชายหัวโล้นหน้าตาดีชาวสิงหลนับถือพุทธ อยู่ร่วมชายคาเดียวกับภรรยาที่นับถือคริสต์ การตกแต่งที่พักจึงทำได้อย่างลงตัว ภายในห้องพักมีฟูกปูกับพื้นพร้อมมุ้งครอบเป็นวงกลมจากด้านบน มีพัดลมให้ตัวนึง ภายในราคาที่คิดเป็นเงินแค่ 10U$ เอาน่า เหนื่อยมามากแล้วเราต้องนอนให้ได้

ภายในห้องพักและห้องรับแขกของ Grand Traverse Homestay
การตกแต่งอย่างน่ารักเรียบง่ายของโฮมสเตย์แห่งนี้

            เราตื่นสายประมาณ 8 โมงกว่า  จะต้อง Check out ออกไปและรีบหารถไฟเข้าไปในเมือง เพื่อต่อรถไฟไปเมืองแคนดี้ (Kandy) อีกทอดหนึ่ง เราจึงขอร้องให้เจ้าบ้านช่วยทำอาหารเช้าแบบพื้นเมืองให้ทานก่อนออกไปข้างนอก เขาทำข้าวหุงกะทิกับน้ำพริกรสเผ็ดแบบพื้นเมืองมาให้กิน พร้อมผลไม้สด 1 ชุด คำแรกที่กัดกินไปเรารู้สึกว่ามันเผ็ดซ่ามากเลย คือมีทั้งรสเผ็ดพริกและเผ็ดร้อนของหัวหอมและสมุนไพร อาหารเช้าทานคู่กับชาร้อนและกาแฟร้อน กินแทบไม่หมดข้าวมาคำใหญ่มากๆ เสร็จแล้วก็ให้เจ้าของที่พักดูรอบรถไฟเข้าเมืองให้ มีรอบ 9.30 น. หลังจากเคลียร์ค่าใช้จ่ายเสร็จ (ค่าที่พักรวมอาหารเช้า 1250 รูปี) เขาจึงอาสามาส่งเราที่สถานีรถไฟฟรีๆ คงกลัวเราตกรถมั้ง จากที่พักถึงสถานีรถไฟเดินแค่ 300 เมตรเอง
ห้องรับแขกของที่พักซึ่งมีห้องนอนเพียง 4ห้องให้บริการ

ชุดเครื่องดื่มสำหรับมื้อเช้า

มาแล้วชุดอาหารเช้าแบบพื้นเมืองรสชาติเผ็ดมาก

         สถานีรถไฟแห่งนี้มีชื่อว่า Kurana อยู่ห่างจากเมืองหลวงโคลอมโบประมาณ 50 กม. ค่าโดยสารรถไฟต้องซื้อตั๋วที่สถานี 35 รูปี มันถูกมากๆ รถใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมง เป็นรถธรรมดาสายชานเมืองแวะจอดเกือบทุกสถานี ภายในตู้โดยสารสะอาดและกว้างขวางเพราะรางของรถไฟที่นั่นประมาณ 2เมตร ก็จะทำให้ตู้โดยสารกว้างกว่าไทยด้วย


ป้ายสถานีและภายในตู้โดยสารรถไฟสายชานเมือง

สีสันของรถไฟศรีลังกา

บริเวณโดยรอบสถานี Kurana

            รถไฟที่นี่มีเสน่ห์ไม่ต่างจากรถไฟชั้นสามบ้านเรานัก ที่มีทั้งพ่อค้าและแม่ค้านำอาหารและเครื่องดื่มจากภายนอกขึ้นมาขาย และมีวณิพกร้องเพลงหาเงิน คนพื้นที่ที่ชอบคุยกับนักท่องเที่ยว หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวแบกเป้ทักทายคุยกันเอง อยู่บนรถเราได้พูดคุยกับคนท้องถิ่นที่จะไปเที่ยวเมืองหลวงโคลอมโบแบบค้างคืน เราต่างลงสถานีเดียวกันคือ Colombo Fort Station สุดสายปลายทาง เมืองหลวงที่รถติด ผู้คนจอแจ แถมอากาศร้อนสุดๆ  พอลงจากรถเพื่อไปเข้าแถวซื้อตั๋วต่อไปยังเมืองอื่น เขาจะมีช่องสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะสำหรับซื้อตั๋วคล้ายกับอินเดีย ซึ่งแน่นเนืองไม่แพ้กัน มีทั้งคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติยืนต่อคิวกันยาว การเดินทางด้วยรถไฟในศรีลังกาได้รับความนิยมสูง เนื่องจากราคาถูก ใช้ระยะเวลาน้อยและปลอดภัยที่สุด 

โบกมืออำลาเมื่อถึงที่หมายรถไฟเทียบชานชาลา
อย่าลืมการไหว้ทักทายทุกครั้งพร้อมคำกล่าว อายุโบวัน (Ayubowan)

และแล้วก็ต้องเข้าคิวรอซื้อตั๋วต่อไป

           น่าเสียดายที่เราไม่ได้ซื้อตั๋วในเว็บล่วงหน้าเพราะมัวแต่ไปจัดการเรื่องที่พักและหาแลกเงิน เที่ยวรถจึงเต็มไปอีกสามวันสำหรับตั๋วรถไฟไปแคนดี้ จึงต้องเบนหัวเดินไปสถานีขนส่งแทนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เดินไปอีกแค่ 500 เมตร อยู่คนละฝั่งจากสถานีรถไฟ รถประจำทางไปแคนดี้จะออกทุกครึ่งชั่วโมง เป็นรถร้อน ใช้เวลาเดินทาง 4ชั่วโมงเต็ม ค่าโดยสาร 143 รูปี ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะได้จองโรงแรมที่นั่นทิ้งไว้
การจราจรที่จอแจหน้าสถานีรถไฟ

สถานีรถไฟ Colombo Fort

ตึกที่เห็นนั่นคือกรมศุลกากรของที่นี่ ข้ามถนนแล้วเดินย้อนอีกนิดจะเจอสถานีขนส่ง

               ระยะทางจากกรุงโคลอมโบไปยังแคนดี้ไม่ถึง 200 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลามากมายถึง 4 ชั่วโมงนั้น เพราะว่าทางแคบคดเคี้ยวและขึ้นเขาเป็นส่วนมาก คนที่นั่งรถไม่ชินก็อาจจะเมารถได้ควรเตรียมยาแก้เมารถไปด้วย เนื่องจากเมืองแคนดี้นั้นตั้งอยู่ในเขตเทือกเขา อากาศจึงเย็นตลอดปีแม้แต่ฤดูร้อน ตลอดทางรถโดยสารคนค่อนข้างแน่น สุดท้ายเราก็เดินทางมาถึงเมืองแคนดี้จนได้
จุดที่เราลงรถในเมืองแคนดี้ สัมผัสถึงกลิ่นอายเมืองหลวงเก่าได้เลย

หนทางไปเมืองแคนดี้นั้นมีแต่เขาและหุบเขา



ครั้งหน้าเราจะมารีวิวเมืองแคนดี้และวัดพระเขี้ยวแก้วกันนะจ๊ะ