มาเที่ยวไทเปกันทั้งที
ถ้าไม่ให้แวะไหว้พระเข้าวัดเพื่อขอพรเลยก็กระไรอยู่
อีกอย่างการเดินทางของเราก็มาสิ้นสุดลงในวันนี้แล้วด้วย วันนี้เราจึงขอแนะนำวัดดังในไทเปให้สำหรับคนที่มาเที่ยวแล้วต้องการไหว้พระขอพรกันด้วยด้วย
ซึ่งการเดินทางไปแต่ละแห่งก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินไปสามารถเดินทางถึงกันได้ด้วยรถไฟฟ้าและรถเมล์ครับ
วัดขงจื๊อที่เราจะพาไปเที่ยวในวันนี้จ้า
หลังจากที่เราอัดมื้อเช้าไปด้วยกาแฟไฮโซแบรนด์ดัง
เราก็พบว่าที่ร้านมีขายถ้วยกาแฟให้ซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกด้วยซึ่งลายก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือ
Signature ของเมืองๆนั้น ซึ่งลายของไต้หวันก็ไม่ทำให้เราต้องผิดหวังครับ
กินเสร็จก็แวะถ่ายกับเจ้าป้ายการ์ตูน Naruto สักนิดก่อนที่จะต้องเดินทางด้วยรถใต้ดินกันต่อ
วัดแรกที่เราจะไปสักการะตั้งอยู่นอกเมืองเป็นวัดที่ไกลที่สุด
โดยเราจะเริ่มต้นจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยมาเก็บสถานที่ท่องเที่ยวภายในเมือง
แก้วเซรามิคแบบ Signature ของเมืองต่างๆในไต้หวัน
ถ้าแก้วเซรามิคแพงไป แบบแก้วพลาสติกก็มีนะ
ขอบ้านารูโตะการ์ตูนสุดโปรดแป๊บนึงนะ
มาที่นี่อย่าลืมไหว้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลนะ
ชุดเครื่องไหว้ขอพรมีจำหน่ายในวัดเลย ไม่ต้องไปหาซื้อไกล
วัดกวนตู้ยังปรับปรุงไม่เสร็จนะครับ
มังกรพ่นน้ำหน้าวัดกวนตู้
เจ้าแม่กวนอิมปางพันมือ
อุโมงค์ในวัดเจาะผ่านเขายาวกว่าร้อยเมตร นำไปสู่ทะเล
สถาปัตยกรรมวัดกวนตู้งดงามไม่แพ้วัดใดเลย
เปิดให้บริการ 8.30-21.00 น. การเดินทาง MRT
สายสีแดง สถานี Guandu แล้วเดินต่อมายัง No.360 Zixhing Road,
Beitou District, Taipei แต่เดินไกลอยู่ แนะให้เรียกแท็กซี่ได้ไม่แพงครับ
ไหว้พระขอพรที่แรกเสร็จแล้วก็ต่อไปยังวัดที่สอง
เดินทางด้วยรถเมล์ไปลงยังสถานีรถไฟฟ้าเป่ยโถว (Beitou) เพื่อนั่งรถ MRTสายสีแดงไปลงยังสถานี Yuanshan แล้วเราจะได้เที่ยวสองวัดกันต่อ
ระหว่างทางเดินไปถึงวัด เราจะต้องเดินผ่านสวน Taipei Expo Park ที่ร่มรื่นก่อน ข้างในยังเป็นสนามกีฬาอีกด้วย
เป็นสวนที่สวยน่าเดินแห่งนึงเลยล่ะ
ถึงแล้วสนามกีฬาไทเป
Taipei Expo Park
พาหนะยอดฮิตของคนที่นี่คือจักรยานนั่นเอง
วัดเป่าอัน (Baoan Temple) เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองไทเปมากว่า
200ปี โดยมีเทพเจ้าที่ชื่อว่าเทพเจ้าเป่าเซิงต้าตี้ (Baosheng Dadi) ที่ช่วยอำนวยพรให้ทุกท่านที่มากราบไหว้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง
และอายุยืนยาว ภายในวัดยังคงมีเซียมซีให้เสี่ยงทาย
แต่ถ้าจับได้ไม้ไหนคงต้องไปอ่านและแปลภาษาจีนเอาเอง
นอกจากนั้นยังมีไม้เสี่ยงทายที่เรียกว่า ปวย อีกด้วยด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามทำให้วัดแห่งนี้ได้รับรางวัลวัดที่สวยงามที่สุดในไทเป
และห่างจากวัดเป่าอันไปเพียงไม่กี่ก้าว
เพียงแค่เดินข้ามถนนเราก็จะเข้าสู่วัดลัทธิขงจื๊อแห่งไทเปกันแล้ว
มาถึงแล้วนะวัดเบ่าอัน
ภาพวาดสามก๊กภายในวัดเบ่าอัน
เทพเจ้าเป่าเซิงต้าตี้ภายในวัด
มาที่นี่แล้วอย่าลืมขอพรให้มีสุขภาพดีกันนะจ๊ะ
ด้านหน้าวัดเบ่าอัน จะเห็นได้เลยว่าวัดแห่งนี้เก่าแก่มาก
ถนนแบบตัวหนอนโบราณหน้าวัด
วัดขงจื๊อแห่งไทเป (Taipei Confucius Temple) ด้วยลัทธิขงจื๊อสอนเรื่องการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายซึ่งสอดคล้องกับที่ปราชญ์ของขงจื๊อท่านได้สอนไว้
ซึ่งในวัดแห่งนี้จะไม่มีเทพเจ้าองค์ใดๆทั้งสิ้นให้ขอพร
แต่แปลกตรงที่ว่าใครก็ตามที่มาไหว้พระที่นี่ก็มักจะเขียนขอพรให้สำเร็จด้านการศึกษา
ขอพรให้สอบผ่าน ไม่แปลกที่จะได้เห็นนักเรียนนักศึกษาที่นี่
เพราะว่าปราชญ์ขงจื๊อท่านเป็นปราชญ์แห่งการเรียนรู้นั่นเอง
และสิ่งที่น่ารักของวัดนี้อีกอย่างคือ รูปปั้นท่านนักปราชญ์หน้าวัดนั่นเอง
มีเอกสารแจกฟรีเกี่ยวกับวัดและลัทธิขงจื๊อด้วย
ประตูทางเข้าวัดสร้างแบบเรียบง่าย
รูปปั้นนักปราชญ์ทำแบบการ์ตูนอนิเมชั่นเลย
ตัววัดสร้างแบบเรียบง่ายแต่ก็มีขนาดใหญ่โตใช่ย่อย
มาที่นี่อย่าลืมขอพรให้สอบผ่านกันด้วยนะเด็กๆ
รูปปั้นลิงปริศนาธรรมด้านนอกวัดขงจื๊อ
ไหว้พระกันเพลินยันบ่ายจนลืมเวลากินข้าวกลางวันไปเลย
โชคดีที่หน้าวัดมีร้านอาหารไต้หวันแบบบุฟเฟ่ต์ จ่ายแค่หัวละ 250NTD แล้วเดินเข้าไปตักข้าว ตักกับข้าวแบบไม่อั้นเลย ดูแล้วไม่แตกต่างจากบุฟเฟ่ต์ข้าวแกงไทยเท่าไร
แต่กับข้าวเป็นแบบสไตล์ไต้หวันทั้งหมด
สำรับกับข้าวตามแบบฉบับไต้หวัน จืดทุกอย่างเลย
ตั้งแต่เช้ามาเราได้ขอพรทั้งด้านสุขภาพ
ด้านการเรียนรู้ ด้านความมั่งคั่งร่ำรวย ยังจ้ะยังไม่หมด ยังเหลืออีกด้าน
ถ้านึกไม่ออกด้านความรักไงล่ะ
หนุ่มๆสาวๆไม่ควรพลาดที่จะมาสักการะยังวัดแห่งสุดท้ายของวันนี้ แต่เราเชื่อว่าน่าจะมีแต่สาวๆมาไหว้ขอพรกันมากกว่า
ระหว่างทางได้เดินผ่านสวนสวยอีกแล้ว
วัดแห่งสุดท้ายเรานั่งรถใต้ดินมาโผล่ที่สถานีนี้
วัดแห่งเทพเจ้าเสียไห่ (Hsiahai city god temple) เดินทางไม่ยากอยู่ใกล้รถไฟฟ้า
เดินทางด้วย MRT สายสีแดง ลงสถานี Zhongshan แล้วเดินอีกนิด
ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นแทบก้าวขาไม่ออก วัดแห่งนี้มีเทพเจ้า เย่วเซี่ยเหล่าเหริน
ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงจันทร์ ช่วยในเรื่องของความรัก
ความจริงวัดนี้มีขนาดเล็กมากจนเกือบจะกลายเป็นศาลเจ้า สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.
1860 ถ้ายังไม่มีเครื่องไหว้เราก็สามารถซื้อเครื่องไหว้หน้าวัดได้
แล้วก็ทำตามขั้นตอนที่แนะนำเท่านั้นเอง
วัดสุดท้ายนี่เราจะเจอแต่สาวๆกันนะครับ
มาที่นี่ต้องไหว้เทพแห่งดวงจันทร์ที่ช่วยดลบันดาลเรื่องความรัก
วัดเสียไห่ตอนนี้ยังปรับปรุงไม่เสร็จ ปีหน้าน่าจะบูรณะแล้วเสร็จ
การเดินทางมาวัดนี้จะซับซ้อนหายากนิดนึง เพราะมีขนาดเล็กมากๆ
ออกจากวัดเพื่อเดินทางกลับที่พักเราได้เดินผ่านถนนย่านการค้าโบราณอีกเส้นทางหนึ่ง
มีชื่อว่า Dinhua Commercial Street ตลอดสองข้างทางจะเป็นร้านค้าเก่าแก่ให้อารมณ์คล้ายย่านเมืองเก่า
มีคาเฟ่เล็กๆซ่อนตัวอยู่ตามห้องแถวโบราณนั้นๆ
แล้วของที่ขายอยู่ก็มีราคาถูกมากๆด้วย แต่จะเป็นของคนมีอายุนิดนึงครับ
ถนนโบราณย่านการค้าของที่นี่
ร้านกาแฟเล็กๆ รอให้คนมาจิบแก้หนาว
มาถนนสายนี้ก็ต้องถ่ายรูปกับชื่อถนนสินะ ถ่ายวนไปนั่น
แล้วเวลาสุดท้ายของวันก็มาถึงเราใช้เวลาที่เหลือเดินเลือกซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปฝากคนทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
ก็คงหนีไม่พ้นเค้กไส้ผลไม้ต่างๆ แต่ดั้งเดิมเลยคือเค้กสับปะรด
ในเวลาต่อมาก็แตกหน่ออกมาเป็นไส้เมล่อน ไส้พีช และอีกสารพัดไส้ในปัจจุบัน ที่นี่ขนมโมจิก็ดังไม่แพ้ญี่ปุ่นเช่นกัน
แต่ขนมอื่นที่โด่งดังก็จะเป็นพวกขนมเปี๊ยะไส้ต่างๆ เช่นกัน
ของฝากขึ้นชื่อไต้หวันคือบรรดาเค้กก้อนเล็กๆนี่แหละ
อาหารมื้อสุดท้ายของวันนี้ เราเบื่ออาหารไต้หวันเต็มทีแล้วล่ะ
นมมะละกอรสชาติดีขึ้นชื่อไม่แพ้นมกล้วย นมแอ๊บเปิ้ลเลยล่ะ
เครื่องออกตอนเช้ามืด
เราใช้บริการของโรงแรมให้เค้าช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้
เช็คเอ๊าท์ออกกลางดึกคืนนั้นเอง
ค่ารถแท็กซี่ประมาณ 750NTD แต่ก็ยังคุ้ม เพราะข้าวของที่เราซื้อกันบวกกับกระเป๋าล้อลากใบใหญ่ก็เล่นเอาเต็มท้ายรถเหมือนกัน
สนามบินนานาชาติเถาหยวนในหน้าหนาวนั้นหนาวจริง พี่แกไม่ยอมเปิดฮีทเตอร์หรือมันไม่มีก้ไม่รู้นะ
ควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปใส่ที่สนามบินด้วย เครื่องบินของนกสกู๊ตออกตรงเวลาไม่ทำให้เราต้องผิดหวังเลย
ใช้เวลาบินแค่สามชั่วโมงครึ่งก็ถึง กทม. กันแล้ว
Taoyuan International Airport ณ เวลา ตีสาม สนามบินเงียบมาก
ภาพวาดแบบไต้หวันในสนามบิน
บริเวณจุดรอผู้โดยสารขาออก
เรานั่งรอGate ของนกสกู๊ตเปิดอยู่จ้า
ในส่วนของที่นั่งรอก่อนขึ้นเครื่องไม่ได้เปิดฮีทเตอร์นะ
เจ้านักยักษ์สีเหลืองของนกสกู๊ตมาจอดเทียบงวงแล้ว
คราวหน้าเราจะรีวิวเมือง Leh Ladakh ไปเที่ยวแดนภารตะกันอีกรอบครับ