Calling from Leh! Calling from
Leh!
อะไรนะ จะไปเที่ยวเลห์ลาดั๊กห์กันเหรอ
แล้วที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวล่ะ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทิวทัศน์ที่งดงามแล้ว
เพื่อนสาวร่างท้วมของชั้นได้บรรยายถึงดอกไม้ใบหญ้าที่อาจจะพร้อมใจกันผลิบานในช่วงนั้น
หิมะที่ยังละลายไม่หมด รวมไปถึงวัดแบบทิเบตที่พบเจอได้ทั่วไป เพียงแค่นั้นฉันก็หูผึ่งอยากขอติดตามไปด้วยทันที
ดอกApricot บานที่ Nubra Valley
ทะเลสาบปานกองแสนงดงาม
ช่วงสงกรานต์เป็นเวลาที่ช่างเหมาะแก่การไปเที่ยวแบบยาวๆของมนุษย์เงินเดือนอย่างเรามากๆ
การเที่ยวที่หนาวๆเพื่อหลีกหนีอากาศร้อนๆในบ้านเรามักเกิดขึ้นเสมอ
เพื่อนฉันสามารถหาตั๋ว กรุงเทพฯ-เดลลี, เดลลี-เลห์ (BKK-Delhi-Leh, Leh-Dehli-BKK)แบบไปกลับ4ขาได้ ในราคาเพียง 13,500 บาท จากสายการบินแอร์อินเดีย (Air India)ได้ พวกเราทุกคนพร้อมใจกันจองก่อนที่ราคามันจะขยับขึ้นไปไกล
เพราะถ้าบินสายการบินในประเทศในช่วงนี้ราคาจะแพงหูฉี่เลยทีเดียว
จองตั๋วเครื่องบินได้แล้วก็พร้อมเดินทางกันเลยจ้า
ตั๋วบินแบบสองขาจะต้องพิมพ์ออกมาสองใบนะจ๊ะ
ไปเที่ยวอินเดียทุกครั้งนอกจากจะต้องจองตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมล่วงหน้าแล้ว
ต้องไม่ลืมที่จะขอวีซ่าอินเดียกันด้วยนะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ทำได้สบายโดยทำกับบริษัทที่รับทำวีซ่าตึกย่านอโศก ค่าทำวีซ่าอยู่ที่ 2250 บาท รวมค่าส่งตัวเล่มหนังสือเดินทางแล้ว และการเดินทางไปเมืองเลห์ไม่จำเป็นต้องระบุอะไรพิเศษในแบบฟอร์มขอวีซ่า
การเดินทางขึ้นที่สูงทุกครั้ง
ทุกคนมักจะมีปัญหาเรื่องความกดอากาศเนื่องจากเราใช้ชีวิตอยู่กับพื้นล่างมานาน
การขึ้นที่สูงกว่า 3,000 เมตรแบบทันที
ร่างกายต้องการการปรับตัวก่อนซึ่งถ้าไม่กินยาปรับความดันไปก่อนก็ต้องยึดหลักให้ร่างกายเคลื่อนไหวให้ช้าลง
อย่ารีบเดินหรือลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป
โดยอาการเบื้องต้นของโรคแพ้ความสูง (High Altitude Sickness) เบื้องต้นที่พบคือใจจะสั่นชีพจรเต้นแรงและเร็ว บางคนอาจเวียนหัวปวดหัวหรือคลื่นไส้ได้ แต่อาการเหล่านี้จะหมดไปถ้าอยู่ที่นั่นหลายวันแล้วจนร่างกายปรับตัวจนชิน ที่สำคัญไปถึงวันแรกห้ามนอนพักเด็ดขาดให้พยายามเดินเข้าไว้
ข้อปฏิบัติตัวเมื่อเดินทางขึ้นที่สูงที่ต้องระวังไว้
และอย่าลืมเตรียมเสื้อกันหนาว ชุดชั้นในลองจอนและผ้าพันคอหรือผ้าคลุมไหล่ให้พร้อมด้วย
ถุงเท้าหนาๆและรองเท้าหนาก็ช่วยได้มาก เพราะที่เมืองเลห์ลมค่อนข้างแรง
และช่วงเดือนเมษายน
อุณหภูมิช่วงเช้ายังติดลบอยู่และตอนกลางวันก็ยังคงเป็นเลขตัวเดียว
อย่าลืมถุงมือและหมวกด้วยนะจ๊ะ มันช่วยได้เยอะเลย บางโรงแรมที่เมืองเลห์ไฟฟ้าเดินเป็นเวลา
ดังนั้นฮีทเตอร์จะไม่ได้ร้อนทั้งคืน ซึ่งตื่นมาตอนเช้าจะหนาวมากๆ
การเดินทางบางตอนมีหิมะ ดังนั้นแว่นกันแดดกับรองเท้าบู๊ตก็จำเป็น
เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ถึงเวลาเตรียมตัวขึ้นเครื่องกันได้แล้ว
ด้วยไฟลท์ที่เราออกเดินทางของแอร์อินเดียเป็นไฟลท์เช้า เดินทางประมาณ 9 โมงเช้า
ต้องไปถึงสนามบินก่อนเวลาใช้เวลาบิน สี่ชั่วโมงครึ่ง ไปถึงที่นั่นก็จะประมาณเที่ยงๆ
เครื่องบินใช้ลำใหญ่ประมาณ 300 ที่นั่ง
หลับไปตื่นนึงก็ถึงสนามบินอินทิราคานธีโดยสวัสดิภาพ
สามแซ่บพร้อมเดินทางแล้วค่ะ อีกหนึ่งหนุ่มแยกไปนั่งอีกที่
แอร์อินเดียพร้อมเสิร์ฟความบันเทิงตลอดการเดินทาง
บินลำใหญ่ที่นั่งกว้างขวางตลอด4ชั่วโมงเต็ม
อาหารเสริ์ฟมื้อเช้าเป็นไข่ม้วนกับขนมปังครัวซองต์จ้า
เอกลักษณ์ของสนามบินกรุงเดลลีคือเจ้าสัญลักษณ์มือนี่แหละ
พอก้าวออกจากสนามบินกรุงเดลลี สิ่งแรกที่เราต้องเจอคือ
เหล่ารถแท็กซี่มารุมล้อมราวกับว่าเราเป็นซุปตาร์อะไรปานนั้น
แต่ละคนแย่งกันมาเสนอราคาไม่ต้องห่วง แค่เราเดินหนีราคาค่ารถแท็กซี่ก็จะถูกลงเรื่อยๆๆ
จนได้ราคาที่จะไปส่งเราที่โรงแรมแบบกดมิเตอร์ โดยโรงแรมที่เราพักมีชื่อว่า Suncourt
Hotel Yatri อยู่ย่าน
Karol Bagh ใจกลางกรุงนิวเดลลี ค่าห้องพักคืนละ 1300 บาทโดยประมาณ ท่ามกลางรถราที่ติดขัดแสนสาหัสในบ่ายวันอังคาร แม่เจ้าใช้เวลาบนท้องถนนกว่าชั่วโมงครึ่งจึงถึงที่พัก
มาพร้อมกับความหิว เหวี่ยงกระเป๋าเสร็จก็ออกไปหาของกินยามบ่ายเลย
ร้านอยู่ติดกับโรงแรมมีชื่อว่า J P
Chicken Corner สั่งข้าวหมกกับไก่Tikka และไก่ทันดูรีมากินซะเต็มคราบเลย
สัมภาระพวกเราเยอะจนต้องวางบนหลังคาเลยค่ะ
เป็นอาหารอินเดียตอนเหนือที่อร่อยมากๆ
ไก่ย่างมาครบทั้งสองสูตร มีปลาทอดและข้าวหมกด้วย
โฉมหน้าของร้าน JP Chicken จ้า
เรานั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Karol Baghไปยังสถานี
กุตับ มินาร์ (Qutab Minar) ไกลจากโบราณสถานประมาณ 1กิโลเมตร เราต้องนั่งรถตุ๊กๆไปลงที่กุตับมินาร์
ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 50 รูปี เมื่อถึงแล้วให้เดินข้ามถนนกลับมาซื้อตั๋วเข้าชมในราคาสมาชิก
BIMSTEC นั่นคือ 10 รูปี
เหมือนกับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังตามที่ต่างๆ โบราณสถาน
Qutab Complex เป็นการเข้ามาของวัฒนธรรมอิสลามในยุคตอนต้น
เป็นที่ตั้งของหอสูงกุตับมินาร์ Qutab Minar ซึ่งในสมัยค.ศ. 1200 ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงมาก
เด่นที่สุดในกรุงเดลี สร้างในสมัยสุลต่าน Qutab-ud-din-Aibak ซึ่งเป็นผู้นำชาวมุสลิมที่เข้ามายึดครองอินเดียในยุคแรก
ป้ายทางเข้า Qutub Minar
สถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลามคือหลังคายอดโดม
สตรองกันให้เต็มที่กับศิลปะแบบโมกุล
หอสูงที่ปัจจุบันห้ามคนขึ้นไปแล้ว
หอคอยโบราณนี้สร้างขึ้นด้วยหินทรายสีแดงสูง
72.5 เมตร ฐานล่างกว้างและค่อยแคบลงจนถึงจุดสูงสุด ตรงกลางเป็นโพรงมีบันไดเวียนขึ้นไปชั้นบน
แต่ก่อนเปิดให้เข้าชม ต่อมามักมีคนไปกระโดดหอเพื่อฆ่าตัวตายบ่อยครั้งเข้า
เขาก็เลยปิดไม่ให้ขึ้นไปโดยปริยาย
ใกล้กันกับหอคอยกุตับมินาร์ ยังมีหอคอยอีกแห่งที่สร้างไม่เสร็จ
คงเหลือแต่ซากปรักหักพังคงไว้ที่ฐาน
สาวๆอินเดียในชุดส่าหรีสีสันสดใส
กลุ่มโบราณสถานที่เป็นสุสานของที่นี่
จุดนี้เป็นกลุ่มโบราณสถานที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ
รอบๆหอคอยยังคงมีซากปรักหักพังของมัสยิดหลังแรกของอินเดียที่มีชื่อว่า
Quwwatul-Islam Masjid ซึ่งสร้างขึ้นก่อนหอคอยกุตับมินาร์เสียอีก
มีลวดลายแกะสลักบนเสาและผนังที่น่าตื่นตาตื่นใจ บางส่วนก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูแล้ว เดินลึกเข้าไปในสุดเป็นที่ตั้งของสุสานมุสลิม
ภายในมีแท่นหินอ่อนวางอยู่ คนอินเดียเมื่อเดินผ่านก็จะสักการบูชาด้วยการเอามือแตะหีบศพ
แล้วกลับไปแตะหน้าผากตนเอง
เสาแกะสลักที่ยิ่งใหญ่และงดงาม
โบราณสถาน Qutab
Complex นั้นกว้างใหญ่มาก
หากจะเดินให้ทั่วจริงๆ คุณจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
เพราะมีจุดให้แวะชมแวะถ่ายรูปเยอะมาก
เยอะจนทำให้เราต้องตัดรายการท่องเที่ยวบางรายการออกไป เอาเป็นว่าพวกเราได้ชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่เลย
ก่อนที่จะนั่งรถแท็กซี่กลับไปที่สถานีรถไฟฟ้าเพื่อนั่งรถกลับไปยังโรงแรม Suncourt Hotel Yatri เพื่อพักผ่อนก่อนที่จะต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปสนามบินอินทิราคานธี
เพื่อนั่งเครื่องไปเมืองเลห์
บนรถไฟฟ้ากรุงเดลลียามคนเลิกงานคนแน่นเนืองนอง
สถานีรถไฟฟ้าที่นี่กว้างขวางแต่ยังล้าสมัยหลายจุดเลย
โรงแรมที่เรานอนพักคืนแรก
บรรยากาศภายในห้องพักแอร์เย็นฉ่ำ
บริเวณหน้าล้อบบี้โรงแรม
พรุ่งนี้แล้วสิเราจะได้เดินทางไปเปิดหูเปิดตาเมืองเลห์
พิชิตอาการแพ้ความสูงกันครับ จะรอดหรือไม่รอดติดตามตอนต่อไปกัน