วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แบกเป้เที่ยวสุราบายา เมืองสุดท้ายของทริปยาวอินโดนีเซีย ชมสวนสัตว์สุราบายา มังกรโคโมโด (Surabaya citytour)


               และแล้ววันสุดท้ายของการเดินทางเที่ยวสุราบายาก็มาถึง ตื่นเช้ามาก็เดินสำรวจโรงแรมจนทั่วพบแต่ความเงียบงัน คาดว่าคงมีแต่ห้องเราห้องเดียวนั่นแหละที่พักเมื่อคืน โรงแรมนี้ไม่มีบริการอาหารเช้าพวกเราต้องเดินออกไปหารับประทานเองข้างนอก สุราบายาเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของอินโดนีเซียตั้งอยู่บนเกาะชวาฝั่งตะวันออก มีประชากรมากกว่า 3 ล้านคน Surabaya มาจากภาษาถิ่น คำว่า Sura แปลว่า ฉลาม Baya แปลว่าจระเข้ ซึ่งตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าเกิดจากการต่อสู้กันระหว่างจระเข้กับฉลามเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่จนกลายมาเป็นชื่อเมืองในปัจจุบันนั่นเอง
โรงแรมร้างยามเช้า

สภาพห้องนอนที่นอนเมื่อคืน

บนชั้นสองของโรงแรม

           โชคไม่ดีนักที่พักของเราสงบก็จริงแต่อยู่ไกลจากชุมชนเมือง ทำให้พวกเราต้องเดินไกลถึงไกลมากเพื่อที่จะเสาะแสวงหาอาหารเช้าดีดีใส่ท้อง แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอเดินข้ามถนน ข้ามแม่น้ำมาส (Mas River) แม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านตัวเมืองก็แล้ว สุดท้ายเลยต้องมาหยุดที่ร้านข้าวแกงแห่งหนึ่งริมถนน เพื่อสั่งกับข้าวและเต้าหู้ทอดมานั่งรับประทานกัน มื้อนั้นหมดไป 83,000 รูเปียห์
ร้านข้าวแกงริมถนนมื้อเช้าวันนี้

           ร้านข้าวแกงแห่งนี้เองที่เป็นที่พึ่งของหนุ่มๆมนุษย์เงินเดือนแวะมารับประทานก่อนที่จะเข้างาน และที่นี่เราก็จอหนุ่มวัยกลางคนน้ำใจงามคนหนึ่งที่อาสาจะพาพวกเราไปส่งยังห้างแห่งหนึ่ง หลังจากที่เราถามเค้าว่าในตัวเมืองสุราบายามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ที่ไหนบ้าง เขาในฐานะเจ้าบ้านไม่ขอแนะนำสถานที่อื่นนอกจากห้างสรรพสินค้า ซึ่งสถานที่ที่เขาแนะนำมีลักษณะคล้ายกับ Community Mall มีอาหารดีดีขายและ Hypermarket ไว้ช้อปปิ้งของใช้
ชายผู้ใจดีอาสาขับรถมาส่งยังห้างใหญ่ 

ห้างนี้เต็มไปด้วยขนมนมเนย ห้างDRAGO

รถแท็กซี่ประจำเมืองสุราบายา

ร้านอาหารที่เรากินเมื่อคืนเป็นเมนูปลาล้วนๆ

อันนี้อีกห้างหนึ่งเปิดใกล้ๆกับห้างแรก Ranch Market

         แต่ห้างใหญ่ใจกลางเมืองนั้นไม่ได้เป็นที่สนใจของพวกเรามากนัก ดังนั้นจึงเดินได้ประเดี๋ยวแล้วนั่งรถกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วเดินทางต่อไปยังสวนสัตว์สุราบายา (Surabaya Zoo) ดีกว่า เพื่อหาชมสัตว์ที่หายาก อาทิ มังกรโคโมโด ลิงอุรังอุตัง ฯลฯ
ศาลาว่าการประจำเมืองสุราบายา

สวนสัตว์สุราบายา

             เที่ยวสุราบายาคราวนี้เวลามีน้อยมาก เพราะตอนเที่ยงกว่าเราต้องเดินทางไปให้ถึงสนามบินแล้ว สวนสัตว์สุราบายาจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เนื่องจากสถานที่อยู่ระหว่างทางไปสนามบิน ค่ารถแท็กซี่ประมาณ 25,000 รูเปียห์ สวนสัตว์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1916 มีสัตว์ป่าในเขตร้อนให้ชมมากมาย เช่น จระเข้ เสือ ช้าง แรด หมีควาย กวาง ฯลฯ แต่พระเอกของงานที่มีคนสนใจเฝ้าดูมากที่สุดคือ ลิงอุรังอุตัง ที่พบมากแต่ในเกาะชวา และตัวมังกรโคโดโม (Kodomo) ที่มีขนาดใหญ่มากและมีนิสัยดุร้าย เป็นราชาแห่งสัตว์เลื้อยคลาน พบตามธรรมชาติบนเกาะโคโมโด และเกาะเล็กๆเท่านั้น  ค่าเข้าชมสวนสัตว์อยู่ที่ 8,000 รูเปียห์ ด้านหน้าของสวนสัตว์ยังคงปรากฏสัญลักษณ์ของเมือง นั่นคือ การต่อสู้ระหว่างฉลามและจระเข้ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่นั่นเอง
เดินไม่หลงแน่ มีแผนที่บอกโซนนิ่งของสัตว์แต่ละชนิด

เจ้าหมีนั่งอ้าซ่า

เจ้าป่าประจำเกาะโคโดโม

ตัวนี้ใหญ่ที่สุดในสวนสัตว์ ลำตัวยาวสามเมตรได้

เจ้าอุรังอุตัง นี่ก็เป็นไฮไลท์อีกตัวของที่นี่

เจ้าลิงปวดขมองเสียแล้ว

ใครหิวก็มีอาหารบริการ แต่ไม่มีคนกินเลย

            และแล้วก็ถึงเวลาโบกมือลาเมืองสุราบายาเพื่อกลับไปยังกรุงเทพเมืองฟ้าอมร พวกเราโบกรถแท็กซี่ที่มาส่งผู้โดยสารหน้าสวนสัตว์นั่นแหละเพื่อไปยังสนามบิน ค่าโดยสารแพงหน่อยประมาณ 72,000 รูเปียห์ เพราะต้องจ่ายค่าทางด่วนให้คนขับรถด้วย การจราจรในเมืองสุราบายาค่อนข้างคับคั่งในเขตที่เต็มไปด้วยอาคารสูงไม่แพ้กรุงเทพฯเท่าใดนัก
จะเดินทางไปสนามบินสุราบายาจะต้องใช้ทางด่วนเท่านั้น

อัตราค่าผ่านทางด่วนของที่นี่

               รถแท็กซี่มาส่งพวกเราหน้าสนามบินสุราบายา ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Juanda International  Airport หรือสนามบินฮวนด้า อยู่ห่างจากตัวเมืองสุราบายาราว 15 กิโลเมตร ลงมาทางทิศใต้ เป็นสนามบินใหญ่ลำดับสองของประเทศรองจากกรุงจาการ์ต้า รองรับเที่ยวบินจากต่างประเทศมากมาย เราทานมื้อเที่ยงกันที่สนามบินนี่แหละ แต่อาหารทำไม่ค่อยอร่อย ร้านค้าปลอดอากรหรือดิวตี้ฟรีนั้นมีให้เลือกซื้อน้อยมาก สินค้าที่ระลึกพื้นเมืองราคาแพงมากแต่ก็ยังเห็นกลุ่มคนไทยที่มาเที่ยวกันแค่นซื้อไปจนได้ ขากลับเราต้องจ่ายค่าภาษีสนามบินด้วยนะ คนละ 150,000 รูเปียห์ ควรเตรียมเงินรูเปียห์ให้พร้อมด้วย เพราะที่นี่ไม่รับเงินสกุลอื่นๆ

ทางเข้าสนามบินสุราบายา

ทางเดินภายในสนามบินสุราบายา

เห็นไฟลท์กลับกรุงเทพไหมนั่น

ร้านค้าดิวตี้ฟรีที่นี่เล็กนิดเดียว

บริเวณที่นั่งรอเครื่องออก

พร้อมที่จะกลับบ้านแล้วจ้า

         เครื่องทะยานออกจากสนามบินราวๆ 15.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถึงยังสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพโดยที่ไม่ต้องปรับเวลาขึ้นหรือลงอีก เพราะที่เมืองสุราบายาและกรุงเทพฯ ใช้มาตรฐานเวลาเดียวกัน เที่ยวอินโดนีเซียครานี้ใช้เวลาหลายวันหน่อย ทริปนำชมสถานที่แต่ละแห่งจึงสบายๆ ไม่แน่นจนเกินไป แล้วคราวหน้าเราจะวางทริปหลวมๆแบบนี้อีก แต่จะเป็นที่ไหนคอยติดตามชมกันนะครับ






วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แบกเป้เที่ยวยอกยาการ์ต้า ชมพระราชวังสุลต่าน การทำผ้าบาติก วัดตามันสรี ก่อนโบกมือลาไปเมืองสุราบายา (Yogyakarta Citytour)

             และแล้ววันนี้คณะนักเดินทางแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซียของเราก็กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง เมื่อเราไม่ได้จองทัวร์ใดๆทั้งสิ้นเลยตื่นสายได้ตามสบาย มีเวลาเก็บภาพยามสายตามชุมชนรอบๆ ที่พัก ได้เห็นบรรดาผู้ปกครองขี่รถมาส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนในตอนเช้า บรรดาแม่ค้าตั้งแผงขายอาหารเช้า ชีวิตผู้คนตามท้องถนนดูไม่เร่งรีบนัก ทริปของเราวันนี้เลยดูเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แต่เราก็มีจุดมุ่งหมายของเราวันนี้หลังจากเช็คเอ๊าท์ออกจากที่พักและฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้เพื่อเข้าไปนั่งรถชมเมืองยอร์กยาการ์ต้าเสียหน่อย
รถเข็นขายอาหารยามเช้า

คุณยายขายขนมหวานยามเช้า

แม่ลูกผูกพันนั่งทานขนมแต่เช้า

            จุดแรกที่เราจะแวะเยี่ยมชมหลังจากนั่งรถแท็กซี่จากโรงแรมคือ วังสุลต่าน (Karaton) อยู่ใจกลางเมืองเป็นวังที่สุลต่านองค์แรกแห่งยอร์กยาการ์ต้าดำรัสให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1755 คือ สุลต่านฮาเวงกูโวโนที่1 ออกแบบด้วยศิลปะชวาผสมกับยุโรป ไม่น่าเชื่อว่าอายุพระราชวังจะเลย 200 ปีมาแล้ว แต่ยังคงความงดงามและไม่ทรุดโทรมนัก จุดเด่นอยู่ที่ท้องพระโรงและโถงหน้าวังที่ดูโล่งเกินไปจนแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่ที่นี่มีบริการไกด์พาชมนำเที่ยวบรรยายให้เราฟังด้วย เราให้ค่าทิปไกด์ในการบรรยายไป 20,000 รูเปียห์ ส่วนค่าเข้าชมสถานที่ที่นี่เขาเก็บคนละ 5,000 รูเปียห์ เวลาเปิดให้เข้าชม วันเสาร์-พฤหัสบดี 8.00-14.00 น. วันศุกร์ 8.00-13.00น.
พระราชวังสุลต่านข้างในโล่งมาก

ภาพวาดนูนต่ำบอกเล่าความเป็นมา

ศิลปะผสมระหว่างชวากับตะวันตก

หุ่นการแต่งกายแบบพื้นเมือง
จุดต่อไปไม่ไกลจากจุดแรกเดินต่อไปอีกนิดจะเป็นแหล่งชุมชนทำผ้าบาติก ที่นี่จะเป็นร้านขายผ้าบาติกมีทั้งชนิดที่เป็นภาพวาดไว้ขึงกับกรอบไม้ และผ้านุ่ง ผ้าปูโต๊ะหรือผ้าคลุมเตียงขนาดใหญ่ก็มีจำหน่าย และแน่นอนว่าถ้าชิ้นงานละเอียดมาเท่าไร และผ้าผืนใหญ่เท่าใด ราคาก็ย่อมแพงขึ้นไปมากเท่านั้น บางร้านมีกิจกรรมเขียนผ้าบาติกโชว์นักท่องเที่ยวซึ่งช่วยให้ร้านค้าดูมีชิวิตชีวาขึ้นเยอะเลย ซึ่งการทำผ้าบาติกนั้นจะมีขั้นตอนดังนี้
1.การออกแบบลวดลาย
           ก่อนปฎิบัติงานทุกครั้งควรมีการออกแบบลวดลายและกำหนดกลุ่มสีที่จะใช้ให้เหมาะสมกับชิ้นงาน
แล้วใช้ดินสอเขียนผ้าร่างลวดลายลงบนผ้าเตรียมไว้

2.การเขียนลวดลาย
            เป็นขั้นตอนสำคัญของการทำผ้าบาติก การเขียนเทียนที่ดีส่งผลให้ขั้นตองการลงสีสมบูรณ์ขึ้น
เทียนที่เขียนผ้าต้องซึมทะลุผ้าด้านหน้าและด้านหลังจึงจะสามารถกันสีย้อมได้
 
เรานำผ้าที่ร่างลวดลาย
ไว้แล้วนั้นมาขึงบนกรอบไม้แล้วใช้เครื่องมือเขียนเทียนตักน้ำเทียนเขียนลงบนผ้าตามลวดลายนั้น
จนเสร็จ (สำหรับผู้ที่มีความชำนาญก็ไม่จำเป็นต้องร่างลวดลายไว้ก่อน สามารถเขียนเทียนลงบนผ้าได้เลย)

3.การระบายสีลงบนผ้า
             ผสมสีย้อมเตรียมไว้แล้วใช้ภู่กันจุ่มสีระบายลงบนผ้าอย่างระมัดระวัง อย่าให้สีซึมเลอะไปในบริเวน
ที่ไม่ต้องการจะทำให้เกิดข้อบกพร่องในงานได้เมื่อสีที่ระบายแห้งสนิทดีแล้วจึงทาด้วยโซเดียมซิลิเกรต
ให้ทั่วผ้าทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง

4.การต้มละลายเทียน
             เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำผ้าบาติก โดยนำผ้าที่ทาเคลือบด้วยโซเดียมซิลิเกรตไปล้างน้ำ
ขณะล้างน้ำจะมีสีส่วนเกินจำนวนหนึ่งละลายออกมากับน้ำจึงต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำอยู่เสมอ ขยี้ผ้าเบาๆ
จนน้ำที่ซักผ้าใสไม่นำอ่างใส่น้ำพอประมาณตั้งไฟให้น้ำเดือดเติมผงซักฟอกและโซดาแอสเล็กน้อย
แล้วนำผ้าที่ล้างโซเดียมซิลิเกรตแล้วนั้นลงต้มเพื่อละลายเทียน จนเทียนละลายออกหมด
จึงนำมาซักน้ำจนผ้าสะอาดก็จะได้ผลงานผ้าบาติกเพ้นท์สีที่สวยงาม

ตัวอย่างภาพวาดบาติกชนิดขึงกรอบกับการสาธิตเขียนลายผ้าบาติก 

เขียนลายผ้าบาติกอย่างลงรายละเอียดยิบ

ที่นี่แหละสถานที่สาธิตวิธีทำผ้าบาติก 
ส่วนที่นี่เป็นร้านค้าผ้าบาติกแบบแนวๆ ขายฝรั่ง

ร้านนี้ขายผ้าบาติกแบบดั้งเดิมพื้นเมือง

                     เสร็จจากการชมการผลิตผ้าบาติกที่ราคาแตะไม่ลงเพราะเน้นขายชาวตะวันตกที่เม็ดเงินหนา เราเดินไปชมวัดฮินดูกันต่อที่ ตามันสรี  (Tamansari) เก็บค่าเข้าชมท่านละ 7,000 รูเปียห์ เป็นวัดฮินดูสไตล์บาหลี ทาด้วยสีขาวทั้งตึก ภายในมีสระน้ำไว้ชำระล้างกายก่อนประกอบศาสนกิจ แต่ปัจจุบันไม่ได้มีสถานะเป็นวัดแล้วแต่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแทนเนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ที่นี่นับถือศาสนาอิสลาม ขณะเข้าชมวัดก็มีไกด์ท้องถิ่นพยายามที่จะนำเสนออธิบายประวัติความเป็นมาให้ฟัง แต่สังเกตดูแล้วน่าจะเป็นไกด์ผีที่คอยเอาทิปจากนักท่องเที่ยวเพราะไม่มีป้ายแสดงตนอะไรเลย เราต้องเดินหนีจนเขาเลิกที่จะเดินตามนั่นแหละ
วัดตามันสรี (Taman Sari) 
ไกด์ผีพยายามจะอธิบาย แต่ป้ายชื่อก็ไม่มี

แฟนคลับวัยรุ่นชาวย้อกยามาแล้ว แต่ละคนเปรี้ยวไม่เบา

สระน้ำสีเขียวมรกตนี่สวยงดงามจริงๆ 
ฐานน้ำพุ มีน้ำไหลออกมาแบบเอื่อยๆ 
ศิลปะปูนปั้นสไตล์ฮินดู

              ติดกับวัด Tamansari ยังมีเขตพระราชฐานเหมือนโรงละครเก่าแต่เปิดโล่งไม่มีคนเฝ้า พวกเราเลยได้อาศัยหลบร้อนนั่งพักให้ชื่นใจก่อนที่จะกลับไปทานข้าวกลางวันที่ไหนสักแห่ง แต่แถวนี้หน้าตาอาหารดูแล้วไม่น่าทานเลยขอนั่งรถแท็กซี่กลับไปทานที่ห้าง Matahari Mall ดีกว่า  อยากทานอาหารต่างชาติบ้างเมื่อถึงห้างพวกเราเลยมุ่งตรงไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วสั่งมาเป็นเซ็ททานกันให้อิ่มหนำ ก่อนปิดท้ายด้วยโดนัทของประเทศเพื่อนบ้านคือ J.Co นั่นเอง ในห้างนี้มีเสื้อผ้าบาติกสำเร็จรูปลดราคามากอยู่แต่รูปทรงออกเชยไม่ร่วมสมัยเลยไม่มีใครได้เสียเงินกันสักคน
ระหว่างทางกลับโรงแรมที่พัก 
เขตพระราชฐานที่พวกเราได้เข้าไปพักพิง
Matahari Mall ที่พึ่งยามต้องการหลบร้อน

อาหารญี่ปุ่นมื้ออร่อยก่อนไปสุราบายา 
ผ้าบาติกนำมาลดราคาพิเศษในห้าง 
ได้เวลาเดินทางกลับไปเก็บกระเป๋าอีกแล้ว

                อิ่มอร่อยแล้วก็เดินเล่นในห้างตากแอร์เย็นๆ ต่อจนได้เวลาบ่ายแก่ๆ ก็กลับไปเอาสัมภาระที่ได้ฝากกับทางโรงแรมไว้เพื่อหิ้วและลากทะลุตรอกใกล้ๆโรงแรมไปยังสถานีรถไฟของเมืองยอร์กยาการ์ต้า เตรียมตัวพร้อมขึ้นรถไฟสายยอร์กยาการ์ต้าไปยังจุดหมายปลายทางคือสถานี Surabaya Gubeng (SGU) ตามกำหนดหน้าตั๋วใช้เวลาเดินทางนาน 5 ชั่วโมง จะไปถึงที่หมายประมาณ 3ทุ่ม
กลับมายังสถานีรถไฟแห่งนี้อีกครั้ง 
ภายในชานชาลารอรถไฟ

          รถไฟที่จะนำทางพวกเราไปสู่เมืองสุราบายา นั้น ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่ชานชาลาสภาพรถไฟไม่ได้โสภาสะอาดนัก ค่อนข้างเก่าใกล้เคียงกับรถไฟไทย ตู้โบกี้ที่เราขึ้นนั่งนั้นเป็นรถไฟชั้นสามแบบกินลมชมวิว เมื่อรถไม่ได้แล่นไปไหนดังนั้นอากาศบนตู้โดยสารจึงร้อนอบอ้าวมากๆ  โชคยังดีที่รถไฟอินโดนีเซียออกตรงเวลาไม่ล่าช้าเหมือนบางประเทศลมจึงพัดเข้าตู้ทันทีเมื่อรถออก
บรรยากาศภายในคล้ายรถไฟชั้นสามในไทย 
ตู้รถไฟขบวนที่จะพาเราสู่เมืองสุราบายา

            ระหว่างที่รถไฟแล่นซึ่งต้องใช้เวลามากกว่า 5 ชั่วโมงนั้น พวกเราได้พูดคุยกันเสียงดังแบบไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาฟังเราออกว่าพูดคุยกันเรื่องอะไร เพราะผู้โดยสารทั้งหมดเป็นคนพื้นที่ทั้งหมด ไม่มีชาวต่างชาติในรถสายนั้นเลย เมื่อเริ่มหมดเรื่องที่จะคุยก็นั่งคอพับสัปหงกไปเท่านั้นเอง จนรถไฟเทียบชานชาลาปลายทางทุกคนลงจากรถกันหมด เราก็ต้องอาศัยรถแท็กซี่ให้ไปส่งยังโรงแรมที่พักคือ Soerabaja Place Guesthouse ซึ่งพวกเราได้ใช้บริการ Prepaid taxi คือจ่ายก่อนไม่เจ็บตัวภายหลัง คำนวณตามระยะทาง แต่ราคาค่อนข้างแพง คือ 50,000 รูเปียห์ แท็กซี่เขาไม่รู้จักสถานที่ต้องบอกชื่อถนนคือ Jalan Jaksa หรือถนนยักษา
ล็อบบี้ของโรงแรมคล้ายห้องรับแขกในบ้าน 
ด้านหน้าโรงแรมที่พัก

โรงแรมหายากมากเพราะไม่มีป้ายไฟติดด้านหน้าแถมลักษณะยังเหมือนบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ๆที่มีรั้วรอบขอบชิด รถต้องวนหลายครั้งกว่าจะถึงที่หมาย พอถึงโรงแรมแล้วรีบเก็บข้าวของออกไปทานมื้อดึกก่อนที่ร้านจะปิด เพราะนี่ก็4ทุ่มกว่าแล้ว ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ที่สุดกำลังจะปิดตัวลง เมืองสุราบายาเริ่มกลายเป็นเมืองร้างทำให้เราต้องรีบกินและรีบเดินกลับที่พักเพราะตามท้องถนนไม่มีผู้คนแล้ว เมื่อกลับถึงห้องแล้วเรายังคงนั่งเล่นนั่งคุยต่อไปจนหนังตาปิดไปเอง


ตอนต่อไป แบกเป้เที่ยวสุราบายาแบบดมดม ขำขำ แค่ครึ่งวันก่อนกลับไปยังกรุงเทพฯ