วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แบกเป้เที่ยวยอกยาการ์ต้า เมืองแห่งอารยธรรมฮินดูโบราณ ดื่มด่ำเถ้ากำมะถัน แอ่งธารเดือด ทะเลสาบ ที่ราบสูงเดียง (Dieng Plateau)

            หายหน้าหายตากันไปนานเรามาแบกเป้เที่ยวยอร์กยาการ์ต้ากันต่อ หลังจากที่เราได้จองทัวร์ที่ราบสูงเดียง (Dieng Plateau) ไปแล้วเมื่อเย็นวาน วันนี้พวกเราเลยต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเพื่อให้ทันรถที่จะมารับเราตอน 7.30 น. เพราะระยะทางที่ไปนั้นไกลอยู่ ใช้เวลาเดินทางร่วมสามชั่วโมงดังนั้นคณะเราจึงต้องเติมพลังด้วยมื้อเช้าฟรีที่โรงแรมก่อน จากนั้นจึงค่อยนั่งรถตู้ที่มารับเราถึงหน้าโรงแรม โดยคณะทัวร์วันนี้มีเพื่อนร่วมทางอีกสองท่านเป็นคุณนายแหม่มเดินทางมาจากเมืองน้ำหอมมาท่องเที่ยวที่นี่
ยอดเขาที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาไฟเกือบทั้งนั้น

หมู่บ้านเดียงท่ามกลางสายหมอก

               ถนนหนทางที่จะมุ่งหน้าสู่ที่ราบสูงเดียงนั้นค่อนข้างคดเคี้ยว ตลอดสองข้างทางเขียวชอุ่มด้วยแปลงเกษตรที่อุดมสมบูรณ์จากดินภูเขาไฟนั่นเอง อันที่ราบสูงเดียงนั้นเป็นพื้นที่ลูกคลื่นสูง 2,000 กว่าเมตร จากระดับน้ำทะเล ห่างจากเมืองยอร์กยาการ์ต้าไปประมาณ 150 กิโลเมตร ห่างจากเมืองโวโนโซโบ (Wonosobo) ประมาณ 26 กิโลเมตร ภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาไฟที่ยังตื่นตัว และบริเวณนี้ใต้พื้นโลกยังคงคุกรุ่นเต็มไปด้วยบ่อโคลนเดือด แอ่งธารน้ำร้อน แอ่งควัน ทะเลสาบน้ำกรด และไอกำมะถันที่ยังคงพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีวันเหนื่อย ซึ่งแต่ละแห่งจะอยู่ไม่ไกลกันนักพอเดินถึงกันได้ ก่อนจะเข้าชมจะต้องเสียค่าผ่านทางของวนอุทยานโวโนโซโบก่อนคิดเป็นเงินต่อหัวประมาณ 3,000 รูเปียห์
หน้าตาบัตรผ่านทางเข้าชมวนอุทยานเดียง

เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานหน้าตาขึงขังเอาเรื่องอยู่ 

            เมื่อรถตู้มาถึงยังที่หมายแรกนั่นคือกลุ่มวัดฮินดู Arjuna Complex เป็นวัดฮินดูโบราณที่สร้างขึ้นในเขตที่ราบสูง อากาศโดยรอบถือว่าเย็นใช้ได้เลยทีเดียวที่นี่จึงมีการทำปศุสัตว์เลี้ยงแกะและปลูกพืชผักเมืองหนาวไว้จำหน่าย คนขับรถให้เวลาพวกเราที่นี่ประมาณชั่วโมงครึ่งให้เดินชมธรรมชาติให้ทั่ว บริเวณทางเข้ามีแผนผังให้ดูว่าบริเวณโดยรอบมีอะไรบ้าง
  
แผนภาพแสดงกลุ่มโบราณสถาน


แกะน้อยที่นี่น่ารักจริงๆ 
ทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์เช่นนี้เลี้ยงแกะเถอะ


บางตัวก็มีนิสัยชอบนอนตามปลักโคลน

          ว่ากันว่าโบราณสถานฮินดูที่พบบนที่ราบสูงเดียงน่าจะมีมากกว่า 400 แห่ง แต่ปัจจุบันมีเพียง 8 แห่งเท่านั้น ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ ซึ่งนักโบราณคดีจะต้องขุดเถ้าถ่านลาวาภูเขาไฟออกเพื่อสำรวจและรักษาสภาพโบราณสถานนั้นๆ วัดอาร์จูนา (Arjuna Complex) เป็นหนึ่งในกลุ่มวัดฮินดูที่คงสภาพเดิมไว้ได้สมบูรณ์ที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุดในละแวกนั้น บริเวณใกล้กันยังมีวัด Puntadewa  วัด Srikandi วัด Sembadra


เนื่องจากเป็นวันธรรมดานักท่องเที่ยวจึงบางตา 
กลุ่มวัดอาร์จูน่าเรียงเป็นแถวยาว 
สถาปัตยกรรมใกล้เคียงกับบาหลี

บางวัดก็คงเหลือแต่ฐาน


สัญลักษณ์ของวัดฮินดูให้ดูที่ประตูน่าเกรงขาม

หากสังเกตดีดีจะเห็นเทวรูปแกะสลักนะ

               ใกล้กันยังมีน้ำพุร้อน Sikidang ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร แต่พวกเราไม่ได้เดินไปเพราะเกรงว่าเวลาที่จะเดินไปกลับจะไม่พอกับที่รถได้นัดไว้ เลยไปซื้อมันฝรั่งทอดกินฆ่าเวลา พบว่ามันฝรั่งที่นี่รสชาติดีมากก็เค้าขุดขึ้นมาสดๆ แล้วก็ตากแห้งไม่กี่วันก็ลงกระทะทอดเลยความสดใหม่ของมันฝรั่งขอยกนิ้วให้เลยครับ

ร้านค้าในเขตอุทยานมีกาแฟและของว่างให้บริการด้วย

นี่เลยของอร่อย มันฝรั่งสดทอด

                ได้เวลาไปยังจุดหมายต่อไป เค้าพาพวกเราไปยังแอ่งเครเตอร์  (Crator) ซึ่งเป็นแอ่งโคลนเดือดและธารร้อนที่ไหลออกมาจากใต้ภิภพ ซึ่งในภาษาอินโดนีเซียเรียกว่า Kawah ทันทีที่ก้าวลงจากรถเราจะได้กลิ่นกำมะถันคละคลุ้งเหม็นตลบอบอวล แนะนำคนที่จะเดินทางมาเที่ยวที่นี่ระยะแรกให้ค่อยๆหายใจอย่าสูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด ไม่เช่นนั้นอาจสำลักควันกำมะถันได้

ป้ายเตือนภัยที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องอ่าน

เห็นควันไอร้อนจากบ่อโคลนเดือดอยู่ไหวไหว

เห็นควันพุ่งออกมาจากหลืบสีเหลืองนั่นไหม

      ตลอดทางเดินที่ขึ้นไปยังบ่อโคลนเดือดที่ใหญ่ที่สุดนั้นจะมีป้ายเตือนตลอดทางว่าอย่าเข้าใกล้ธารเดือดและแอ่งโคลนเดือดน้อยกว่าระยะ4 เมตร ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายได้ ตลอดทางยังคงมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาตามซอกหินที่เป็นรอยแตกต้องคอยอุดจมูกเป็นระยะ เมื่อเดินมาถึงบ่อโคลนเดือดพบว่ามีการเอาไม้ไผ่มากั้นไว้กันคนคิดสั้นจะกระโดดลงไปหรือคนที่เดินซุ่มซ่ามตกลงไป แนะนำให้ยืนถ่ายรูปเหนือลมเป็นดีที่สุด

นี่แหละเจ้าตัวการปล่อยกลิ่นกำมะถันฉุนๆ 
บ่อโคลนเดือดอย่าได้เผลอตกลงไปเชียวนะ

ยืนชมใกล้ได้แต่อย่าชิดขอบรั้วมากนัก

นี่ละเสียงกระซิบจากธรรมชาติใต้ภิภพ

ตลอดทางเดินจะมีทั้งควันและบ่อน้ำเดือดผุด แทรกมาตามร่องหิน


กลุ่มวัยรุ่นเล่นดนตรีด้านล่าง

           เมื่อเดินลงมาเบื้องล่างพบว่าที่นี่มีม้าให้เช่าขี่ชมทิวทัศน์โดยรอบด้วยแต่ขอไม่เอาดีกว่าราคาน่าจะสูงอยู่ เราขึ้นรถไปยังทะเลสาบน้ำกรดอันเป็นที่หมายต่อไปอยู่ไม่ไกลจากบ่อโคลนเดือดนัก ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า Telega Warnaซึ่งคำว่า Telega ในภาษาชวาแปลว่า ทะเลสาบซึ่งทะเลสาบกรดนี้น้ำจะมีสีสวยมากเป็นสีเขียวมรกตไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ได้เนื่องจากมีสภาพเป็นกรด ที่นี่จะเสียค่าเข้าชมเพิ่มอีก 6,000 รูเปียห์นะ ทะเลสาบวาร์นาอยู่ห่างจากหมู่บ้านเดียงประมาณ 1.5 กิโลเมตร ทะเลสาบแห่งนี้มีทางเดินเท้ารายรอบกับมุมถ่ายรูปตามธรรมชาติที่แล้วแต่ใครจะสรรสร้าง ไม่แนะนำให้นั่งบนขอนไม้เพราะอาจร่วงตกน้ำได้ หากเดินเข้าไปลึกหน่อยก็จะเป็นที่ค่อนข้างเปลี่ยวแนะให้เดินเข้าไปเป็นกลุ่มจะดีกว่า
ทางเข้าอุทยานทะเลสาบ 
ทะเลสาบน้ำสีเขียวมรกตไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่

บรรยากาศร่มรื่นพอให้นั่งพักผ่อนได้

ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน

       กว่าจะเสร็จสิ้น ทริปแบกเป้เที่ยวที่ราบสูงเดียงก็ปาเข้าไปถึงบ่ายสอง งานนี้ไม่มีพาไปทานมื้อกลางวันแต่พวกเราจะต้องห่อมาเองไม่มีใครรู้มาก่อนว่าเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวแบบไม่มีหยุด ในที่สุดก็ต้องแวะกินริมทางแบบกันหิวจนตาลาย สุดท้ายไม่พ้นเมนู Mie Ayam, Mie Goreng ทานจนหน้าตาจะเป็นหมี่ผัดอยู่แล้ว

แผนที่นำเที่ยวในกลุ่มอุทยานเดียง

ทะเลสาบสีเขียวในอีกด้านมุมหนึ่ง

หมดแรงแล้ว ขอเติมพลังด้วยก๋วยเตี๋ยวหน่อย
แม่ค้าบอกน้ำยังไม่เดือดสุดท้ายได้หมี่ผัดกับเต้าหู้ทอด

     จากที่ราบสูงเดียงใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงมาถึงใจกลางเมืองยอร์กยาการ์ต้าราว 5 โมงเย็น พวกเรานั่งหลับกันมาตลอดทางด้วยว่าเดินมากจนเพลียแถมนั่งรถไกลอีกด้วย สุดท้ายพวกเราก็ให้ทิปไกด์รวมไปกับคนขับรถประมาณ 40,000 รูเปียห์ เป็นสินน้ำใจในการให้บริการคราวนี้ แล้วรีบกลับมายังโรงแรมที่พักเพื่อต่อเน็ตจองห้องพักที่เมืองสุราบายา (Surabaya) ที่เราจะเข้าพักในคืนถัดไป ที่พักมีชื่อว่า Soerabaja Place Guesthouse คืนละ30U$ ดูรูปในเน็ตแล้วหน้าตาห้องพักใช้ได้เลยตัดสินใจจองกัน เลยได้เลือกร้านอาหารมื้อสุดหรูที่จะทานกันค่ำนี้ด้วย เป็นภัตตาคารอาหารชวาแบบฟิวชั่น ราคาสูงนิดแต่ก็น่าลิ้มลองไม่หยอก
Kesuma Restaurant บรรยากาศสุดฮิปน่านั่ง

                พวกเรานั่งรถแท็กซี่ไปที่ภัตตาคาร Kesuma Restaurant ตั้งอยู่บนถนน Mantrijeron3 อยู่ทางทิศใต้ของเมืองใช้เวลาในการหาร้านยากพอสมควร คนขับแท็กซี่เองก็ไม่รู้จักวนแล้ววนอีกกว่าจะเจอค่ามิเตอร์ก็พุ่งเข้าไปที่ 20,000 รูเปียห์ ร้านนี้ดำเนินกิจการโดยชาวตะวันตกมาได้ภรรยาชาวญี่ปุ่นแล้วพากันมาตั้งรกรากที่นี่ มีฝีมือและชื่นชอบในเรื่องการทำอาหารและคิดค้นเมนูใหม่ๆ ที่ดัดแปลงมาจากเมนูพื้นเมือง ตกแต่งร้านสไตล์ชวาเน้นงานไม้แลดูสวยงามกลมกลืนไปทั้งร้าน ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kesumarestaurant.com/

พอถึงร้านแล้วรีบเช็คอินแจ้งสถานที่ทันทีเลย

เครื่องดื่มมีทั้งชาร้อน น้ำตะใคร้ และน้ำส้มปั่น

หนังสือท่องเที่ยวก็มีไว้ให้บริการแขกที่มาทานที่ร้าน

             เครื่องดื่มที่ออกมาต้อนรับแขกเป็นน้ำขิงผสมตะไคร้รสชาติจัดจ้าน อาหารที่เราสั่งวันนี้มีปอเปี๊ยะ แกงหน้าตาคล้ายกัยแกงส้ม แกงกะหรี่ไก่น้ำขลุกขลิก ปลาผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์  และชุดข้าวไก่ทอดชวากับน้ำพริกผักต้ม จานสุดท้ายนี่ถือเป็นไฮไลท์ของร้านนี้เลย รสชาติอาหารโดยรวมออกมาไม่เผ็ด ออกจะติดหวานด้วยซ้ำ ปิดท้ายด้วยของหวานอย่างกล้วยหอมทอด และกล้วยเชื่อม ทั้งสองจานนี้จะเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาและวิปครีม หน้าตาอาหารจึงออกเป็นแนวประยุกต์ผสมผสาน พร้อมกับราคาที่ค่อนข้างสูงทานกัน 3 คน 320,000 รูเปียห์ แต่หน้าตาของอาหารและความดีเลิศของวัตถุดิบนั้น เมื่อนำมาคิดกับราคานั้นถือว่าผ่านแทบจะคลานกับโรงแรมกันทีเดียว
ทานแค่สามคนแต่สั่งมาเต็มโต๊ะเลยจ้า

ชุดนี้เป็นปอเปี๊ยะทอดกับแก้งส้มสไตล์ชวา

ชุดนี้เป็นแกงกะหรี่ไก่กับปลาผัดใส่เม็ดมะม่วง

เซ็ทอาหารชุดมีข้าวกับไก่ทอดกะทิกับน้ำพริกผักต้ม

ปิดท้ายด้วยของหวานกล้วยทอดกับกล้วยเชื่อมทานกับไอศครีม


ตอนต่อไปแบกเป้เที่ยวยอร์กยาการ์ต้าแบบ City Tour ชมพระราชวังสุลต่าน การทำผ้าบาติก วัดตามันสรี ก่อนโบกมือลาไปเมืองสุราบายา







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น