ยอดเขาที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาไฟเกือบทั้งนั้น
หมู่บ้านเดียงท่ามกลางสายหมอก
ถนนหนทางที่จะมุ่งหน้าสู่ที่ราบสูงเดียงนั้นค่อนข้างคดเคี้ยว ตลอดสองข้างทางเขียวชอุ่มด้วยแปลงเกษตรที่อุดมสมบูรณ์จากดินภูเขาไฟนั่นเอง อันที่ราบสูงเดียงนั้นเป็นพื้นที่ลูกคลื่นสูง 2,000 กว่าเมตร จากระดับน้ำทะเล ห่างจากเมืองยอร์กยาการ์ต้าไปประมาณ 150 กิโลเมตร ห่างจากเมืองโวโนโซโบ (Wonosobo) ประมาณ 26 กิโลเมตร ภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาไฟที่ยังตื่นตัว และบริเวณนี้ใต้พื้นโลกยังคงคุกรุ่นเต็มไปด้วยบ่อโคลนเดือด แอ่งธารน้ำร้อน แอ่งควัน ทะเลสาบน้ำกรด และไอกำมะถันที่ยังคงพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีวันเหนื่อย ซึ่งแต่ละแห่งจะอยู่ไม่ไกลกันนักพอเดินถึงกันได้ ก่อนจะเข้าชมจะต้องเสียค่าผ่านทางของวนอุทยานโวโนโซโบก่อนคิดเป็นเงินต่อหัวประมาณ 3,000 รูเปียห์
หน้าตาบัตรผ่านทางเข้าชมวนอุทยานเดียง
เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานหน้าตาขึงขังเอาเรื่องอยู่
เมื่อรถตู้มาถึงยังที่หมายแรกนั่นคือกลุ่มวัดฮินดู Arjuna Complex เป็นวัดฮินดูโบราณที่สร้างขึ้นในเขตที่ราบสูง อากาศโดยรอบถือว่าเย็นใช้ได้เลยทีเดียวที่นี่จึงมีการทำปศุสัตว์เลี้ยงแกะและปลูกพืชผักเมืองหนาวไว้จำหน่าย คนขับรถให้เวลาพวกเราที่นี่ประมาณชั่วโมงครึ่งให้เดินชมธรรมชาติให้ทั่ว บริเวณทางเข้ามีแผนผังให้ดูว่าบริเวณโดยรอบมีอะไรบ้าง
แผนภาพแสดงกลุ่มโบราณสถาน
แกะน้อยที่นี่น่ารักจริงๆ
ทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์เช่นนี้เลี้ยงแกะเถอะ
บางตัวก็มีนิสัยชอบนอนตามปลักโคลน
ว่ากันว่าโบราณสถานฮินดูที่พบบนที่ราบสูงเดียงน่าจะมีมากกว่า 400 แห่ง แต่ปัจจุบันมีเพียง 8 แห่งเท่านั้น ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ ซึ่งนักโบราณคดีจะต้องขุดเถ้าถ่านลาวาภูเขาไฟออกเพื่อสำรวจและรักษาสภาพโบราณสถานนั้นๆ วัดอาร์จูนา (Arjuna Complex) เป็นหนึ่งในกลุ่มวัดฮินดูที่คงสภาพเดิมไว้ได้สมบูรณ์ที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุดในละแวกนั้น บริเวณใกล้กันยังมีวัด Puntadewa วัด Srikandi วัด Sembadra
เนื่องจากเป็นวันธรรมดานักท่องเที่ยวจึงบางตา
กลุ่มวัดอาร์จูน่าเรียงเป็นแถวยาว
สถาปัตยกรรมใกล้เคียงกับบาหลี
บางวัดก็คงเหลือแต่ฐาน
สัญลักษณ์ของวัดฮินดูให้ดูที่ประตูน่าเกรงขาม
หากสังเกตดีดีจะเห็นเทวรูปแกะสลักนะ
ใกล้กันยังมีน้ำพุร้อน Sikidang ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร แต่พวกเราไม่ได้เดินไปเพราะเกรงว่าเวลาที่จะเดินไปกลับจะไม่พอกับที่รถได้นัดไว้ เลยไปซื้อมันฝรั่งทอดกินฆ่าเวลา พบว่ามันฝรั่งที่นี่รสชาติดีมากก็เค้าขุดขึ้นมาสดๆ แล้วก็ตากแห้งไม่กี่วันก็ลงกระทะทอดเลยความสดใหม่ของมันฝรั่งขอยกนิ้วให้เลยครับ
ร้านค้าในเขตอุทยานมีกาแฟและของว่างให้บริการด้วย
นี่เลยของอร่อย มันฝรั่งสดทอด
ได้เวลาไปยังจุดหมายต่อไป เค้าพาพวกเราไปยังแอ่งเครเตอร์ (Crator) ซึ่งเป็นแอ่งโคลนเดือดและธารร้อนที่ไหลออกมาจากใต้ภิภพ ซึ่งในภาษาอินโดนีเซียเรียกว่า Kawah ทันทีที่ก้าวลงจากรถเราจะได้กลิ่นกำมะถันคละคลุ้งเหม็นตลบอบอวล แนะนำคนที่จะเดินทางมาเที่ยวที่นี่ระยะแรกให้ค่อยๆหายใจอย่าสูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด ไม่เช่นนั้นอาจสำลักควันกำมะถันได้
ป้ายเตือนภัยที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องอ่าน
เห็นควันไอร้อนจากบ่อโคลนเดือดอยู่ไหวไหว
เห็นควันพุ่งออกมาจากหลืบสีเหลืองนั่นไหม
ตลอดทางเดินที่ขึ้นไปยังบ่อโคลนเดือดที่ใหญ่ที่สุดนั้นจะมีป้ายเตือนตลอดทางว่าอย่าเข้าใกล้ธารเดือดและแอ่งโคลนเดือดน้อยกว่าระยะ4 เมตร ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายได้ ตลอดทางยังคงมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาตามซอกหินที่เป็นรอยแตกต้องคอยอุดจมูกเป็นระยะ เมื่อเดินมาถึงบ่อโคลนเดือดพบว่ามีการเอาไม้ไผ่มากั้นไว้กันคนคิดสั้นจะกระโดดลงไปหรือคนที่เดินซุ่มซ่ามตกลงไป แนะนำให้ยืนถ่ายรูปเหนือลมเป็นดีที่สุด
นี่แหละเจ้าตัวการปล่อยกลิ่นกำมะถันฉุนๆ
บ่อโคลนเดือดอย่าได้เผลอตกลงไปเชียวนะ
ยืนชมใกล้ได้แต่อย่าชิดขอบรั้วมากนัก
นี่ละเสียงกระซิบจากธรรมชาติใต้ภิภพ
ตลอดทางเดินจะมีทั้งควันและบ่อน้ำเดือดผุด แทรกมาตามร่องหิน
กลุ่มวัยรุ่นเล่นดนตรีด้านล่าง
เมื่อเดินลงมาเบื้องล่างพบว่าที่นี่มีม้าให้เช่าขี่ชมทิวทัศน์โดยรอบด้วยแต่ขอไม่เอาดีกว่าราคาน่าจะสูงอยู่ เราขึ้นรถไปยังทะเลสาบน้ำกรดอันเป็นที่หมายต่อไปอยู่ไม่ไกลจากบ่อโคลนเดือดนัก ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า “Telega Warna” ซึ่งคำว่า Telega ในภาษาชวาแปลว่า “ทะเลสาบ” ซึ่งทะเลสาบกรดนี้น้ำจะมีสีสวยมากเป็นสีเขียวมรกตไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ได้เนื่องจากมีสภาพเป็นกรด ที่นี่จะเสียค่าเข้าชมเพิ่มอีก 6,000 รูเปียห์นะ ทะเลสาบวาร์นาอยู่ห่างจากหมู่บ้านเดียงประมาณ 1.5 กิโลเมตร ทะเลสาบแห่งนี้มีทางเดินเท้ารายรอบกับมุมถ่ายรูปตามธรรมชาติที่แล้วแต่ใครจะสรรสร้าง ไม่แนะนำให้นั่งบนขอนไม้เพราะอาจร่วงตกน้ำได้ หากเดินเข้าไปลึกหน่อยก็จะเป็นที่ค่อนข้างเปลี่ยวแนะให้เดินเข้าไปเป็นกลุ่มจะดีกว่า
ทางเข้าอุทยานทะเลสาบ
ทะเลสาบน้ำสีเขียวมรกตไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่
บรรยากาศร่มรื่นพอให้นั่งพักผ่อนได้
ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน
กว่าจะเสร็จสิ้น ทริปแบกเป้เที่ยวที่ราบสูงเดียงก็ปาเข้าไปถึงบ่ายสอง งานนี้ไม่มีพาไปทานมื้อกลางวันแต่พวกเราจะต้องห่อมาเองไม่มีใครรู้มาก่อนว่าเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวแบบไม่มีหยุด ในที่สุดก็ต้องแวะกินริมทางแบบกันหิวจนตาลาย สุดท้ายไม่พ้นเมนู Mie Ayam, Mie Goreng ทานจนหน้าตาจะเป็นหมี่ผัดอยู่แล้ว
แผนที่นำเที่ยวในกลุ่มอุทยานเดียง
ทะเลสาบสีเขียวในอีกด้านมุมหนึ่ง
หมดแรงแล้ว ขอเติมพลังด้วยก๋วยเตี๋ยวหน่อย
แม่ค้าบอกน้ำยังไม่เดือดสุดท้ายได้หมี่ผัดกับเต้าหู้ทอด
จากที่ราบสูงเดียงใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงมาถึงใจกลางเมืองยอร์กยาการ์ต้าราว 5 โมงเย็น พวกเรานั่งหลับกันมาตลอดทางด้วยว่าเดินมากจนเพลียแถมนั่งรถไกลอีกด้วย สุดท้ายพวกเราก็ให้ทิปไกด์รวมไปกับคนขับรถประมาณ 40,000 รูเปียห์ เป็นสินน้ำใจในการให้บริการคราวนี้ แล้วรีบกลับมายังโรงแรมที่พักเพื่อต่อเน็ตจองห้องพักที่เมืองสุราบายา (Surabaya ) ที่เราจะเข้าพักในคืนถัดไป ที่พักมีชื่อว่า Soerabaja Place Guesthouse คืนละ30U$ ดูรูปในเน็ตแล้วหน้าตาห้องพักใช้ได้เลยตัดสินใจจองกัน เลยได้เลือกร้านอาหารมื้อสุดหรูที่จะทานกันค่ำนี้ด้วย เป็นภัตตาคารอาหารชวาแบบฟิวชั่น ราคาสูงนิดแต่ก็น่าลิ้มลองไม่หยอก
Kesuma Restaurant บรรยากาศสุดฮิปน่านั่ง
พวกเรานั่งรถแท็กซี่ไปที่ภัตตาคาร Kesuma Restaurant ตั้งอยู่บนถนน Mantrijeron3 อยู่ทางทิศใต้ของเมืองใช้เวลาในการหาร้านยากพอสมควร คนขับแท็กซี่เองก็ไม่รู้จักวนแล้ววนอีกกว่าจะเจอค่ามิเตอร์ก็พุ่งเข้าไปที่ 20,000 รูเปียห์ ร้านนี้ดำเนินกิจการโดยชาวตะวันตกมาได้ภรรยาชาวญี่ปุ่นแล้วพากันมาตั้งรกรากที่นี่ มีฝีมือและชื่นชอบในเรื่องการทำอาหารและคิดค้นเมนูใหม่ๆ ที่ดัดแปลงมาจากเมนูพื้นเมือง ตกแต่งร้านสไตล์ชวาเน้นงานไม้แลดูสวยงามกลมกลืนไปทั้งร้าน ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kesumarestaurant.com/
พอถึงร้านแล้วรีบเช็คอินแจ้งสถานที่ทันทีเลย
เครื่องดื่มมีทั้งชาร้อน น้ำตะใคร้ และน้ำส้มปั่น
หนังสือท่องเที่ยวก็มีไว้ให้บริการแขกที่มาทานที่ร้าน
เครื่องดื่มที่ออกมาต้อนรับแขกเป็นน้ำขิงผสมตะไคร้รสชาติจัดจ้าน อาหารที่เราสั่งวันนี้มีปอเปี๊ยะ แกงหน้าตาคล้ายกัยแกงส้ม แกงกะหรี่ไก่น้ำขลุกขลิก ปลาผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และชุดข้าวไก่ทอดชวากับน้ำพริกผักต้ม จานสุดท้ายนี่ถือเป็นไฮไลท์ของร้านนี้เลย รสชาติอาหารโดยรวมออกมาไม่เผ็ด ออกจะติดหวานด้วยซ้ำ ปิดท้ายด้วยของหวานอย่างกล้วยหอมทอด และกล้วยเชื่อม ทั้งสองจานนี้จะเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาและวิปครีม หน้าตาอาหารจึงออกเป็นแนวประยุกต์ผสมผสาน พร้อมกับราคาที่ค่อนข้างสูงทานกัน 3 คน 320,000 รูเปียห์ แต่หน้าตาของอาหารและความดีเลิศของวัตถุดิบนั้น เมื่อนำมาคิดกับราคานั้นถือว่าผ่านแทบจะคลานกับโรงแรมกันทีเดียว
ทานแค่สามคนแต่สั่งมาเต็มโต๊ะเลยจ้า
ชุดนี้เป็นปอเปี๊ยะทอดกับแก้งส้มสไตล์ชวา
ชุดนี้เป็นแกงกะหรี่ไก่กับปลาผัดใส่เม็ดมะม่วง
เซ็ทอาหารชุดมีข้าวกับไก่ทอดกะทิกับน้ำพริกผักต้ม
ปิดท้ายด้วยของหวานกล้วยทอดกับกล้วยเชื่อมทานกับไอศครีม
ตอนต่อไปแบกเป้เที่ยวยอร์กยาการ์ต้าแบบ City Tour ชมพระราชวังสุลต่าน การทำผ้าบาติก วัดตามันสรี ก่อนโบกมือลาไปเมืองสุราบายา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น