วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แบกเป้เที่ยวเชนไน ทมิฬ (ที่ยัง) น่าดู ตอนที่ 4 Kanchipuram กาญจีปุรัม ร่ำรวยพลังแห่งศรัทธา ล้ำค่าฮินดูเทวสถาน

               เราอยู่ที่รัฐทมิฬนาดู อินเดียใต้ จนถึงวันสุดท้ายแล้วของการแบกเป้เที่ยว ยังไม่เจอะเจออะไรที่ไม่น่าดูเลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนน่าดูและน่าตื่นตาทั้งนั้น วันนี้เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวยังเมืองกาญจีปุรัม (Kanchipuram) อันเป็นเมืองสุดท้ายของทริปสั้นๆนี้ เรานัดรถมารับเก้าโมงเช้าเช่นเคย ระหว่างรอรถตอนเช้า เราได้มีเวลาเดินสำรวจตรวจตราตลาดหาอาหารเช้าทานง่ายๆอีกครั้ง คราวนี้เรามาจบที่ร้านมังสวิรัติสั่งแป้งปุรี Puri มาจิ้มกับแกงถั่วให้พออิ่ม จากนั้นใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงเศษก็ถึงเมืองกาญจีปุรัม ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชนไน อยู่บนเส้นทางเดียวกับทางไปเมืองเบงกาลูรู (Bengaluru) หรือเมืองบังกาลอร์ (Bangalore) ในอดีต เมืองกาญจีปุรัม นั้นร่ำรวยอารยธรรมฮินดูมากๆ มีวัดวาอารามฮินดูมากมายในเมืองนี้ จนได้ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เมืองพันวัด” นับเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองศักดิ์สิทธิ์ของอินเดีย ด้วยความเจริญรุ่งเรืองของวัดนับพันในเมืองนี้ กล่าวได้ว่าเจริญสูงสุดในยุคของกษัตริย์ปาลาวะ (King Pallavas) ในช่วงปีค.ศ. 600-700 นั่นเอง

Kanchipuram เมืองพันวัด

โฉมหน้าร้านฝากท้องมื้อเช้า

แป้งปูรีทอดกรอบจิ้มแกงถั่วร้อนๆ แสนอร่อยยามเช้า

หญิงสาวร้อยดอกไม้บนเรือนผมกับหน้าร้านชาร้อน

                    หลังจากที่เราใช้เวลาเดินทางร่วมชั่วโมงเศษ เราก็เดินทางมาถึงวัดแห่งแรก คือ วัด Sri Ekambareswarar Temple หรือเทวาลัยเอกัมพเรศวร  เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกาญจีปุรัม Kanchipuram  อายุประมาณ 1200 ปี ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ซุ้มประตูสูง 59 เมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในซุ้มประตูที่สูงที่สุดในอินเดีย เป็นวัดที่บูชาพระศิวะ ได้รับความนับถือสูงสุด และมีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในเมืองกาญจีปุรัม  ภายในตัววิหารหลักไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเหมือนเดิมเลย ตัววัดเป็นศิลปะแบบดราวิเดียนงดงามที่ซุ้มประตูทางเข้า ในวัดเราจะได้ชมวัวสีดำตัวใหญ่ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีขนาดกว้างใหญ่ มีช้างมงคลทาผงแป้งสีงดงาม ในพื้นที่ภายในวัดเรามักจะพบภาพเขียนสีลวดลายสวยๆที่พื้นที่เราเรียกว่า “รังโกลี” แต่ทางอินเดียใต้ จะเรียกภาพสีนี้ว่า “โกลัม” (Kolam) เป็นความเชื่อของคนอินเดียที่จะใช้ผงแป้งหรือทรายย้อมสีรังสรรค์ผลงานขึ้นที่วัด หรือหน้าบ้านหรือห้างร้านของตนเองทุกเช้า โดยมีความเชื่อว่าเป็นการต้อนรับการมาเยือนของพระลักษมี อันจะนำมาซึ่งโชคลาภสู่ครอบครัว ทำให้กิจการค้าเจริญรุ่งเรือง เมื่อผ่านพ้นหนึ่งวันไป ภาพสีก็จะถูกลบเลือนไป จึงมีการวาดใหม่ในทุกเช้าทุกวัน

มาถึงแล้ว เทวาลัยเอกัมพเรศวร มีเครื่องรางบูชาขายอยู่หน้าวัด 

ร้านขายของไหว้และของที่ระลึกทางศาสนาด้านหน้าวัด

วิหารนี้มีความเก่าแก่อายุมากกว่าพันปี

พระดาบส พระอาจารย์ ชื่อดังคู่บ้านคู่เมือง

สระน้ำขนาดใหญ่ใจกลางวัด

หลากความเชื่อและพิธีกรรมที่เรายังหาคำตอบไม่ได้ภายในวัดแห่งนี้ 

เสาสลักหินสวยงามภายในวิหาร


ช้าง สัตว์มงคลที่มักนำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรม

ภาพวาดผงสีหรือ รังโกลี ตามความเชื่อและศรัทธาของฮินดูชน
  
      หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สอง ที่สร้างขึ้นในยุคเดียวกับโบราณสถาน Shore Temple ที่เมืองมหาบาลีปุรัม อายุราว 1200 ปี เช่นเดียวกัน วัด Sri Kailasanatha Temple หรือ เทวาลัยไกรลาสนาถ  ซึ่งเป็นวัดที่งดงามมากๆๆถึงจะมีขนาดเล็กแต่ภายในวัดมีการแกะสลักและมีภาพสีที่งดงามมากจริงๆ สร้างโดยกษัตริย์ Raja Simha ยุคปาลลาวะ เสร็จสมบูรณ์ในสมัยต่อมาราวศตวรรษที่ 8 ซึ่งถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในกาญจีปุรัม ด้านหน้าวัดมีรูปปั้นโคนอนสีขาวตัวใหญ่สวยงามมาก โดยมีความเชื่อที่ว่าหากเราสัมผัสตรงจุดไหน เราจะเด่นในด้านนั้น เช่น ถ้าเราถ้าปีนขึ้นไปสัมผัสหัวเราก็จะฉลาดเป็นต้น ถ้าปั้นวัวยืน เค้าจะต้องปั้นสองตัวเพื่อระบุเพศของวัว หากปั้นเป็นวัวนอนแล้ว เค้าก็จะปั้นแค่ตัวเดียว เพราะไม่ต้องมาระบุเครื่องเพศด้านล่าง เพิ่งรู้ความจริงในภายหลังจากที่เดินทางกลับมาแล้ว เออ คนโบราณเค้าก็ขี้เกียจปั้นกันนะ ภายในเทวาลัยจะพบรูปปั้นพระศิวะในปางต่างๆมากมาย เนื่องจากว่าเป็นเทวาลัยที่บูชาพระศิวะเป็นหลักจึงมีแต่รูปพระศิวะเต็มไปหมด
ถนนหนทางในเมืองกาญจีปุรัม

ทางเข้าเทวาลัยไกรลาสนาถ

เทวาลัยไกรลาสนาถ บางส่วนก็ได้รับการบูรณะแล้ว สีจึงต่างกันชัด

เทวาลัยเมื่อมองจากรูปปั้นโคนอน

รูปปั้นโคนอนอันเลื่องชื่อ แตะส่วนไหนจะได้ดีในส่วนนั้น


บริเวณทางเดินรอบวิหาร

รูปสลักพระศิวะสามารถหาได้ทั่วไปภายในเทวาลัยแห่งนี้

ส่วนที่ได้รับการบูรณะใหม่แล้วโดยยึดตามท้องเรื่องและรายละเอียดเดิม


ความงามวิจิตรตามร่องสลักและเสาหิน ที่หาค่ามิได้

ถึงเวลาบ่าย พวกเราเลยหาอาหารง่ายๆ พวกข้าวหมกไก่กับไก่ทอดกินรองท้อง ซึ่งเป็นร้านมุสลิม หาไม่แล้วจะหาร้านอาหารที่มีเนื้อสัตว์ไม่เจอเลยในเมืองกาญจีปุรัมแห่งนี้ ณ เมืองพันวัด กาญจีปุรัม วัดอินดูต่างๆในเมือง จะปิดลงในช่วง 12.30-16.30 น. ของทุกๆวัน ดังนั้นเวลาที่เหลือเราจะต้องนั่งรอยันเย็นถึงจะเข้าไปชมภายในวัดได้ แต่หน้าที่ของคนขับนำเที่ยวเค้าจะต้องนำชมวัดให้ครบตามที่เราว่าจ้างให้ตามเวลา เขาจึงขับพาไปวัดที่ต้องไปตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดวรธะราชา เปรุมาล (Varadaraja Perumal Temple) วัดไวกูรณ์ฑะเปรุมาล (Vaikuntaperumal) แต่ละวัดล้วนมีซุ้มประตูที่สูงตั้งตระหง่าน และทาสีขาวหรือสีเหลืองไข่ไก่เป็นหลัก นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะต้องเสียค่าเข้าชมประมาณ 250รูปี และไม่สามารถเข้าไปชมในส่วนที่ประกอบพิธีกรรมได้ มีการเก็บค่ากล้องถ่ายรูปและกล้องวีดีโอต่างหาก งานนี้พวกเราจึงได้แต่เดินเตร็ดเตร่ถ่ายรูปอยู่ภายนอกของวัด
แม้แต่วัดขนาดเล็กๆก็ยังปิดช่วงบ่าย 
วัดแห่งนี้มีขนาดสูงมากๆ แต่น่าเสียดายที่ปิดตอนกลางวัน


ทุกคนต้องยืนรอจนกว่าจะเย็นจึงจะเปิดให้อีกครั้ง

แค่รายละเอียดของซุ้มประตู โคปุรัมด้านนอกก็กินขาดแล้ว

เรื่องอะไรเราจะต้องนั่งรอยันเย็นเพื่อรอวัดเปิด พวกเราจึงตัดสินใจบอกพี่คนขับให้ขับรถกลับเมืองเชนไนจะดีกว่า เพื่อที่จะได้กลับไปเดินเล่นแถวโรงแรมที่เราพักเพื่อหาของกินเล่นยามเย็น หรือซื้อผลไม้ในตลาดกันดีกว่า เราได้เดินเล่นแถวโรงแรมอีกครั้ง สำรวจตลาดผลไม้ มีทับทิมอินเดีย ลูกฟิกซ์ หรือมะเดื่อฝรั่ง ซึ่งที่นี่ขายกันลูกสดๆ เลย ผิดกับในไทยที่จะเป็นลูกฟิกซ์ที่อบแห้งมาแล้ว มื้อเย็นพวกเราได้ฝากท้องที่ภัตตาคารFish ‘n’ Prawn Family  Restaurant อีกครั้งหนึ่ง รสชาติดีเหมือนเดิมเลยฝีมือไม่ตก ก่อนที่จะออกเดินทางอีกครั้งด้วยรถแท็กซี่ไปสนามบินออกจากโรงแรมประมาณสามทุ่ม ไปถึงสนามบินสี่ทุ่ม เพื่อขึ้นเครื่องที่ออกเดินทางประมาณเที่ยงคืนกลับถึงกรุงเทพฯ ราวเช้ามืดของวันถัดไป

อัตราค่าธรรมเนียมนำกล้องถ่ายรูปเข้าไปภายในวัดแต่ละที่ ราคาไม่เท่ากัน 

ความสนุกสนานของเด็กๆดินแดนรัฐทมิฬนาดู

วัวพาหนะศักดิ์สิทธิ์ของคนที่นี่ใช้งานได้เอนกประสงค์

มะม่วงพันธุ์ที่นี่ลูกโตมากแต่ราคาไม่ถูกเลย

มะเดือฝรั่งลูกโตแบบสดๆบรรจุในลัง

ทับทิมอินเดียราคาค่อนข้างแพง

เมืองเชนไน ทมิฬนาดู น่ารัก ผู้คนเป็นมิตร มิได้น่ากลัวเหมือนในจินตนาการว่าคนทมิฬ คือคนดำ ใจก็ต้องทมิฬไปด้วยเสมอไป มิใช่นะ แค่อยากจะบอกว่าขออยากให้คุณผู้อ่านเปิดใจสักนิด ยอมรับวัฒนธรรม วิถีชีวิต ชาติพันธุ์ สีผิวที่แตกต่างจากเราบ้าง แล้วคุณก็จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างเป็นสุข ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาตลอดครับ บล็อกหน้าเราจะลัดฟ้าพาเที่ยวภูมิภาคคันไซ ประเทศญี่ปุ่นกันครับ
ขำขำกับรถตุ๊กๆ ก่อนกลับ เค้าไม่ได้ตั้งใจนะ 
บ๊าย บาย เมืองเชนไน แล้วพบกันใหม่ที่ญี่ปุ่นจ้า






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น