วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560

แบกเป้เที่ยวปักกิ่งหน้าหนาว แบบคูลๆ เดินเล่นถนนคนเดิน Amazing เปิบพิสดาร และพาเที่ยวสนามกีฬาโอลิมปิกยามค่ำคืน ปิดท้ายด้วยถนนสายแบรนด์เนม Beijing Olympic Stadium & Wang Fu Jing walking street

          
        รถเมล์จอดส่งเราที่ท่ารถDeshengmen ใช้เวลาเดินทางขากลับสองชั่วโมงเพราะเจอปัญหารถติดภายชานเมืองปักกิ่ง ข้างๆกับท่ารถมีพิพิธภัณฑ์เหรียญโบราณของจีน แต่น่าเสียดายที่เรากลับมาไม่ทันเวลาพิพิธภัณฑ์ได้ปิดลงแล้ว แม้แต่หอกลอง หอระฆังเราก็เข้าไปเยี่ยมชมไม่ทัน ไม่งั้นจะได้ภาพสวยๆ ก่อนอาทิตย์ตกดินอีกวัน
พิพิธภัณฑ์เหรียญตราโบราณ

เขตกำแพงเก่ากับป้อมโบราณเป็นของคู่กันกับเมืองปักกิ่ง

เราเลยต้องเปลี่ยนแผนไปเดินเล่นถนนคนเดินย่านหูท่งแทน “หูท่ง” (Hutong) คือชุมชนบ้านเรือนโบราณที่ปลูกติดกัน เว้นช่องว่างระหว่างบ้านสองฟากเป็นแค่ตรอกเล็กๆ ให้คนพอเดินได้ เสน่ห์อีกอย่างของการท่องเที่ยวปักกิ่งก็คือการเดินเล่นย่านถนนคนเดินเก่าแก่นี่แหละ
เอาละเราเห็นศิลปินริมถนนแสดงว่าเข้าใกล้ย่านอาร์ตละ 
ถ้าจำไม่ผิดป้อมนี้น่าจะเป็นหอกลองหอระฆังนะ
หนังซีรี่ส์ดังของจีน 
ตอนเย็นๆ ผู้คนบนถนนสายนี้เริ่มแน่น 
ร้านอาหารฮิปๆเปิดใหม่เต็มไปหมด

        เราเลือกที่จะมาเดินที่ถนนคนเดินหนานหลัวกู่เซียง (Nanluoguxiang) ถนนสายนี้มีความยาว 800 เมตร เริ่มจากถนนใหญ่ไปจนจรดทะเลสาบเคี่ยนไห่ (Qianhai) ถึงจะเป็นถนนคนเดินโบราณในย่านโบราณก็จริงอยู่ แต่บรรยากาศแต่ละร้านล้วนตกแต่งแบบชิคๆเก๋ๆ เป็นคาเฟ่และร้านกาแฟ เป็นร้านอาหารแนวตะวันตกสมัยใหม่ บางร้านก็ขายของทำมือแนวอาร์ตๆ ใครชอบเดินชิลดูของแนวนี้ไม่ควรพลาด การเดินทางใช้ MTR สายสีเขียว ไปลงที่สถานี Nanluoguxiang
ฝันของคนหนุ่มสาวที่นี่คือการเปิดร้านกาแฟในย่านฮิปๆ 
บางร้านขายทั้งชาและเบเกอรี่ด้วย
ถนนคนเดินหนานหลัวกู่เซียง (Nanluoguxiang)

ถนนสายนี้เต็มไปด้วยวัยรุ่นและคนวัยทำงานมาเดินกันตอนเย็นๆ 
ยกกล้องถ่ายแล้วหยุดเดินค่อนข้างยาก คนแน่นจนไหลไปตามกัน 
เดินจนสุดถนนก็จะเจอกับคลองขนาดใหญ่ 
ร้านอาหารดีๆ ราคาแพงๆก็มีบนถนนเส้นนี้
จะเห็นว่าคนเดินล้นออกมายังทะเลสาบเลย 
มื้อรองท้องง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยวยำแห้งแบบเย็น คล้ายหมี่เย็นทรงเครื่องของญี่ปุ่น

          จบจากการเดินเล่นเดินชิลแล้ว โปรแกรมต่อไปเราจะเดินจริงจังท้าลมหนาวยามค่ำคืนบ้าง การท่องเที่ยวปักกิ่งไม่ได้มีแต่โบราณสถานให้ชมกันนะสถานที่สร้างขึ้นใหม่ๆคูลๆก็มี คืนนี้เราจะพาไปเดินชมสนามกีฬารังนก หรือสนามกีฬาโอลิมปิก 2008 (Beijing Olympic Stadium) ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกประจำปี 2008 นั่นเอง การเดินทางไปนั้นไม่ยากเลย แค่ขึ้นรถไฟใต้ดินสายสีเขียว Line8 ไปโผล่ที่สถานี Olympic Sports Center แล้วเดินข้ามถนนมาก็จะเห็นว่ามีผู้คนมากมายเดินมุ่งหน้ามาที่จุดนี้กัน
อิ่มแล้วก็ลงสถานีใต้ดินเลยจ้า เดินไม่ไกลจากถนนคนเดิน 
สถานี Shichahai จะตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบด้านบนครับ
เมื่อข้ามถนนขึ้นมาจะเจอทางเดินที่เป็นลานกว้างมากๆ 
สนามกีฬารังนกแต่ดูไม่รกตาเป็นรังนกนะจ๊ะ

        พวกเขาเดินมาทำอะไรกันเหรอ เขาก็มาเดินเที่ยวเล่นเดินชมความสวยงามยามค่ำคืนที่สนามกีฬาได้ประดับไฟตกแต่งสวยงามตัดกับท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็เก็บวิวสวยๆได้ สำหรับสนามกีฬารังนก (Bird Nest Stadium) นั้นจุผู้คนได้ถึง 91000 คน ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสวิส ใช้หลักการที่โล่งโปร่งสบายในการออกแบบเพื่อให้เข้ากับฤดูร้อนของปักกิ่งซึ่งร้อนมากๆ และคงความอบอุ่นในฤดูหนาว ด้วยการประสานถักทอโครงสร้างคล้ายรังนก และคงความเป็นจีนไว้ด้วยการใช้สีแดง ถ้าจะเข้าชมข้างในต้องจ่ายค่าตั๋ว 50 หยวน เวลาเปิด 9.30-17.30 น. 
มุมด้านหน้าของสนามกีฬารังนก 
อันนี้มุมด้านข้างครับ 

มุมนี้มีของขายตอนกลางวันตกแต่งแบบดิบๆ 
ลานสเก๊ตที่นี่เข้าเล่นฟรี ขอแค่เตรียมรองเท้ามาแว้น 
ลานสเก๊ตกลางแจ้งมีให้บริการเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น
ตึก IBM ออกแบบทันสมัย 
ดูดีๆ โครงสร้างบันไดมาบรรจบกันตามโครงสร้างรังนกเลย

        นอกจากสนามกีฬารังนกแล้วที่นี่ยังมีสนามกีฬาทางน้ำที่มีการออกแบบโดดเด่น มีชื่อเรียกว่า สนามกีฬาฟองน้ำ (National Aquatic Center) (Bubble Stadium) ภายนอกออกแบบคล้ายกับติดฟองสบู่มา ซึ่งโครงสร้างทำมาจากเทฟลอน ช่วยสะท้อนแสงแดดในหน้าร้อนและเก็บพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในหน้าหนาว ภายในอาคารจึงเย็นสบายตลอดทั้งปี และถ้าได้มาเดินถ่ายรูปยามค่ำคืนก็สวยงดงามไม่แพ้สนามกีฬารังนกเลย
ยามที่ฟองสบู่เปลี่ยนสีดูงดงามยิ่งนัก 
สนามกีฬาฟองน้ำสวยงามยามค่ำคืน 
ใครจะไปคิดล่ะว่าโครงสร้างหลักของผิวด้านนอกทำมาจากเทฟลอน 
แผงแท่งนี้ไฟก็เปลี่ยนสีได้เช่นกัน 
ฉากกั้นสีแดงมีไว้ต้อนรับวันปีใหม่จีนที่ผ่านมา 
พระจันทร์เต็มดวงเคียงข้างสนามกีฬารังนก

         เดินออกไปอีกนิดจะเจอสิ่งก่อสร้างคล้ายเจดีย์เป็นโครงสูง มีชื่อรียกว่า หอคอยหลิงลอง (Ling Long Pagoda) ออกแบบมาคล้ายเจดีย์บวกกับแท่งแก้วปริซึม มีความสูง 7 ชั้น เป็นเสาส่งสัญญาณวิทยุ กลางคืนเปิดไฟไล่สีสวยงาม บริเวณชั้นตรงกลางเปิดเป็นภัตตาคารหรูให้บริการอีกด้วย ถ้าไม่ทานอาหารก็มีบริการขึ้นไปชมวิวเมืองปักกิ่งชั้นบนสุดได้  เท่านั้นยังไม่พอยังมีหอคบเพลิงโอลิมปิกสูงมากๆ อีก3หอ แต่เห็นระยะทางแล้วอยู่นอกเขตสนามกีฬาเราเดินไปไม่ไหวขอถ่ายรูปแล้วมองไกลๆดีกว่า 
ศูนย์กีฬาทางน้ำตอนนี้เปลี่ยนฟองสบู่เป็นสีม่วง 
เสาสูงนี่เปลี่ยนสีได้ทั้งหมด5สี ตามเวลาที่กำหนด มีร้านอาหารอยู่ข้างบน

หอคบเพลิงอยู่ไกลออกไปเปลี่ยนเล่นสีได้เช่นกัน 
ตึกนี้เป็นห้างที่ตั้งอยู่ในเขตสนามกีฬาปักกิ่ง

          เริ่มหิวอีกแล้วจุดมุ่งหมายต่อไปในการท่องปักกิ่งยามราตรีคือ การไปหาแหล่งช้อปปิ้งและย่านถนนคนเดินสายเปิบพิสดาร นั่นก็คือถนนหวังฟูจิง (Wang Fu Jing Street) เรานั่งรถใต้ดินกลับเข้ามาในเมืองจากสายสีเขียวแล้วมาต่อด้วยสายสีแดง โดยไปลงที่สถานี Wangfujing ความจริงแล้วถนนเส้นนี้อยู่ห่างจากจัตรัสเทียนอันเหมินไปทางทิศตะวันออกแค่สองบล็อกเอง ถ้าคุณตั้งต้นเดินจากจัตุรัสเทียนอันเหมินก็สามารถทำได้นะครับ
แม้แต่สถานีใต้ดินยังมีศิลปะสวยๆให้ชมเลย 
จุดต่อรถใต้ดินสังเกตไม่ยาก จะต่อสายไหนให้ดูเลขและสีเอา 
มาถึงแล้วสถานีหวังฟูจิง เดินขึ้นมาจะเจอห้างเลย 
ถนนหวังฟูจิง เป็นหนึ่งในแสงสียามราตรีกรุงปักกิ่ง

     ถนนหวังฟูจิง มีอายุเก่าแก่มากกว่า 700 ปี ในสมัยราชวงศ์หมิงมีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่และเปิดร้านค้าย่านนี้เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันได้กลายเป็นถนนสายช้อปปิ้งขนาดใหญ่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและร้านค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศผุดขึ้นทั้งสาย แน่นอนสนนราคาต่อชิ้นแพงกว่าบ้านเรามากจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนจีนถึงนิยมเดินทางมาช้อปปิ้งในบ้านเรา
เหล่าอาม่ารำพัดศิลปะจีน กลางย่านแบรนด์เนมหรู
อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขจริงๆ ทำไปด้วยใจรักในการแสดง 
คู่หนุ่มสาวจีนสวีทกันหลายคู่ก่อนถึงวันวาเลนไทน์ 
ห้างหรูกับการออกแบบเป็นลอนคลื่น 
ถนนหวังฟูจิงโปรยด้วยดอกกุหลาบก่อนถึงเทศกาลวาเลนไทน์
เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมตลอดทั้งสาย 
แม้ถ่ายมุมกว้างก็ยังสวยงาม 
ห้างใหญ่ Wang Fu Jing Mall 
ใครเป็นมุสลิมที่นี่มีอาหารจีนแบบมุสลิมให้ได้ลิ้มรสด้วย 
นาฬิกาแบรนด์ Hi End สัญชาติจีนแท้ๆ 
เดินจนหิวน้ำแว่บมาสั่งชานมไข่มุกกินที่นี่
ของไม่แพงก็มีขายนะครับบนถนนสายนี้ แถมเซลด้วย 
สามทุ่มแล้วได้เวลาไปเดินหาของกินกันต่อ

 แต่ในความทันสมัยของถนนหวังฟูจิงก็ยังแอบซ่อนตรอกเล็กๆ ที่ขายอาหารแบบสตรีทฟู้ดส์ ราคาไม่แพงรวมไปถึงอาหารเปิบพิสดาร พวกปลาดาว ม้าน้ำ แม่งป่อง ตะขาบ งู ฯลฯ  กรรมวิธีทำคือเอาสัตว์ตัวเป็นๆที่ยังไม่ตายเสียบไม้รอแล้วเอาลงทอดในกระทะน้ำมันท่วมให้กรอบแล้วจุ่มลงในน้ำจิ้มหมาล่าเผ็ดๆชาลิ้นที่คนไทยกำลังนิยมกินนั่นแหละ ใครทานไม่ได้ก็ยังมีพวกของกินเล่นอื่นๆ เช่น ไข่ปลาหมึก เต้าหู้ทอด เกาลัด มันเผา ขนมจากจีนมากมาย ทั้งขนมเกลียวทอด ขนมหม่าฮัว ขนมโบ ล้วนทำมาจากแป้งแล้วลงไปทอดในกระทะร้อนทั้งนั้นเลย ถ้าใครไม่ชอบทานที่นี่ยังมีขนมจำพวกของฝากให้ซื้อกลับไปบ้านอีกต่างหาก
เปิบแรกเป็นแมงป่องเสียบไม้เตรียมรอไปทอด ยังเป็นๆอยู่เลย 
ตัวอ่อนจำพวกหนอนทอด 
ถนนสายของกินแยกย่อยมาจากหวังฟู่จิง 
เนื้อแพะย่างพร้อมน้ำจิ้มหมาล่า เมนูนี้แลดูธรรมดาไปเลย 
ใครชอบกินนก ที่นี่จะทอดมาทั้งตัวเลย 
สายโหดต้องมากินนี่ ปลาดาว ปิ้งงู กับตะขาบเสียบไม้ทอด 
ใครอยากกินขาปูยักษ์ที่นี่มีนะจ๊ะ 
ปลาหมึกชุบแป้งทอดมาแบบทั้งตัว
นี่แหละหน้าตาของขนมหม่าฮัว 
อันนีัขนมหวานคล้ายข้าวเหนียวดำยัดใส่สับปะรด  
ร้านขายขนมของฝากซื้อได้ที่นี่แต่ราคาค่อนข้างแพง 
พวกของร้อนก็มีเครื่องในวัวต้ม 
ของที่ระลึกชิ้นเล็กๆก็ซื้อได้ที่นี่ 
โยเกิร์ตจีนที่นี่ราคาขวดละ10 หยวน แพงกว่าที่อื่นๆ  
เกาลัดที่นี่อบร้อนๆมาเลย สดมากและลูกโตมากๆ แนะนำให้ฟาด

กินอิ่มแล้วก็แยกย้ายกลับไปนอนกันนะจ๊ะ ตอนหน้าวันสุดท้ายในปักกิ่งขอไปบูชาเทพยดาฟ้าดินก่อนกลับกันครับ