นอนเต็มอิ่มพร้อมเปิดฮีตเตอร์ที่อุณหภูมิ 25 องศา คือความฟินมากๆ ทำให้เช้านี้เราสามารถตื่นเช้าได้ตั้งแต่หกโมงพร้อมกับความขี้เกียจตามฉบับวิถีนักแบกเป้เลยขอซักแห้งอีกวันละครับ ปะพรมน้ำหอมกลิ่นที่ชอบเยอะๆแล้วล้างหน้าทาครีมกันแดด แค่นี้ก็พร้อมออกไปผจญโลกกว้างแล้ว
รีบตื่นนะกำแพงเมืองจีนรอเราอยู่
ก่อนออกเดินทางเราได้สอบถามกับสต๊าฟโรงแรมว่าจะไปกำแพงเมืองจีนต้องต่อรถไปขึ้นที่ไหนอย่างไร
เขาแนะนำให้ไปขึ้นรถเมล์ที่ถนนแล้วไปลงที่ป้ายรถ Deshengmen (เต๋อเฉิงเหมิน) เพื่อต่อรถเมล์สาย 919
ไปลงกำแพงเมืองจีนด่านปาต้าหลิงพอดี
ระหว่างทางเราเดินผ่านร้านขายอาหารเช้าริมทางเลยอดไม่ได้ที่จะต้องแวะชิมของอร่อยๆ
ยามเช้าก่อนเดินทาง
ร้านอร่อยริมทางคนแน่นแต่เช้าเลย
ไม่ว่าจะไปทางไหนในกรุงปักกิ่งก็จะพบเห็นผู้คนใช้จักรยานเสมอ
เปิดประตูเข้าไปถามอาม่าทำอะไรขาย
ดูที่ภาพอาหารข้างฝาก็พอเข้าใจได้ชี้เลยจะเอาเกี๊ยวนึ่งหรือโมโม่ (Momo) นางชี้ไปที่ผักบอกว่ามีแต่ไส้นี้นะ ไม่เป็นไรจัดมาเหอะ
(เอาเหมือนอันนี้แหละ) นางจัดเกี๊ยวไส้ผักมาให้เรา1จาน
พร้อมน้ำซุปใสๆซึ่งจืดสนิทซดแทนน้ำเปล่าได้เลย มื้อนี้เลยสุขภาพดีในราคา 15หยวน
แถมกินไม่หมดยังต้องห่อไปกินที่ปาต้าหลิงอีกจ้ะ
นางกำลังทำโมโม่ไส้ผัก ผักที่ใช้คือต้นหอมใหญ่ซึ่งต้นงามมาก
นี่คือส่วนผสมของการทำน้ำจิ้มสูตรมะนาว
ระหว่างรอนางนึ่งโมโม่ก็จะมีน้ำซุปให้ซดไปพลางๆ หมดแล้วขอใหม่ได้
มาแล้วจ้า ชิ้นใหญ่มากๆ ทานไม่หมดห่อไปทานต่อมื้อหน้าเลย
กินเสร็จออกไปรอรถเมล์ที่ป้ายประเดี๋ยวเดียวก็วิ่งมา
อย่าลืมสเต็ปขึ้นรถแล้วแปะบัตรอี้ข่าทงที่ซื้อมาเพื่อความสะดวกสบาย เป็นบัตรจ่ายค่ารถเมล์แทนการหยอดเหรียญใส่ตู้ซึ่งต้องหยอดให้พอดีเพราะไม่มีระบบทอนตังค์ให้
รถเมล์ปักกิ่งทันสมัยติดฮีตเตอร์
มีทีวีให้ดู และที่สำคัญมีจอขึ้นให้ดูพร้อมประกาศออกเสียงว่ารถกำลังจะไปถึงป้ายไหน
ขึ้นทั้งชื่อภาษาอังกฤษและภาษาจีน พอขึ้นแล้วตาต้องคอยดูหูต้องคอยฟังว่ามันจะถึงป้าย
Deshengmen หรือยัง
ป้ายรถเมล์ยามเช้าตรู่ที่ว่างเปล่า
ถนนหนทางใจกลางกรุงปักกิ่งยามเช้าน่าขับรถเล่นยิ่งนัก
พอประกาศชื่อป้าย ต่อไปDeshengmen ขึ้นเราก็เตรียมตัวลงกันเลย รถเมล์สาย 919 มาจอดรอเราอยู่แล้ว
และมันใกล้จะออกเลยกระโจนขึ้นรถเลย รถใช้เวลาเดินทางประมาณ1ชั่วโมงเศษ
ค่าโดยสาร12หยวน ตัดบัตรอี้ข่าทงได้
ระหว่างทางรถจะวิ่งส่งคนที่กำแพงเมืองจีนด่านเจี่ยหยูกวนก่อน
เป็นด่านที่คนไม่ค่อยลงไปเที่ยวเท่าไร
เพราะกำแพงด่านนี้สูงชันมากและไม่ค่อยมีร้านค้าร้านอาหารให้ความสะดวกสบายในการเที่ยวชม
มาถึงแล้วท่าปล่อยรถสาย919 ที่ เต๋อเฉิงเหมิน
รถคันใหญ่แถวละ 5ที่นั่ง ถ้าเต็มคือยืนโหน
รถโดยสารใช้เวลา 1ชั่วโมงในการเดินทาง
ระหว่างทางรถจะแวะส่งคนที่กำแพงเมืองจีนด่านเจี่ยหยูกวนก่อน
เป็นด่านแรกที่มีคนขึ้นน้อย โล่งเชียว
ทางเดินขึ้นกำแพงเมืองจีนด่านนี้ลาดชันทีเดียว
ภูมิประเทศเริ่มแห้งแล้งบ่งบอกเลยว่าเขตนี้ฝนตกน้อย
รถเมล์พามาจอดสุดสายที่สถานีเคเบิลคาร์
เห็นราคาค่ากระเช้าขึ้นกำแพงเมืองจีนแบบขาเดียว 60 หยวน และไปกลับ 80 หยวน
โดยกระเช้าจะล่องขึ้นไปทางทิศเหนือของกำแพงเท่านั้น
คนส่วนใหญ่ที่มากับทัวร์จะได้ขึ้นกระเช้าทั้งไปและกลับ แต่บางทัวร์ก็ปล่อยให้เดินลงเองในขากลับ
หรือไม่พาขึ้นแต่พาไปตรงทางเข้าช่วงกลางแล้วปล่อยแยกย้ายนัดเวลาเท่านั้น
อันที่จริงมีบริการทัวร์รายวันด้วยนะ ขึ้นรถทัวร์แถวๆป้อมธนูเฉียนเหมิน
สถานีรถไฟใต้ดิน Qiannmen ก็มาที่นี่แบบไปกลับได้เหมือนกันในราคา 50 หยวน
รถเมล์พามาปล่อยหน้าสถานีกระเช้าฝั่งเหนือกำแพงเมืองจีนพอดี
ใครมีกำลังขาน้อยหรือมากับผู้สูงอายุ เราแนะนำให้ซื้อตั๋วกระเช้าแบบไปกลับ
ก่อนถึงทางขึ้นมีของกินจุบจิบให้พอหายอยาก
ป้ายอุทยานแห่งชาติในบริเวณพื้นที่แห่งนี้
สำหรับค่าเข้าชมกำแพงเมืองจีนด่านปาต้าหลิงในช่วงหน้าหนาวนั้นอยู่ที่
35 หยวน (พ.ย.-มี.ค.) เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 7.00-18.00 น.
ถ้าเป็นหน้าร้อนจะอยู่ที่ 45 หยวน และความเป็นมาของกำแพงเมืองจีนนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้เมื่อ
2500 ปีที่แล้ว โดยวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการรุกรานจากกองทัพมองโกลทางทิศเหนือ
กองทัพเติร์กทางทิศตะวันตก โดยตัวกำแพงมีความยาวถึง 6,350 เมตร
เริ่มต้นจากฝั่งทะเลเมืองซ่านไห่กวนเป็นหัวมังกร
สร้างยาวไปจนจรดทะเลทรายด้านตะวันตกที่เมืองตุนหวง
ว่ากันว่ากว่าจะสร้างเสร็จต้องสูญเสียแรงงานล้มตายไปจำนวนมาก
แต่ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนที่เหลือสภาพสมบูรณ์เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเหลืออยู่เพียงไม่กี่ด่านเท่านั้น
ใครอยากนอนดื่มด่ำบรรยากาศที่นี่ ต้องโรงแรมนี้เลย
ลอดซุ้มนี้ไปจะเจอจุดซื้อตั๋วเข้าชม
ตลอดสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกมากมาย
ลอดประตูกำแพงเมืองจีนแล้ว
จุดซื้อตั๋วเข้าชมคนยังไม่เยอะนักตอนสายๆ
หน้าตาของตั๋วเป็นแบบนี้เข้ากับฤดูหนาว ราคา 35 หยวน
ด้านหลังของตั๋วเข้าชม
เอาล่ะเราจะเดินขึ้นฝั่งไหนก่อนดี
จากจุดเริ่มต้นตรงกลางมีทางแยกสองทางคือ
ฝั่งเหนือกับฝั่งใต้
ถ้าเดินไปฝั่งทิศเหนือทางจะลาดชันน้อยกว่าระยะทางไกลกว่าแต่จะเจอแต่ผู้คนมากมายและคณะทัวร์เดินถือธงเต็มไปหมด
และถ้าเดินฝั่งทิศใต้ระยะทางสั้นกว่าก็จริงแต่หนทางลาดชันกว่ามากนักท่องเที่ยวก็เลยบางตาไปด้วย
เพราะทัวร์จะไม่พาลูกทัวร์เดินขึ้นฝั่งนี้ เราต้องตัดสินใจเลือกว่าเราอยากได้อะไร
อยากได้ภาพสวยๆ หรืออยากเดินเที่ยวแบบสบายๆ ในที่สุดเราก็เลือกอย่างแรกครับ
ขอเซลฟี่สักนิดก่อนขึ้นนะ
จากภาพที่มองออกไปคือกำแพงเมืองจีนฝั่งทิศเหนือ
ยอมคนที่เดินขึ้นฝั่งทิศเหนือ เยอะเกินกว่าที่จะไปเก็บภาพสวยๆได้
การเดินขึ้นกำแพงเมืองจีนฝั่งใต้มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย
นอกจากทางจะลาดชันกว่ามากแล้วยังต้องเจอแรงลมต้านจากด้านบนอีก
แถมแสงอาทิตย์ในช่วงเช้าแยงตามากๆตอนปีนขึ้น แต่ก็ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งหลากหลายวัยพยายามที่จะพิชิตกำแพงเมืองจีนฝั่งใต้
ไม่เว้นแม้แต่คณะพรีเวดดิ้งที่กล้าสลัดผ้าท้าลมหนาว
นางเปิดผ้านวมออกเพื่อถ่ายชุดสวยๆได้ไม่นานก็ต้องรีบห่มกลับคืนทันที
เดินขึ้นกำแพงเมืองจีนฝั่งใต้ลาดชันจริง ได้ภาพไม่ย้อนแสง
ทางขึ้นลาดชันคนจึงขึ้นฝั่งนี้น้อยกว่าฝั่งทิศเหนือ
ถ้าถ่ายรูปขึ้นไปด้านบนฝั่งใต้จะย้อนแสงในตอนเช้า
นับถือคู่รักคู่นี้มาก ชุดไม่ได้กันหนาวเลย
เบื้องหลังการถ่ายทำพร้อมมากๆ
ตลอดทางที่ลาดชันมีราวให้จับไว้ให้มั่น ไม่ต้องกลัว
หลายคนเหนื่อยก็ขอเกาะขอบกำแพงชมวิวไปพลางๆ ก่อน
เราเดินขึ้นตามทางไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินออกมาไกลคนก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
จนถึงจุดสิ้นสุดของทางเดินทางข้างหน้าถูกปิดห้ามเข้า ลองมองลอดเข้าไปเห็นเป็นกำแพงเมืองจีนที่ตีบและเล็กเป็นทางเดินแคบๆละเหมือนจะทำขึ้นมาใหม่ด้วย
พักให้หายเหนื่อยนิดนึงแล้วค่อยๆเดินลง
เพราะขาลงเราก็ต้องเจอกับบททดสอบที่ลาดชันเช่นกัน แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะไถลตกลงไปนะที่นี่เขามีราวให้จับช่วยพยุงเดินครับ
เว้นเสียแต่ถ้ามาแล้วเจอหิมะตกหนักจะไม่แนะนำให้ขึ้นฝั่งใต้
แสงแดดเริ่มแผดจ้าขึ้นเรื่อยๆยามใกล้เที่ยง
สังเกตดีดี มีคนมือบอนไปสลักชื่อบนกำแพงเต็มไปหมด
มองลอดช่องเบื้องหน้าคือกำแพงฝั่งทิศเหนือ
มองลอดช่องให้เห็นความสูงชันที่เราได้ไต่ขึ้นมา
จากนี้ไปอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดสิ้นสุดกำแพงฝั่งใต้
เมื่อเดินไปได้สักพักจะมีป้อมสังเกตุการณ์อยู่เรื่อยๆ
ระวัง สิ้นสุดทางเดิน End of the walkway
มองลอดรูออกไปคือกำแพงเล็กกว่าที่เราเดินมามาก
แถมด้วย CCTV แน่นหนา ใครอุตริข้ามไปคงโดนตำรวจจับแน่นอน
ระหว่างทางเดินขึ้นลงกำแพงเมืองจีนทั้งฝั่งเหนือและฝั่งใต้จะหาห้องน้ำเข้ายากหน่อย
และจะมีบันไดที่ค่อนข้างลาดชันนำลงไปสู่ห้องน้ำที่เขาสร้างไว้ให้ดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
เรารับประกันเรื่องความสะอาดตามมาตรฐานห้องน้ำจีน
พอเราลงไปถึงตรงกลางของกำแพงก็เกิดอยากเดินขึ้นไปดูทางฝั่งเหนือบ้างว่ามีอะไรน่าชม
ทำไมใครๆเขาก็เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ เราก็พบว่ามันเดินสบายกว่าจริงๆ
แต่ก็หาจุดที่ถ่ายรูปยากมากหันไปทางไหนก็เจอแต่คน
เราเดินไปถึงแค่ป้อมที่สามของกำแพงเท่านั้นแล้วเราก็เดินกลับ
หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ต้องไม่ลืมว่าเดินมาเท่าใดก็กลับไปเท่านั้น
เขตหวงห้ามคือกำแพงที่อยู่ด้านหลังป้อมกั้น
ห้องน้ำทันสมัยมีไฟแจ้งว่าห้องไหนว่างแต่กลิ่นยังคงอมตะ
เรามีเราจับมือกันเดินไปไม่หวั่น ไม่ต้องกลัวตก
กลับมาถึงจุดเริ่มต้นอีกครั้งก่อนบ่าย
กำแพงเมืองจีนฝั่งทิศเหนือเดินได้ชิลกว่ามาก
แต่ระยะทางราบก็ไกลกว่าฝั่งใต้มาก กว่าจะเดินครบทุกป้อม
เครื่องแบบทหารจีนคอยยืนอารักขาสถานที่
ป้ายระบุเวลาเปิดปิดในการซื้อตั๋ว ฤดูหนาวชั่วโมงทำการจะสั้นกว่าฤดูร้อน
ตอนนี้พลังงานหมดแล้วจ้าปาเข้าไปบ่ายสองกว่าๆ
รีบคว้าโมโม่ที่ห่อใส่ถุงมาเมื่อเช้ากินจนหมด เท่านั้นยังไม่พอ
เริ่มเบื่ออาหารปักกิ่งที่จืดชืดเลยเดินไปที่ร้าน KFC ที่อยู่ระหว่างทางกลับไปท่ารถกินอีก1เซ็ทให้หายอยาก หมดไป48 หยวนเป็นชุดไก่ทอดกับน้ำส้ม หลังจากนั้นก็ต้องชดใช้กรรมด้วยการเดินย่อยมาตามทางเพื่อขึ้นรถเมล์สาย 919
กลับไปยังท่ารถเต๋อเฉิงเหมิน
ตอนบ่ายสองมีคนเดินออกมากกว่าเดินเข้า
เราเจอตัวเป็นๆแล้วเจ้ารถไฟความเร็วสูง
ลำธารที่ไม่ได้ไหลเย็นแต่เยือกแข็ง
ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถสาย 919 ที่ป้ายรถ
ถ้ามาหน้าร้อนต้นไม้ใบหญ้าน่าจะสวยกว่านี้นะ
รถสาย919 พามาส่งที่เต๋อเฉิงเหมินยามเย็น
ตอนต่อไปว่าด้วยเรื่องของถนนคนเดินและเรื่องราวของเมืองปักกิ่งยามราตรีล้วนๆครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น