วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

One day in Muscat, Oman. Visiting Sultan Qaboos Grand Mosque เที่ยวโอมานในวันเดียวก็เฟี้ยวได้ ชมมัสยิดที่อลังการที่สุดในโอมาน

          หลายคนอาจสงสัยว่าประเทศโอมาน (Sultanate of Oman) ในดินแดนอาหรับมีอะไรน่าเที่ยว แล้วทำไมถึงต้องไป มีอะไรที่แตกต่างจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือไม่ แล้วขั้นตอนการเข้าประเทศยุ่งยากหรือไม่  คราวนี้เราจะมาไขข้อสงสัยทั้งหมดว่าการเข้าไปเที่ยวโอมานนั้นไม่ยากเลย ขอแค่ทำตามขั้นตอนเข้าเมืองก็ได้แล้ว


                ถ้าเราเลือกที่จะบินตรงจากกรุงเทพเข้ากรุงมัสกัต (Muscat) โอมานเลย ก็จะมี สายการบินโอมานแอร์ (Oman Air) ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง ตรงสู่นครมัสกัต แต่ถ้าเลือกการบินไทย เครื่องจะจอดแวะพักที่กรุงการาจีประมาณ 1ชั่วโมง ก็จะใช้เวลานานขึ้นเป็น 7ชั่วโมงเศษ บนเครื่องของสายการบินโอมานจะเสริ์ฟอาหารสองมื้อนะจ๊ะ 
อาหารอย่างดีเสิร์ฟบนสายการบินโอมานแอร์
ตั๋วเครื่องบินจากดูไบไปมัสกัต
การขอวีซ่าท่องเที่ยวประเทศโอมานทำได้สองวิธี วิธีแรกคือ เข้าไปพิมพ์แบบฟอร์มหน้าเว็บที่  http://www.rop.gov.om/ แล้วเข้าไปที่ Tourist Visa ตามหน้าเว็บนี้ https://evisa.rop.gov.om/ จนได้เอกสารออกมาแล้วนำไปยื่นที่สนามบินมัสกัตอีกที
เงินเรียลโอมาน 1 เรียล เท่ากับ 92 บาท
                อีกวิธีหนึ่งสำหรับคนที่เดินทางมาจากดูไบ ยุโรป อเมริกา สามารถเข้าไปขอ Visa on Arrival ที่สนามบินได้เลย แต่ถ้าเดินทางจากไทยก็ใช้วิธีการนี้ได้เหมือนกัน โดยมีอัตราค่าธรรมเนียมวีซ่าท่องเที่ยวอยู่ที่ 10 วัน 5 โอมานเรียล (Oman Rial)  30 วัน 20โอมานเรียล (อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 โอมานเรียล เท่ากับ 92 บาท)  ซึ่งในเคสนี้เราขอแวะเที่ยวโอมานวันนึงหลังจากกลับจากเที่ยวดูไบ แล้วแวะต่อเครื่องที่นี่ก่อนกลับกรุงเทพ  

ภายในสนามบินดูไบโอ่อ่าทันสมัย 
แล้วเราก็มาถึงร้านขายของที่ระลึกในสนามบินดูไบ 
ขนมที่นี่ลดแลกแจกแถมเยอะมาก 
ขนมหวานสไตล์อาหรับบรรจุกล่องอย่างดีให้เป็นของขวัญได้  
แบบชนิดตักขายชั่งเป็นขีดก็มี ขนมแบบนี้จะสดกว่าแบบใส่กล่อง 
อินทผาลัมสดแบบยัดไส้ขายชั่งเป็นขีด
ของที่ระลึกราคาแพงกว่าตลาดในเมืองมาก 
ตะเกียงอะลาดินเป็นไฮไลท์ของฝากที่นี่ 
จานโชว์ที่ระลึกลายสวยงาม 
ตุ๊กตาอูฐที่ระลึกสวยงาม 
แบบขนปุยให้เด็กเล่นก็มี

         เครื่องบินจากดูไบเดินทางไปมัสกัต โอมาน ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง เมื่อถึงสนามบินมัสกัต ให้ตรงไปแลกเงินโอมานก่อนแล้วเอาเงินที่แลกมาจ่ายค่าธรรมเนียม Visa on Arrival แบบ 10 วัน ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ตอบคำถามเขานิดหน่อยว่ามาเที่ยวกี่วัน แล้วเขาจะดูว่าเราเดินทางมาจากที่ไหน จากนั้นพอผ่านแล้วอิสระก็จะเป็นของเราทันที
เครื่องบินลำเล็กลงจอดที่โอมานอีกครั้ง 
เราก้าวผ่านรั้ว ตม. มาแล้ว พร้อมออกเผชิญโลกกว้างในโอมาน

       การเดินทางในโอมานยังไม่สะดวกนักเพราะไม่มีรถสาธารณะ แต่ก็มีรถแท็กซี่ให้บริการทั่วไป ราคาค่อนข้างแพง เพราะค่าครองชีพที่นี่สูงกว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เราได้ตกลงราคากับรถแท็กซี่คันนึงให้เขาพาเที่ยวแบบเหมาวัน 1วัน เขาคิดราคามาที่ 40 เรียลโอมาน ถือว่าค่อนข้างแพง แต่มาถึงที่นี่แล้วไม่ออกไปข้างนอก มัวแต่รอไฟลท์ถัดไปอยู่ในสนามบินมันก็ไม่ใช่เราสิ

ป้ายเหลืองนี่คือรถแท็กซี่ สามารถเรียกและต่อรองราคาได้

         สนามบินมัสกัตอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร การเดินทางมีวิธีเดียวคือรถแท็กซี่เท่านั้น แต่ถ้ามากันหลายคนที่นี่ก็มีรถให้เช่าขับ ราคาน้ำมันที่นี่ถูกมาก แต่ค่ารถแท็กซี่กับค่าเช่ารถกลับค่อนข้างแพง ถนนหนทางในมัสกัตค่อนข้างกว้าง รถวิ่งสบายๆไม่เยอะ ไม่ต้องเผื่อรถติด บ้านเมืองเป็นเนินสูงต่ำขึ้นลงทั้งเมืองรายล้อมด้วยภูเขาหินสีน้ำตาลขนาดใหญ่มากมาย
บ้านเมืองในโอมานค่อนข้างสะอาด 
ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงรถจะวิ่งไม่เยอะ 
ตลอดสองข้างทางมักจะปรากฏเขาหัวโล้นสีน้ำตาลขนาบข้าง
ถนนเข้านครหลวงมัสกัตช่างกว้างจริงๆ

         จุดหมายแรกที่เราได้แวะคือ มัสยิดสุลต่านคาบูส (Sultan Qaboos Grand Mosque) ตั้งอยู่ระหว่างทางเข้าเมืองหลวงมัสกัต เป็นมัสยิดที่สร้างใหม่ในปี 2001 โดยท่านสุลต่านคาบูส มีพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร ครองตำแหน่งมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโอมาน ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมสามารถเข้าชมได้แต่ต้องแต่งกายให้สุภาพมิดชิด สตรีต้องมีผ้าคลุมผม
มัสยิดสุลต่านคาบูสใหญ่โตและโอ่อ่า 
ภายนอกสร้างแบบเรียบง่ายไม่เน้นรายละเอียดอะไรมากนัก 
การเข้าชมมัสยิดจะต้องแต่งกายสุภาพและมิดชิด 
ภายในมัสยิดมีความเย็นหลบแดดร้อนได้ดีมาก
หอคอยหลักสูงกว่า 90 เมตร


        ตัวอาคารมัสยิดปูด้วยกระเบื้องแกรนิตสีชมพูอ่อน หอคอยสลักสูง 91เมตร กลุ่มอาคารชั้นในล้อมรอบด้วยลานกว้าง ภายในห้องละหมาดใหญ่สามารถจุคนได้กว่า 20,000 คน ประดับด้วยโคมไฟสวารอฟสกีขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุด และใช้พรมเปอร์เซียของอิหร่านที่มีขนาดใหญ่มากๆ  ถ้าจะเดินชมให้ทั่วมัสยิดควรมีเวลาอย่างน้อย 1ชั่วโมง และมัสยิดแห่งนี้เข้าชมฟรีนะจ๊ะ 

ภายในห้องชำระล้างสำหรับผู้ชาย จุดนี้มีไว้ล้างมือและเท้าก่อนเข้าห้องละหมาด 
ประตูไม้บานใหญ่แกะสลักสวยงาม 
ช่องใส่ของเล็กๆ กับลายกระเบื้องแบบเปอร์เซีย
ช่องประตูโค้งแบบอาหรับเรียงช่องตรงกันเสมอ 
อ่านสักนิดข้อควรปฏิบัติขณะเข้าเยี่ยมชมภายในมัสยิด 
ประตูบานใหญ่ก่อนเข้าไปละหมาดภายในห้อง
ห้องละหมาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงมัสกัต 
โคมไฟระย้าทำจากคริสตัลสวารอฟสกี น้ำหนักเป็นตันๆ 
แม้แต่โคมไฟขนาดเล็กกับกระจกสเตนกล๊าสก็ยังสวย 
กระเบื้องลายสวยๆภายในห้องละหมาด 
พรมเปอร์เซียขนาดใหญ่ต้องใช้ไม่รู้กี่ผืนมาต่อกัน
เราไปในช่วงที่ไม่ใช่เวลาละหมาด ดังนั้นในห้องจึงไม่มีคนเลย 
ได้เวลาออกไปเที่ยวสถานีต่อไปแล้ว 
อาคารสวยขนาดใหญ่นอกมัสยิดสุลต่านคาบูส 
ขอมาเก็บรายละเอียดกระเบื้องเปอร์เซียอีกครั้งนึง 
เดินออกจากมัสยิดเราก็จะเห็นเทือกเขาอยู่ไกลๆ 
ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถ ร้อนมากจ้า

        จุดหมายต่อไปคุณแท็กซี่พาไปชมมัสยิดแห่งที่สองสวยงามตามแบบฉบับอาหรับแต่มีขนาดเล็กกว่า เราเองก็จำชื่อสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ ประเทศโอมานมีกลิ่นอายความเป็นอาหรับมากกว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตึกสูงระฟ้าจึงไม่มีให้เห็นที่นี่เลย เดี๋ยวเราจะได้เข้าไปชมบ้านเมืองในเขตเมืองเก่ากัน
มัสยิดแห่งที่สองมีขนาดเล็กกว่าแห่งแรกมากๆ 
ตะวันเริ่มคล้อยบ่ายได้เวลาทานมื้อกลางวันกันแล้ว 
จุดเด่นของมัสยิดที่นี่คือจุดชำระล้างมือและเท้าอยู่ด้านนอกเลย 
ไม่ว่าจะไปทางไหนในมัสกัตจะต้องเห็นภูเขาสีน้ำตาลเสมอ
และที่สำคัญที่นี่ไม่มีตึกสูงระฟ้าให้เห็นเลย

เดี๋ยวขอพักเบรกทานอาหารเที่ยงที่นี่กันก่อนแล้วช่วงบ่ายถึงเย็น เราจะพาชมไฮไลท์เมืองมัสกัตที่เหลือ จะเป็นอะไรขออุบเอาไว้ก่อนนะจ๊ะ 





วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เที่ยวดูไบแบบประหยัด พาชม Dubai Museum แบบเจาะลึกทุกซอกทุกมุม และช้อปปิ้งของพื้นเมือง (Dubai Museum & Dubai Old Souq)

              เรากลับมาเที่ยวในเขตเมืองเก่าเมืองดูไบอีกครั้งเพื่อเก็บตกท้ายทริปของเราวันนี้ก๋อนที่จะย้ายไปเที่ยวโอมานกันต่อ เรานั่งรถออกจากชาร์จ้าห์เข้าเที่ยวดูไบ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40นาที ลงที่สถานี Al Ghubaiba อีกครั้งแล้วเดินมุ่งตรงไปยัง Dubai Museum ที่เราคลาดกันไปถึงสองครั้ง เพราะกว่าจะเที่ยวเสร็จกลับมาที่นี่ก็ปิดแล้ว 
ขาไปเราได้เดินผ่าน Grand Mosque ของเมืองดูไบด้วย 
ตรงนี้คือวังท่านชี้คของจริง และเป็นพื้นที่หวงห้าม ห้ามเข้าเด็ดขาด 
มัสยิดใหญ่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมไม่ควรเข้าไป เพราะไม่ได้เปิดให้เข้าชม

       พิพิธภัณฑ์ดูไบ Dubai Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บค่าเข้าชมถูกแสนถูก จ่ายค่าเข้าแค่คนละ 3ดีแรม หรือตกหัวละ 27บาท ก็เดินชมได้แบบเต็มอิ่ม พิพิธภัณฑ์นี้เดิมคือ ป้อมอัลฟาฮิดี (Al Fahidi Fort) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1787 สร้างขึ้นเพื่อป้องกันคนรุกรานและเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ทีหลัง ภายในได้มีการจัดแสดงวัฒนธรรมชาวอาหรับตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ กล่าวคือจัดแสดงตั้งแต่เริ่มมีคนตั้งรกราก จนเข้าสู่ยุคที่สำรวจพบน้ำมันที่นี่ ทำให้พื้นที่ที่แห้งแล้งกลายเป็นพื้นที่แห่งความมั่งคั่งและร่ำรวยขึ้นมาในพริบตา จากรุ่นสู่รุ่น  
ด้านข้างของ Dubai Museum 
ป้อมสมัยโบราณสร้างจากหินมาเรียงต่อกัน 

ป้อม Al Fahidi เก่าแก่กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ 
เรือโบราณของจริงจอดอยู่บนดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ 
เราต้องจ่ายค่าเข้าชมตรงนี้ก่อนเข้าไปชมด้านใน

            เริ่มต้นจากพื้นที่กลางแจ้งด้านนอกมีการนำเรือของจริงมาโชว์ เป็นเรือโดยสารที่ใช้ข้ามฟากไปมาระหว่างคลองขุดใจกลางเมืองดูไบ คือเรืออับรา (Abra) การจำลองกระท่อมของชาวดูไบในยุคแรก เมื่อเข้ามาด้านในมีการใช้หุ่นจำลองวิถีชีวิตชาวดูไบในยุคก่อนที่เป็นชาวเบดูอิน เริ่มตั้งแต่การหาแหล่งน้ำ การตั้งรกราก การศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่าน การงมหอยมุกในทะเล อาชีพที่สร้างรายได้ในสมัยก่อน จนเริ่มเข้าสู่ยุคของการค้นพบแหล่งขุมทรัพย์น้ำมันที่ทำให้อาหรับร่ำรวยในยุคปัจจุบัน 
เรือขุดในสมัยโบราณ 
ปืนใหญ่พร้อมลูกกระสุนในสมัยที่เป็นป้อมปราการ 
เรือโบราณที่เอาไว้โดยสารข้ามฟากในยุคก่อน 
บ้านโบราณมุงใบปาล์มในยุคก่อน

วัฒนธรรมการสูบชิชาหรือบารากุในยุคก่อน 
การเรียนการสอนศาสนาในยุคก่อน 
เครื่องแต่งกายชายและหญิงในยุคก่อน 
การทำอินทผาลัมตากแห้งในท้องถิ่น 
สมัยก่อนต้องเลี้ยงอุฐเพื่อใช้เดินทางในทะเลทราย 
นอกจากนี้ยังเลี้ยงเหยี่ยวไว้แข่งขันเป็นเกมกีฬาด้วย 
สมัยก่อนการงมหอยมุกเป็นอาชีพหลักทำเงินของคนที่นี่ 
ก่อนยุคค้นพบน้ำมันแหล่งปลาที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก 
ของที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์ราคาค่อนข้างแพง

     จบจากพิพิธภัณฑ์ดูไบเราขอพาทุกท่านมาช้อปปิ้งของที่ระลึกพื้นเมืองที่ตลาด Dubai Old Souq วันนี้เป็นวันเที่ยววันสุดท้าย เลยขอซื้อของติดไม้ติดมือฝากคนทางบ้านซะหน่อย ของฝากขึ้นชื่อของที่นี่คือตุ๊กตาอูฐหลากหลายรูปแบบ กระเป๋าผ้าปักลายอาหรับ แม่เหล็กติดตู้เย็น ผ้าคลุมไหล่สวยๆ และพลาดไม่ได้คือรองเท้าหนังอูฐซึ่งมีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง ใครอยากใส่ชุดพื้นเมืองที่นี่ก็มีให้ซื้อกลับบ้านไป เวลาต่อรองราคาแนะนำให้เดินผละออกมา แล้วคุณจะได้ราคาที่ลดลงเอง หรือไม่ก็ลองซื้อของแบบเดียวกันหลายๆชิ้นก็ได้ราคาลดแล้ว 
กลับมาที่ตลาดริมน้ำอีกครั้ง 
เรือข้ามฟากยังคงต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
แม่เหล็กติดตู้เย็นสนนราคาเริ่มต้นที่ 10ดีแรม 
กระเป๋าเล็กๆปักลายสวยงาม 6ใบ 25 ดีแรม
ตุ๊กตาอูฐขนฟูบางตัว ขนบนหัวทำจากขนอูฐจริงๆ 
รองเท้าหนังอูฐและกระเป๋าปักลายเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่  
ตลาดกลางแจ้งมีผ้าใบคลุมกันร้อน แต่ตอนที่เดินคือร้อนมาก

ก่อนกลับที่พักเรามีโอกาสได้แวะชมบ้านท่านชี้ค คาลีฟะห์ บิน ซาอิด อัล มัคตูม (House of Sheik Khalifa Bin Saeed Al Maktoum ) เป็นบ้านสร้างแบบหินทรายโบราณ มีปล่องลมระบายความร้อนแบบบ้านอาหรับทั่วไป ตกแต่งอย่างเรียบง่ายมีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย และเข้าชมฟรี แต่ก็เป็นบ้านแบบแห้งๆ ไม่มีชีวิตชีวา
มาถึงแล้วบ้านท่านชี้คสร้างด้วยหินสีแดงให้กลมกลืนกับย่าน 
บานประตูหน้าต่างไม้แกะลายสวยงาม 


                มื้อสุดท้ายก่อนลาดูไบเราไปฝากท้องที่ร้านอาหารอินเดียใกล้กับที่พัก พร้อมกับช้อปปิ้งของกินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต Lulu Hypermarket ซื้อของกินพื้นเมืองกลับไปฝากคนที่บ้าน ของกินที่นี่ราคาถูกที่สุดแล้ว พรุ่งนี้แล้วที่เราต้องออกเดินทางจากดูไบไปแวะเที่ยวโอมานก่อนกลับกทม. ที่นั่นไม่ได้เที่ยวสบายๆเหมือนที่นี่ จะยากหรือง่ายอย่างไร ต้องติดตามตอนต่อไปจ้า
วันนี้กลับมาถึงโรงแรมก่อนตะวันตกดิน เป็นวันที่เที่ยวแบบเบาๆ 
ร้านอาหารอินเดียชื่อดังใกล้กับย่านที่พัก 
ชุดเซ็ทข้าวแกงไก่ ราคา 31.5 ดีแรม 
ขนมหวานอาหรับที่เราได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน  

เพื่อนใหม่ที่พักอยู่ห้องเดียวกัน สามคนสามชาติจ้า

ตอนหน้าพาเที่ยวโอมานแบบเบาๆสบายๆ แบบ One day tour จ้า