ขาไปเราได้เดินผ่าน Grand Mosque ของเมืองดูไบด้วย
ตรงนี้คือวังท่านชี้คของจริง และเป็นพื้นที่หวงห้าม ห้ามเข้าเด็ดขาด
มัสยิดใหญ่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมไม่ควรเข้าไป เพราะไม่ได้เปิดให้เข้าชม
พิพิธภัณฑ์ดูไบ Dubai Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บค่าเข้าชมถูกแสนถูก จ่ายค่าเข้าแค่คนละ 3ดีแรม หรือตกหัวละ
27บาท ก็เดินชมได้แบบเต็มอิ่ม พิพิธภัณฑ์นี้เดิมคือ ป้อมอัลฟาฮิดี (Al Fahidi Fort) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.
1787 สร้างขึ้นเพื่อป้องกันคนรุกรานและเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ทีหลัง ภายในได้มีการจัดแสดงวัฒนธรรมชาวอาหรับตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
กล่าวคือจัดแสดงตั้งแต่เริ่มมีคนตั้งรกราก จนเข้าสู่ยุคที่สำรวจพบน้ำมันที่นี่
ทำให้พื้นที่ที่แห้งแล้งกลายเป็นพื้นที่แห่งความมั่งคั่งและร่ำรวยขึ้นมาในพริบตา
จากรุ่นสู่รุ่น
ด้านข้างของ Dubai Museum
ป้อมสมัยโบราณสร้างจากหินมาเรียงต่อกัน
ป้อม Al Fahidi เก่าแก่กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์
เรือโบราณของจริงจอดอยู่บนดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์
เราต้องจ่ายค่าเข้าชมตรงนี้ก่อนเข้าไปชมด้านใน
เริ่มต้นจากพื้นที่กลางแจ้งด้านนอกมีการนำเรือของจริงมาโชว์
เป็นเรือโดยสารที่ใช้ข้ามฟากไปมาระหว่างคลองขุดใจกลางเมืองดูไบ คือเรืออับรา (Abra) การจำลองกระท่อมของชาวดูไบในยุคแรก เมื่อเข้ามาด้านในมีการใช้หุ่นจำลองวิถีชีวิตชาวดูไบในยุคก่อนที่เป็นชาวเบดูอิน
เริ่มตั้งแต่การหาแหล่งน้ำ การตั้งรกราก การศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่าน
การงมหอยมุกในทะเล อาชีพที่สร้างรายได้ในสมัยก่อน
จนเริ่มเข้าสู่ยุคของการค้นพบแหล่งขุมทรัพย์น้ำมันที่ทำให้อาหรับร่ำรวยในยุคปัจจุบัน
เรือขุดในสมัยโบราณ
ปืนใหญ่พร้อมลูกกระสุนในสมัยที่เป็นป้อมปราการ
เรือโบราณที่เอาไว้โดยสารข้ามฟากในยุคก่อน
บ้านโบราณมุงใบปาล์มในยุคก่อน
วัฒนธรรมการสูบชิชาหรือบารากุในยุคก่อน
การเรียนการสอนศาสนาในยุคก่อน
เครื่องแต่งกายชายและหญิงในยุคก่อน
การทำอินทผาลัมตากแห้งในท้องถิ่น
สมัยก่อนต้องเลี้ยงอุฐเพื่อใช้เดินทางในทะเลทราย
นอกจากนี้ยังเลี้ยงเหยี่ยวไว้แข่งขันเป็นเกมกีฬาด้วย
สมัยก่อนการงมหอยมุกเป็นอาชีพหลักทำเงินของคนที่นี่
ก่อนยุคค้นพบน้ำมันแหล่งปลาที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก
ของที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์ราคาค่อนข้างแพง
จบจากพิพิธภัณฑ์ดูไบเราขอพาทุกท่านมาช้อปปิ้งของที่ระลึกพื้นเมืองที่ตลาด
Dubai Old Souq วันนี้เป็นวันเที่ยววันสุดท้าย
เลยขอซื้อของติดไม้ติดมือฝากคนทางบ้านซะหน่อย
ของฝากขึ้นชื่อของที่นี่คือตุ๊กตาอูฐหลากหลายรูปแบบ กระเป๋าผ้าปักลายอาหรับ
แม่เหล็กติดตู้เย็น ผ้าคลุมไหล่สวยๆ
และพลาดไม่ได้คือรองเท้าหนังอูฐซึ่งมีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง
ใครอยากใส่ชุดพื้นเมืองที่นี่ก็มีให้ซื้อกลับบ้านไป เวลาต่อรองราคาแนะนำให้เดินผละออกมา
แล้วคุณจะได้ราคาที่ลดลงเอง
หรือไม่ก็ลองซื้อของแบบเดียวกันหลายๆชิ้นก็ได้ราคาลดแล้ว
กลับมาที่ตลาดริมน้ำอีกครั้ง
เรือข้ามฟากยังคงต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
แม่เหล็กติดตู้เย็นสนนราคาเริ่มต้นที่ 10ดีแรม
กระเป๋าเล็กๆปักลายสวยงาม 6ใบ 25 ดีแรม
ตุ๊กตาอูฐขนฟูบางตัว ขนบนหัวทำจากขนอูฐจริงๆ
รองเท้าหนังอูฐและกระเป๋าปักลายเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่
ตลาดกลางแจ้งมีผ้าใบคลุมกันร้อน แต่ตอนที่เดินคือร้อนมาก
ก่อนกลับที่พักเรามีโอกาสได้แวะชมบ้านท่านชี้ค
คาลีฟะห์ บิน ซาอิด อัล มัคตูม (House
of Sheik Khalifa Bin Saeed Al Maktoum ) เป็นบ้านสร้างแบบหินทรายโบราณ
มีปล่องลมระบายความร้อนแบบบ้านอาหรับทั่วไป ตกแต่งอย่างเรียบง่ายมีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย
และเข้าชมฟรี แต่ก็เป็นบ้านแบบแห้งๆ ไม่มีชีวิตชีวา
มาถึงแล้วบ้านท่านชี้คสร้างด้วยหินสีแดงให้กลมกลืนกับย่าน
บานประตูหน้าต่างไม้แกะลายสวยงาม
มื้อสุดท้ายก่อนลาดูไบเราไปฝากท้องที่ร้านอาหารอินเดียใกล้กับที่พัก
พร้อมกับช้อปปิ้งของกินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต Lulu Hypermarket ซื้อของกินพื้นเมืองกลับไปฝากคนที่บ้าน
ของกินที่นี่ราคาถูกที่สุดแล้ว พรุ่งนี้แล้วที่เราต้องออกเดินทางจากดูไบไปแวะเที่ยวโอมานก่อนกลับกทม.
ที่นั่นไม่ได้เที่ยวสบายๆเหมือนที่นี่ จะยากหรือง่ายอย่างไร ต้องติดตามตอนต่อไปจ้า
วันนี้กลับมาถึงโรงแรมก่อนตะวันตกดิน เป็นวันที่เที่ยวแบบเบาๆ
ร้านอาหารอินเดียชื่อดังใกล้กับย่านที่พัก
ชุดเซ็ทข้าวแกงไก่ ราคา 31.5 ดีแรม
ขนมหวานอาหรับที่เราได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน
เพื่อนใหม่ที่พักอยู่ห้องเดียวกัน สามคนสามชาติจ้า
ตอนหน้าพาเที่ยวโอมานแบบเบาๆสบายๆ แบบ One day tour จ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น