วันสุดท้ายก่อนจากเมืองหลวงพระบางอันเป็นที่รักไป
ยังเหลือร้านอาหารที่ไม่ได้กินเยอะมาก อีกหลายที่เราก็ยังไม่ได้ไป
แต่ไม่เป็นไรเราสองคนจะเก็บเท่าที่ทำได้ละกัน เราแวะไปเก็บภาพมุมสูงของสะพานไม้ไผ่
จากวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับที่พักของเรา นั่นคือวัดสีพุดทะบาท ทิพพาราม
เป็นวัดขนาดเล็กตั้งอยู่บนเนินเขาเดียวกับพระธาตุพูสีนั่นแหละ
วัดขนาดเล็กๆบนเนินเขา
มีคนนำข้าวเหนียวที่ปั้นแล้วมาวางไว้เพื่อทำบุญด้วย
สะพานไม้ไผ่จากมุมสูง
เมื่อแม่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นางบอกว่ายังหาซื้อผ้าซิ่นแจกได้ไม่ครบเลย ยังเหลือตลาดพื้นเมืองอีกแห่งหนึ่งที่เราสองคนยังไม่ได้ไปกัน
ตลาดดาลา (Dara Market) ตลาดแห่งนี้มีของทุกอย่างขายสำหรับคนหลวงพระบาง
มีตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้อื่นๆ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ไม้แกะสลัก
เครื่องเงินรวมไปถึงร้านขายคำ หรือทองคำนั่นเอง
ตลาดอยู่ไม่ไกลจากที่พักนั่งรถสามล้อไปได้ในราคา 20000กีบ
โดยตัวตลาดตั้งอยู่บนหัวมุมถนนเสดถาทิลาดตัดกับถนนเจ้าสีสุพัน เวลาทำการ
8.00-19.30 น.
นั่งรถสามล้อแบบชิลๆตามประสาแม่ลูก
มาถึงแล้ว ด้านซ้ายคือตลาดดาลา
เป็นตลาดแบบพื้นบ้านที่ชาวเมืองหลวงพระบางมาเดินกัน
แม่ฉันเดินชมแม่ค้าทำดอกไม้บูชาพระ
ร้านขายพานแกะสลักและงานไม้
ส่วนแม่ฉันยังคงเลือกผ้าซิ่นอย่างสนุกเชียว
ข้าวของในตลาดดาลาราคาถูกกว่าตลาดมืด
เพราะเป็นสินค้าที่จำหน่ายให้กับคนเมืองหลวงพระบางจริงๆ
โดยเฉพาะผ้าซิ่นที่นี่ราคาจะถูกกว่าตลาดบ้านผานมและตลาดมืด
แต่ลวดลายจะธรรมดาไม่ได้สวยมากนัก
ของที่สวยถูกใจแม่ฉันเห็นจะเป็นคำหรือทองคำเสียมากกว่า
คนลาวที่นี่เขาก็นิยมซื้อทองเก็บไม่ต่างกับคนไทยเลย
ต่างหูสไตล์พื้นเมืองโบราณทอง99.99
ต่างหูแบบร่วมสมัย
ร้านขายคำที่นี่จะขายชั่งน้ำหนักเป็นกรัมเป็นสลึงเหมือนบ้านเรา
มีให้เลือกตั้งแต่คำฝรั่ง หรือทอง18K คำ90% คำ99.9
สีของทองจะออกสีอมส้ม ซึ่งเป็นสีเฉพาะของที่นี่ ไม่ได้เหลืองแบบบ้านเรา
ถ้าซื้อมาแล้วอาจต้องทำใจเรื่องราคาขายต่อ
ถ้าชอบลวดลายเฉพาะของหลวงพระบางก็ไม่เป็นไร และร้านขายคำที่นี่รับแต่เงินสดนะจ๊ะ
คำฝรั่ง ดีไซน์งานจะเรียบๆไม่หวือหวา
คำ 99.9 จะมีลวดลายที่อลังการกว่ามาก
ความสุขของแม่ฉันเมื่อได้ชมคำของลาว
กระเป๋าแบรนด์เนมมือสองมาตั้งขายอยู่ในร้านทองเสียนี่
เสร็จจากการช้อปปิ้งที่ตลาดดาลา
เราสองแม่ลูกได้นั่งรถไปลองลิ้มชิมรสที่ร้านตำหมากหุ่งนางติมกันต่อ ค่ารถ
20000 กีบเป็นราคามาตรฐาน ตัวร้านอยู่ตรงข้ามกับวัดหนองสีคูนเมือง มีโต๊ะข้างในร้านเยอะและมีเพิงส้มตำอยู่ข้างนอก
ราคาย่อมเยาไม่แพงเกินไป เมนูชวนชิมคือตำหลวงพระบางแท้ๆ
ที่ฝานมะละกอแบบเส้นแบนใส่ทั้งปลาร้าและกะปิแซ่บนัวมาก แหนมทอด ซี่โครงหมูทอด
ที่สำคัญส้มตำร้านนี้รสชาติค่อนข้างเผ็ดจัดจ้านกว่าส้มตำในลาวทั่วไป
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเกือบทั้งร้านมีแต่คนไทยมานั่งกิน
ถ้ามาช่วงเที่ยงอาจต้องรอนานเป็นชั่วโมง
แต่รับรองได้ว่าร้านนี้แหละอร่อยที่สุดในหลวงพระบางจ้า
มาถึงแล้วร้านตำหมากหุ่งในตำนาน เปิดมานาน10ปี
ชื่อก็บอกอยู่แล้วไงว่าขายส้มตำเป็นหลัก
ร้านส้มตำตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดหนองสีคูณเมือง
แม่ฉันหิวมากเพราะรอนาน พอของมาปุ๊บ นางจกข้าวเหนียวทันที
เราสั่งตำปลาร้า แหนมทอดและซี่โครงทอด
โฉมหน้านางติม เจ้าของร้านตำเองคนเดียวทั้งร้านค่ะ
สาวน้อยโชว์จานตำซั่วที่คนไทยอีกโต๊ะนึงสั่ง
ค่าเสียหายมื้อนี้ทั้งหมด ไม่แพงเลยจ้า
เราสองคนปิดท้ายมื้อบ่ายด้วยส้มตำก่อนที่จะต้องกลับที่พักไปเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางไปสนามบินหลวงพระบาง
วันหยุดพักผ่อนอันแสนสั้นกำลังจะหมดไป ขอพูดตรงๆจากใจเลยว่าเมืองหลวงพระบางนั้นเที่ยวง่ายสบายกระเป๋า
เที่ยวได้ทั้งครอบครัว ใครเดินไม่ไหวก็เหมารถได้ ยิ่งบินกับบางกอกแอร์นะ
อาหารอร่อยตั้งแต่ที่เล้าจน์สนามบินยันบนเครื่องเลย
เราก็อยากแชร์ประสบการณ์ดีดีที่ได้รับจากทริปหลวงพระบางในครั้งนี้
แล้วทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนขออุบไว้ก่อนนะ
ระหว่างทางเดินผ่านโรงแรมสันติวิลล่าด้วย
แม่ฉันเลือกซื้อกระเป๋าผ้าลายสวยก่อนกลับ
ทริปนี้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ระหว่างการเดินทางอีกแล้ว
ถึงสนามบินหลวงพระบางแล้วจ้า ได้เวลากลับบ้านกัน
แม่ฉันกำลังอร่อยกับเค้กบราวนี่ที่เล้าจน์
เห็ดทอดกรอบสมุนไพรที่นี่ก็อร่อยมาก
ได้เวลาเตรียมตัวขึ้นเครื่องกันแล้ว
ถึงเวลาที่จะจากลาเธอแล้วล่ะ หลวงพระบาง
เครื่องบินลำน้อยของเรามาเทียบท่าแล้วจ้า
ความนุ่มสบายของเที่ยวบินพร้อมกับอาหารมื้อโปรด
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงกรุงเทพเมืองฟ้าในยามราตรี
ตอนนี้เราติดค้างทุกคนอีกหลายทริปเลยล่ะ ตั้งแต่ทริปมะนิลาในวันฟ้าใส ทริปบาหลีสุขใจที่มีเธอ และทริปเที่ยวเมืองมัณฑ์คันกับเพื่อนยกก๊วน แต่จะทยอยคลอดออกมาพร้อมแบ่งปันทริปดีดีกับทุกท่านจ้า