วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่16 ลาแล้วมะนิลา และแผ่นดินฟิลิปปินส์

                   เราเดินซื้อของจนถือสองมือแทบไม่ไหว แล้วเราจะกลับรถเมล์ได้ไหม นิสัยติดสบายเริ่มกลับมาอีกครั้ง เราจะต้องกลับที่พักไปอาบน้ำและจัดกระเป๋าเดินทางเตรียมขึ้นเครื่องอีกนี่ หากเรียกแท็กซี่กลับที่พักได้คงดี เราโบกแท็กซี่คันหนึ่งบอกว่าไปย่านปารานันย่า เค้าไม่ยอมกดมิเตอร์ เราเลยไม่ขึ้น คันต่อไปก็ไม่กดมิเตอร์อีก คันแล้วคันเล่า เป็นไปตามคำเตือนของคนที่เคยมาเที่ยวว่าให้ระวังแท็กซี่โกงค่าโดยสาร คันสุดท้ายเสนอราคาแบบไม่กดมิเตอร์มาที่120เปโซ ไม่มีเวลามากนักก็ต้องขึ้นรถไป ระหว่างทางแท็กซี่ชวนคุยและบอกว่าจะพาไปเที่ยวผู้หญิง ตรงตามตำราแท็กซี่มหาภัย ให้ระวังถูกแบล็คเมล์ และระวังเรื่องค้าประเวณีเด็กเพราะนี่คือประเทศของเค้ามิใช่ของเรา เราปฏิเสธไปโดยอ้างว่าจะขึ้นเครื่องภายในสามชั่วโมงนี้ ไม่ทันหรอก
 แสงสุดท้ายของวันเดินทางกลับเมืองไทย
 ถนนข้างคลองน้ำครำใกล้กับที่พัก ในวันอาทิตย์นั้นถนนโล่งดี
คุณพ่อวัยกระเตาะจูงลูกสาว มีให้เห็นทั่วไปที่นี่

                   เรากลับมาทันแสงสุดท้ายของวันนี้ ตะวันตกดินริมถนน Roxas ช่างงดงามยิ่ง วันสุดท้ายแล้วขอไปแชะภาพย่านสลัมและดงน้ำครำเสียหน่อย โดยที่ไม่ได้เกรงกลัวอันตรายสักนิด ถ่ายภาพบริเวณสะพานข้ามคลองน้ำครำและบ้านเรือนแถวนั้น แต่ถ่ายได้ไม่นานหรอกความรู้สึกของเรามันบอกว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องการกระทำของเราอยู่ ก่อนที่กล้องและหน่วยบันทึกความจำจะหายไปจึงต้องซ่อนไว้อย่างมิดชิดในเป้ของเรา  เราไปทานข้าวที่ร้าน Mario Restaurant  ถ่ายรูปตู้กับข้าวใบใหญ่หน้าร้าน เมนูอาหารวันนี้มีทั้ง หมูย่าง (Lechon) เห็นขนาดชิ้นแล้วตกใจมากใหญ่กว่าหมูกรอบบ้านเราอีก ถั่วผัดหมู หูหมูผัดพริก เครื่องในหมูผัดพริก (Bophis) ไก่ทอด ปลาชุบแป้งทอด ผัดฟักทองใส่กะทิ ฯลฯ วันนี้เราสั่งผัดถั่วฝักยาวกับเครื่องในหมูผัดพริกมากินกับข้าว เจ้าของร้านคงเห็นเรากินเผ็ดมาหลายครั้งเลยถามว่าคุณเป็นคนที่ไหนกันแน่ เราตอบว่าคนไทย เพราะคนไทยกินเผ็ด เค้าพอเข้าใจและบอกว่าปกติเมนูหูหมูผัดพริกกับเครื่องในหมูผัดพริกจะเผ็ดมาก คนที่นี่เค้าจะไม่ค่อยกินกัน แต่ทำไมคุณกินเปล่าๆได้โดยที่ไม่มีข้าวสักนิด เราบอกว่ากับข้าวในเมืองไทยรสเผ็ดกว่านี้เยอะ แสดงว่าคนที่นี่ไม่ทานเผ็ดกันเลยใช่ไหม แล้วเค้าก็หัวเราะ คิดเงินค่าเสียหายวันนี้เพียง68เปโซ
อาหารฟิลิปปินส์มื้อสุดท้ายผัดถั่วกับผัดเครื่องในหมู (Bophis)
 ถึงแม้ว่าร้านจะอยู่ติดกับคลองน้ำครำ แต่ก็มีลูกค้าแวะเวียนไม่ขาด
เมนูอาหารวันนี้มีหมูย่าง ผัดเผ็ดเครื่องในหมู ผัดเผ็ดหูหมู ผัดถั่ว ไก่ทอด ปลาทอด

                เราเดินออกจากร้านอาหารก็จะผ่านแผงขายไข่ปิ้ง ไส้กรอกทอด ไข่ข้าว ฯลฯ วันนี้ของกินเยอะมาก มีตลาดเสื้อผ้ามือสองมาวางใส่กระบะด้วย คนแย่งรุมซื้อกันใหญ่ ก็เสื้อชิ้นละ20-40เปโซเองนี่ กางเกง80เปโซ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านแถวนั้น เราเดินผ่านสนามบาสเล็กๆในชุมชน วันนี้คึกคัก เด็กๆเล่นบาสเต็มไปหมด ระหว่างทางมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งแบกกระเป๋ามาถามทางเป็นภาษาตากาล็อก เราก็ส่ายหัวสิ ไม่ใช่นะเราคนต่างชาติ มิใช่ฟิลิปิโน เค้าหัวเราะกลิ้งเลยคงจะหน้าแตก แล้วเราก็กลับมาอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องพักพร้อมจัดกระเป๋าใหม่ทั้งหมด เห็นทีขากลับเราจะได้ใช้บริการโหลดกระเป๋าเข้าใต้ท้องเครื่องเป็นแน่ เพราะกระเป๋าเราคลอดลูกใหม่ออกมาอีกใบหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยผลไม้สด มะม่วงและมะละกออบแห้ง และงานฝีมือจำนวนหนึ่ง  เวลาเกือบทุ่มได้เวลาล้อหมุนแล้ว เราเดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าสถานีบริการน้ำมัน คันนี้ขอยกย่องให้เป็นพลเมืองดีเลย ทำไมเราไม่เจอเค้าตั้งแต่วันแรกนะ เค้ากดมิเตอร์เริ่มต้นที่50เปโซเอง แล้วเค้าก็ชวนคุยต่างๆนานา ไม่หงุดหงิด รถวิ่งมาติดไฟแดงบริเวณสลัมใกล้สนามบิน มีเด็กมอมแมมมาเคาะกระจกขอตังค์ เค้ารีบกดเซ็นทรัลล็อคทันที แล้วก็มีกลุ่มเด็กมารุมล้อมรถ มาคอยเช็ดกระจกบ้าง ขายพวงกุญแจบ้าง ขายผ้าป่านบ้าง พอไฟเขียวโชเฟอร์เลยเร่งเครื่องอย่างเร็ว เราโล่งใจเนื่องจากว่าทนดูพวกเด็กเหล่านี้ถูกใช้แรงงานไม่ค่อยได้

             รถมาจอดที่สนามบินนินอยอาคีโน่ อาคาร3 ในราคาเพียง70เปโซเท่านั้นจากที่พัก ที่นี่ยามเค้าจะสั่งให้รถทุกคันเปิดท้ายเพื่อตรวจค้นวัตถุระเบิดก่อนเข้าสนามบิน  พอเดินเข้าเขตสนามบินมา สัญญาณมือถือและอินเตอร์เน็ตเริ่มใช้ได้ที่นี่ เราต้องเสียค่าธรรมเนียมโหลดกระเป๋าเพิ่มเป็นเงิน    และยังต้องเสียค่าภาษีสนามบินต่างหากอีกประมาณ        แล้วถึงจะเข้าไปข้างในได้ ภายในร้านค้าปลอดภาษีขาออกมีร้านค้าอยู่แค่ไม่กี่ร้านก็จริง หากทว่าราคาน้ำหอมแต่ละรุ่นนั้นคิดเป็นเงินดอลล่าร์แล้วตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งด้วย เมื่อเทียบราคากับฝั่งไทยแล้วที่นี่จึงราคาถูกกว่าพอสมควร ไม่ได้แล้วต้องสอยติดไม้ติดมือไปขายบ้าง ช็อคโกแลตก็ขายเป็นแพ็กใหญ่และจัดโปรโมชั่น งานฝีมือก็มีติดแต่ว่าราคาค่อนข้างแพง เราเลือกซื้อจนเป็นที่พอใจแล้วเราก็ขึ้นเครื่องตอนสามทุ่ม

 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นภาษาตากาล็อกกับนิตยสารชั้นนำระดับไฮโซของที่นี่
 ผ้าเช็ดหน้าแบบปัก เอกลักษณ์ของงานฝีมือฟิลิปปินส์
 พัดสไตล์สเปนที่ชาวฟิลิปปินส์พกไว้ยามร้อนแบบไม่จำกัดเพศและวัย
ช็อคโกแลตท้องถิ่นในราคาเพียง50เปโซ ใส่ถั่วเยอะหน่อย

                 คนที่นั่งติดกับเราเป็นคู่หนุ่มและสาวชาวปินอย พวกเขาแปลกใจยามที่เราควักพาสปอร์ตมาเขียนบัตรเข้าเมืองประเทศไทย เค้าทักทันที อ้าวไม่ใช่ฟิลิปิโนหรอกรึ  เค้าบอกว่าทำไมหน้าเหมือนคนประเทศเค้าจัง ทั้งคู่ยังไม่เคยมาเมืองไทย ฝ่ายชายกำลังจะไปสัมภาษณ์งานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชลบุรี เลยวางแผนว่าจะไปเที่ยวพัทยากัน ฝ่ายหญิงเลยขอติดตามฝ่ายชายไปด้วยโดยเที่ยวสัก4วันแล้วค่อยกลับไปทำงาน ส่วนฝ่ายชายปักหลักอยู่ยาว เราเลยแนะว่าระวังเหอะหน้าตาแบบนี้เข้าเมืองไทยคนเค้าก็จะทักพวกคุณเป็นภาษาไทยเช่นกัน เพราะหน้าตากลมกลืนไม่แตกต่างกันเลย จากนั้นเราก็สนทนากันยาวตลอดสามชั่วโมงที่บินกลับไม่ได้หลับ จนบางครั้งเราอาจคุยกันเสียงดังไปนิดจนคนข้างหลังรำคาญบ้าง พวกเค้าจะคอยถามวิธีปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในเมืองไทย ส่วนเราก็จะเล่าความประทับใจที่ได้พบเจอในการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ตลอดสี่วันนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่เราก็มีความสุขมากๆ จนล้อเครื่องบินแตะพื้นสุวรรณภูมิ พวกเราก็ยังคุยกันไม่จบ แล้วพบกันอีกนะฟิลิปปินส์ คราวหน้าเราอยากจะแบกเป้ไปเที่ยวเกาะเซบู (Cebu City) และเมืองอารายธรรมตอนเหนือเมืองวีแกน (Vigan) หวังว่าเราจะมีเวลาท่องเที่ยวมากกว่าเดิม




วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่15 พิพิธภัณฑ์ใจกลางห้าง Ayala Meseum พร้อมพาชมห้างหรูใจกลางเมืองมากาติ (Makati City)

                ผลจากฤทธิ์ยาเมื่อคืนทำให้เราตื่นมาอีกทีเกือบเก้าโมง เรามาเที่ยวไม่เคยตื่นสายเช่นนี้มาก่อนเลย มาเที่ยวฟิลิปปินส์คราวนี้เดี๋ยวมันจะกลายเป็นทริปขี้เกียจไปเสียนี่ ไม่ได้การแล้วต้องเด้งตัวจากที่นอนอย่างฉับพลัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ฟิลิปปินส์แล้วนี่ เราต้องเดินทางกลับในคืนนี้  เรางัวเงียจะเดินไปสั่งอาหารเช้าที่ล็อบบี้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ วันอาทิตย์ครัวเราปิดค่ะ ไม่ทำงาน แม่ครัวไปโบสถ์แล้วค่ะ เสียงใสเจื้อยแจ้วของสาวต้อนรับบอกให้เราไปทานมื้อเช้าที่อื่น ลืมไปว่าวันอาทิตย์ชาวคริสต์ทุกคนต้องเข้าโบสถ์ไปสวดมนต์ซึ่งคนที่นี่ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเสมอมา

มาม่าหน้าสถานีบริการน้ำมันเป็นที่พึ่งยามยาก

                เราเดินออกไปทานอาหารง่ายๆแถวใกล้ที่พัก ตรงปั๊มน้ำมันติดกับที่พักเห็นคนขับแท็กซี่นั่งทานอะไรอยู่ พอเข้าไปดูใกล้ๆ ร้านนี้เค้าขายมาม่าทานกับข้าวสวย ในราคาเพียง25เปโซ  แต่เราไม่ค่อยหิวเลยสั่งแค่มาม่าอย่างเดียวราคาเพียง15เปโซเท่านั้น ที่นี่มีหนังสือพิมพ์ให้บริการแต่เราอ่านไม่ออกเป็นภาษาตากาล็อกล้วนๆ สุดท้ายก็ต้องยกให้เจ้าถิ่นอ่านไป
เวลาเหลือ1วันเต็มๆแบบนี้น่าจะไปถ่ายรูปซ่อมตามเขตเมืองเก่าแต่ก็ไม่เอา ด้วยเกรงว่าไข้หวัดแดดจะหวนกลับมาอีก เลยว่าไปหาที่เย็นๆเดินดีกว่า เรายังไม่ได้ซื้อของฝากคนที่ทำงานกับที่บ้านเลยแวะเข้าห้างเสียหน่อยคงดี เราเดินไปรอรถที่เดิมวันนี้ทั้งรถและคนบนท้องถนนดูบางตาเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงกรุงเทพฯวันอาทิตย์ วันนี้เราไม่อยากนั่งจี๊บนี่ย์แล้ว อยากนั่งรถมีแอร์เลยต้องรอรถเมล์แอร์ที่มีป้ายว่าไปมากาติ ต้องสังเกตให้ดีจนรถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาเขียนว่าไป LRT Ayala มันคงต้องผ่านหน้าห้างอยาล่าแน่ๆ เราโบกให้รถจอดแล้วตรงขึ้นไปถามกระเป๋ารถ เค้าตอบว่าไป ที่นั่งบนรถโล่งมากดังนั้นรถคันนี้จึงจอดแช่ป้าย กระเป๋ารถถือป้ายเส้นทางที่รถผ่านไปป่าวประกาศข้างล่างเพื่อเชิญชวนให้คนขึ้นมาเต็มรถ ทำเหมือนพวกคิวรถตู้บ้านเราเลยที่เต็มออก เต็มออก


ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าคนเนืองแน่นริมถนน
กระเป๋ารถออกมายืนเรียกคนขึ้นรถเมล์ให้เต็ม
                    
 รถจี๊ปนี่ย์ที่นี่จะไม่ค่อยจอดชิดขอบถนนสักเท่าไหร่ เป็นตัวการทำให้รถติด
บรรยากาศยามสายของวันอาทิตย์ที่คนไม่จอแจนัก

              รถเมล์แล่นผ่านแต่ละจุดอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อนและจอดแช่ป้ายนานๆ เราเสียค่าโดยสารเพียง15เปโซ บรรยากาศร้านรวงเงียบเหงาปิดเป็นส่วนใหญ่ รถใช้เวลาวิ่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงหน้าห้างใหญ่บริเวณนั้นที่เรียกว่า Ayala Center  และแล้วเราก็กลับคืนสู่ความเจริญอีกครั้งหนึ่ง ถนนหนทางเริ่มใกล้เคียงกับสิงคโปร์ ย่านห้างอยาล่าเซ็นเตอร์ อยู่ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ AyalaLand กลุ่มนี้น่าจะรวยล้นฟ้าซึ่งมาทราบภายหลังว่าตระกูลนี้เป็นคนสเปนและลูกครึ่งสเปนผสมกับชาวปินอย วันนี้เราจะเดินให้ครบทุกห้างทั้ง Greenbelt,  Glorietta และจะแวะชม Ayala Museum หลังจากที่วันนั้นได้เดินห้าง SM Makati และ Rustan รียบร้อยแล้ว ใกล้เที่ยงคนเริ่มเดินเข้าห้างมากขึ้นเรื่อยๆ คงทำธุระที่โบสถ์เสร็จแล้ว ต้องรีบไปหาอะไรทานก่อนที่คนจะแน่น เราลงไปที่ศูนย์อาหารชั้นใต้ดินของห้างไปอุดหนุนจอยลี่บีเจ้าเก่า เรากินไก่ทอด เฟรนซ์ฟรายด์และมันบด เป็นชุดเซ็ตใหญ่ในราคา 110เปโซ พออิ่มท้องแล้วก็ต้องเดินย่อยกันต่อ

ถนนหนทางย่านมากาติที่ดูสะอาดตาจนนึกไปว่าอยู่สิงคโปร์เสียอีก
 The Penninsula Hotel Manila
 นี่ก็โรงแรมระดับห้าดาวย่านมากาติ
 ทางลอดข้ามถนนมีทั่วไปในย่านหรูใจกลางเมือง
ถนนบางส่วนก็มีการปรับปรุง นำป้ายมาติดอย่างเรียบร้อย

                เราแวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์อายาล่า (Ayala Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่เก็บค่าเข้าชมค่อนข้างสูง คนในประเทศเก็บ 225เปโซ ชาวต่างชาติเก็บ450เปโซ พอเราเดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานจัดแจงฉีกตั๋วราคา 225เปโซให้ทันทีเลย เราเลยรีบจ่ายเงินแล้วก็เดินเข้าไปโดยข้างในห้ามถ่ายภาพ เราต้องฝากกล้องไว้ที่เคาน์เตอร์ พนักงานไม่เอะใจเลยสักนิดว่าเป็นชาวต่างชาติและเขาก็คุยกับเราเป็นภาษาอังกฤษด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็นห้องๆ โซนแรกจะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของประเทศฟิลิปปินส์ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคปัจจุบัน และห้องการเมืองการปกครองมีทำเนียบประธานาธิบดีในยุคสมัยต่างๆ ห้องเครื่องเงินเครื่องทองและถ้วยชามโบราณ ห้องเครื่องแต่งกายประจำชาติ ฯลฯ จากเดิมที่เราเคยชมพิพิธภัณฑ์ชาวเอเชียในสิงคโปร์แล้ว พอมาชมที่นี่เลยใช้เวลาเดินดูไม่มากนักแต่ก็ปาเข้าไป2ชั่วโมง
 Ayala Museum พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ฟิลิปปินส์ที่ดำเนินการโดยเอกชน
อาคารห้างร้านค้าแบรนด์เนมที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์

                เวลายังมีอีกมากมายเดินแวะชมบูติกแบรนด์ดังในห้าง Greenbelt1-5 ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารพลาซ่าสร้างเป็นอาคารสูง4ชั้น เป็นกลุ่มประมาณ5อาคาร แต่ละอาคารเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินแบบระเบียงคล้ายกับ La Villa และตลาดบองมาเช่ในกรุงเทพฯ เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากกว่าเป็นห้างสรรพสินค้า มีร้านอาหารแบบหรูๆ ราคาแพงมากมายตั้งอยู่ชั้นล่างในบรรยากาศนั่งทานสบายๆ บูติคแบรนด์เนมที่ราคาแพงมากๆ พวกกลุ่มห้างเพชรและนาฬิกา และกระเป๋าบางแบรนด์ถึงกับจ้างยามถือปืนมายืนอารักขาหน้าร้านและคอยเปิดปิดประตูให้ลูกค้า การรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวดกว่าห้างแบรนด์เนมในกรุงเทพฯมากๆ  บูติคบางแบรนด์ติดป้ายลดราคา แต่เชื่อหรือไม่ราคาข้าวของที่นี่ตั้งแพงกว่าในเมืองไทยประมาณ20% แม่เจ้าและไม่มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่นักท่องเที่ยวด้วย ถึงจุดนี้จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนฟิลิปปินส์ถึงชอบบินมาช้อปปิ้งที่สิงคโปร์และฮ่องกง ก็เพราะราคามันต่างกันลิบลับและได้สิทธิ์ในการคืนภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวนั่นเอง

 ลานพักผ่อนหย่อนใจกลางลานห้าง Greenbelt
 Swatch Group ก็มีแอดโฆษณาที่ดึงดูดใจได้ไม่เลว
 Paul Smith ก็มีลดราคาที่นี่ และมีโฆษณานิตยสารชั้นนำระดับไฮโซของเมืองนี้
ลานพักผ่อนหน้าห้างGreenbelt โปรดสังเกตบูติค LV อยู่ชั้นบน

                เราเดินชมข้าวของราคาแพงจนเย็นเลยออกมานั่งพักผ่อนที่ลานใจกลางห้าง ซึ่งจัดเป็นสวนเล็กๆน่ารักๆ มีโฆษณาสินค้าแบบแปลกตามาประดับตกแต่ง ลานใจกลางห้างมีโบสถ์เล็กๆ ชื่อว่า Ayala Chapel เป็นโบสถ์ของห้างAyala มีบาทหลวงทำพิธีกรรมประจำที่นี่ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ผู้คนที่มาเดินห้างต่างแวะเข้ามาสวดที่โบสถ์หลังเล็กๆนี้จนเนืองแน่นทะลักออกมาข้างนอก ด้านหน้าโบสถ์ยังมีแม่ชีมาขายหนังสือเกี่ยวกับศาสนาเต็มไปหมด ชาวคาทอลิกที่นี่มีความศรัทธาอันแรงกล้าจริงๆ
หนังสือเกี่ยวกับศาสนามีจำหน่ายหน้าโบสถ์
รูปปั้นควายสื่อถึงประเทศเกษตรกรรมหน้าโบสถ์ Ayala Chapel

Ayala Chapel โบสถ์เล็กๆ กลางลานห้างGreenbelt ออกแบบได้น่ารักลงตัว
ประชาชนยืนต่อคิวรอเข้าไปสักการะในโบสถ์


               เราเดินดูของแบรนด์เนมสวยงามมาก็มากแต่ตัดสินใจซื้อไม่ได้เลยสักชิ้น ติดที่ราคาสูงเกินไป สุดท้ายก็ต้องเดินข้ามถนนกลับมาซื้อของฝากที่ห้าง SM Makati ดีกว่า ตอนที่ข้ามถนนเราเดินผ่านอาคารคอนโดมิเนียมหรูและหมู่บ้านหรูในย่านมากาติด้วย เขาสร้างเป็นกำแพงแน่นหนาและมียามตรงทางเข้าออกถึง4คน มองเข้าไปเห็นกลุ่มบ้านใหญ่โตมากๆ นี่แหละช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่มีมากที่นี่ เราเดินเข้าซุปเปอร์ไปซื้อมะม่วงและมะละกออบแห้งซื้อฝากคนที่บ้านและที่ทำงาน ซื้อขนมฟิลิปปินส์ และซื้อผลไม้แปลกๆบางชนิดกลับไปให้เพื่อนๆชิม
ผลไม้ประหลาดๆ รสชาติคล้ายอะโวคาโด เนื้อสีเหลืองคล้ายฟักทอง
มะม่วงอบแห้งของฝากขึ้นชื่อระดับคุณภาพส่งออกแบรนด์ต่างๆ

 
ตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายแห่งการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่14 หิวโซจากทริปภูเขาไฟเลยจัดการทานอาหารฟิลิปปินส์ชุดใหญ่

             เที่ยวฟิลิปปินส์ครั้งนี้เหมือนหนีเสือปะจระเข้ พอพวกเราผละออกจากไกด์ดูดทรัพย์ได้ ลืมไปเลยว่าคนขับเรือนั่งรอเราอยู่สองชั่วโมงแล้ว พอปะหน้าพวกเราก็ทวงค่าปรับ100เปโซทันที เราก็เข้าใจนะว่าเวลาทำมาหากินของเค้าเป็นเงินเป็นทองแต่ก็ควรจะทำความเข้าใจเสียบ้างว่าใครจะสามารถทำเวลาขึ้นลงเขาได้ภายในเวลา1ชั่วโมง แต่นั่นแหละใจเขาใจเราเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่กับคนหมู่มาก
 เหล่าไกด์นำทางชุมนุมข้างล่าง ขวาสุดคือกิลเบิร์ต

                ดังนั้นบรรยากาศตอนนั่งเรือกลับจึงมีแต่ความเงียบ พวกเราเหน็ดเหนื่อยกับการเดินขึ้นและลงภูเขาไฟ ไกด์ท้องถิ่นพวกนี้เก่งสามารถเดินขึ้นลงได้วันละหลายรอบ มีความแข็งแรงทนทานกว่าพวกเรา เรือก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเหมือนตอนขาออก พอใกล้จะถึงฝั่งคนขับเรือทวงตังค์เราอีกรอบนึง เราก็ต้องให้ไปเพื่อตัดความรำคาญ เค้าเลยย้อนว่า แล้วไม่คิดจะให้ค่าทิปบ้างเลยเหรอ เราก็บอกว่านั่นแหละพอแล้ว ดูเค้าไม่ค่อยพอใจเลยไม่จอดเรือเทียบท่าปล่อยให้เราสองคนเดินลุยน้ำประมาณเข่าขึ้นฝั่งไป

 เรือออกจากท่ามีชาวบ้านมายืนส่งพวกเราด้วย
น้องคนขับเรือเจ้าเล่ห์เดินนำพวกเราลิ่วๆ

นักท่องเที่ยวรอบเช้าเริ่มทะยอยเดินทางกลับ

                พอไปถึงรีสอร์ทพนักงานก็กุลีกุจอจะจัดที่นั่งให้พวกเราได้รับประทานอาหารกลางวันกัน เพื่อนเราอ้างว่าเมาเรือจะรีบกลับ จริงอยู่นะถ้าเราเสียความรู้สึกกับที่นี่แล้วจะนั่งทานอาหารกลางวันให้โดนฟันหัวแบะอีกทำไมสู้จ้างรถไปตายดาบหน้าดีกว่า แล้วเราก็จ้างรถสามล้อพ่วงข้างให้ขึ้นไปส่งในเมืองตะไกไค สนนราคาขากลับ 450เปโซ โอ้โหทำไมแพงกว่าขามาตั้ง3เท่าตัว คนขับบอกว่าเพราะนี่เป็นขาขึ้นเขาจะเปลืองน้ำมันค่อนข้างมากไม่เหมือนกับขาลง สุดท้ายเราก็ต่อรองเค้าจนเหลือเพียง350เปโซ ระหว่างทางขากลับจากอากาศอบอ้าวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นลงยามไต่ขึ้นไปตามระดับความสูง แล้วเมฆฝนก็ตั้งเค้าดำทะมึนประเดี๋ยวก็เทลงมาเสียห่าใหญ่ คนขับรีบหยุดรถแล้วปิดม่านพลาสติกกันฝนให้พวกเราทันที อากาศแปรเปลี่ยนเป็นเย็นจนหนาว

ฝนตกหนัก เด็กมักจะออกมาเล่นน้ำฝนกัน

                เมื่อรถขึ้นไปถึงตัวเมืองตะไกไต พวกเราก็หิวโซเดินหาร้านกินข้าวกันใหญ่ ด้วยว่าฝนตกเลยเดินเข้าร้านจอยลี่บรเจ้าเก่าก่อน แต่ปรากฏว่าไม่มีที่นั่งเลย ต่างคนต่างมานั่งหลบฝนและสั่งอาหารกินจนเต็มร้านทั้งที่บ่ายกว่าแล้ว สุดท้ายเราก็ต้องพึ่งพาอาหารฟิลิปิโนตามเดิม เห็นเขียนหน้าร้านว่า Eatery ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าต้องทานได้แน่ๆ กับข้าวเป็นแบบง่ายๆ คล้ายกับข้าวบ้านเรา มีลูกค้านั่งทานในร้านพอสมควร กับข้าวมีแกงกะหรี่ไก่ ผัดบวบ ผัดฟัก ปลาทอด เต้าหู้ทอด หมูสามชั้นผัดถั่ว แกงกะทิหมู ฯลฯ พวกเราสั่งอาหารกันมาเต็มโต๊ะราวกับว่าไม่เคยทานมาก่อน ก็มันหิวจริงๆนี่จ๊ะ

 ร้านอาหารอร่อยริมทาง โปรดสังเกตวัตถุดิบว่าเค้าใช้ผักสดจริงๆ
 เต้าหู้ทอดขายเป็นชิ้นพร้อมกับปลาชุบเกล็ดขนมปังทอด
 หม้อนี้เป็นแกงหมูใส่เห็ดหูหนู
 ซ้ายสุดคืออะโดโบ ถัดมาคล้ายกับแพนงหมู
 มะนาวลูกเล็กของที่นี่เปรี้ยวจี๊ดถึงใจ
 ข้าวแกงที่นี่จะตักมาเป็นถ้วยเล็กๆ แต่จะไม่นิยมราดข้าวกัน
 แกงกะหรี่ไก่ใส่เนื้ออกไก่มาเป็นปื้นๆ
 ฟักผัดกับหมูสามชั้น รสชาติออกหวาน



                พอท้องอิ่มความคิดที่จะไปเที่ยวชมเมืองตะไกไต ไปปิกนิกโกรฟ (Picnic Grove) อันเป็นเนินเขาที่พักตากอากาศอันขึ้นชื่อของที่นี่จึงต้องยกเลิกไป เนื่องจากฝนฟ้าไม่อำนวยนั่นเอง เราขึ้นรถโดยสารนั่งกลับมายังมะนิลาที่ฝั่งตรงข้ามกับขามาในราคาคนละ 77เปโซ พอขึ้นรถได้ไม่นานแอร์รถเย็นฉ่ำเพื่อนเราก็หลับไป เราหลับไม่ได้กลัวลงเลยป้าย และแอร์มันหนาวมากประกอบกับฝนที่ยังตกไม่หยุดข้างนอก ขากลับคนขึ้นรถค่อนข้างแน่น ตามรายทางมีแต่คนขึ้นไปเข้าเมือง รถแล่นผ่านห้างโรบินสันคนเต็มหน้าห้างเลยแล้วรถก็เริ่มติดบริเวณชานกรุงมะนิลา วันเสาร์นี่รถติดมากติดยิ่งกว่าวันธรรมดาอีก รถคลานกระดืบผ่านย่านสลัมมีสนามบาสขนาดใหญ่กลางแจ้ง คนรอต่อคิวเล่นบาสเป็นทีมหลายทีมเลย แต่ละทีมใส่เสื้อแบบเป็นเสื้อทีม ที่นี่เค้าชอบกีฬาบาสเกตบอลกันมากเป็นกีฬายอดฮิตเลยทีเดียว  และแล้วรถก็หยุดนิ่งสนิทจนหยุดนิ่งจนฟ้าเริ่มมืด ตายล่ะ เราใช้เวลาอยู่ในรถมากกว่า3ชั่วโมงยาวนานกว่าขามาอีก รถเอยรถติดยามเย็นวันเสาร์ทำไมขาเข้าเมืองถึงติดนักล่ะ จนรถแล่นผ่านย่านเบย์วิวอันเป็นว่าใกล้จะถึงที่พักแล้วเราเลยปลุกเพื่อนให้ตื่น เพื่อนเราบอกว่าเค้าจะนั่งต่อเข้าไปในเมืองเค้ายังไม่ลงที่นี่ เราเลยตามใจแล้วเราก็กระโดดลงกลางทางตอนที่รถมันติดนี่ล่ะ ให้มันรู้กันไปว่าเดินยังเร็วกว่า จนเราเดินข้ามสี่แยกเข้าซอยนั่นแหละ เราหันมองกลับไปเลยเห็นว่ารถยังไม่ขยับเลยแล้วเพื่อนเราจะถึงบ้านกี่โมงกันล่ะเนี่ย

                เรารีบกลับมาที่พักรู้สึกเหมือนไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว จากเย็นมาร้อนและร้อนมาเย็นอีกครั้ง อากาศแบบนี้แหละทำให้เราไม่สบาย ว่าแล้วเราอาบน้ำแล้วก็ทานยาแก้ปวดหัวแล้วนอนเอาแรงสักงีบ ตื่นมาอีกทีก็สามทุ่มเลยเดินออกไปทานโจ๊ก โจ๊กที่นี่ใส่ตีนไก่ด้วยคล้ายกับเมืองไทยไม่มีผิด อิ่มแล้วเราก็กลับมานอนอีกรอบ พรุ่งนี้จะได้หายป่วยและมีแรงไปเที่ยวต่อ

ตอนหน้าจะพาทุกท่านไปช้อปปิ้งย่านมากาติอีกครั้งครับ พร้อมกับนำชม Ayala Meseum

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่13 บนเส้นทางขึ้นภูเขาไฟตาอัล (Taal Volcano) ท่ามกลางความระอุของพื้นใต้พิภพ

                 เรือเริ่มแล่นช้าลงคงใกล้จะถึงฝั่งแล้ว ใช้เวลาประมาณ30นาทีก็ถึงใจกลางเกาะภูเขาไฟ คนบนเกาะก็เริ่มกรูกันเข้ามาที่เรือของเรา คนขับเรือกำชับว่าคุณมีเวลาที่นี่ประมาณ1ชั่วโมงนะ ถ้าคุณมาช้ากว่านี้ผมจะปรับคุณ100เปโซ อะไรกันมีแบบนี้ด้วย ถ้านักท่องเที่ยวเค้าถูกใจในบริการเค้าก็จะให้ทิปเองแหละ ไม่ต้องมาอ้างค่าปรับหรอก ใครจะไปทำเวลาได้ทัน  เพื่อนบอกว่านี่แหละคือวิธีขูดรีดทางอ้อมที่ง่ายและแยบคายที่สุด
                คนที่รออยู่บนเกาะต่างกรูกันมาเสนอราคาค่านำเที่ยวและค่าขี่ม้าใหญ่เลย ราวกับว่าที่นี่คงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากนัก ถึงอย่างไรเราก็ต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมขึ้นชมภูเขาไฟคนละ 50เปโซ อยู่ดี พอเราจ่ายค่าเข้าแล้ว ทางอุทยานก็ถามว่าต้องการม้าหรือไม่ ค่าม้าคนละ 450เปโซ จะเดินขึ้นกันไหวเหรอ ไกลนะ ทางชันด้วย ขึ้นอย่างเดียวไปตั้ง4กิโลเมตรแน่ะ เราไม่เอาม้าเลยบอกว่าไหวก็เคยขึ้นภูกระดึงกันมาแล้วนี่ พอเราจะพากันเดินขึ้นไปเอง เจ้าหน้าที่อุทยานรีบร้องห้ามเสียงหลงเลย คุณขึ้นไปไม่ได้นะคะ คุณต้องมีไกด์นำไป1คนค่ะ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะหลงทางและได้รับอันตรายจากเถ้าถ่านและลาวาภูเขาไฟได้ โหเล่นเอาอันตรายของภูเขาไฟมาอ้างซะขนาดนี้ทำให้เราต้องจ้างไกด์เลย เอาเถิดเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นที่นี่ เราต้องจ่ายค่าไกด์ไปที่500เปโซ เพื่อมาดูแลเราไม่ให้เดินออกนอกเส้นทางและคอยนำทางกับแนะนำสถานที่ไป

 วิวสวยๆ ก่อนข้ามฝั่งไปยังเกาะภูเขาไฟ
 เบื้องหน้าของเกาะภุเขาไฟตาอัล
ด่านเก็บค่าธรรมเนียมก่อนขึ้นเขาทำแบบอุทยานแห่งชาติ

ไกด์คนนี้ชื่อกิลเบิร์ต ชื่อเป็นฝรั่งแต่ตัวดำล่ำสันหน้าออกไทยๆ เชียว (ไม่น่าชื่อนี้เล้ย) แสงแดดแรงกล้า ไกด์กิลเบิร์ตพาเราเดินตัดหมู่บ้านเล็กๆเพื่อเดินไต่ระดับความชันขึ้นเขา เราเห็นเด็กหนุ่มเดินจูงม้าตามมาด้วย เพื่อนรีบบอกกิลเบิร์ตว่า ไม่นะเราไม่ขี่ม้า เด็กหนุ่มตอบว่าเผื่อว่าพวกคุณเดินขึ้นไม่ไหวก็จะได้ขึ้นม้าแทนไง มาดูถูกคนไทยเกรียนๆอย่างเราได้ไง  แล้วเราก็เดินไต่ไปเรื่อยๆ กิลเบิร์ตเดินจ้ำเร็วมากไม่รอกันเลย เดินนำลิ่วๆเลย สองข้างทางยังเป็นป่าโปร่งกับพื้นที่ทำการเกษตรอยู่ กิลเบิร์ตเดินเข้าไปในป่าและเด็ดลูกไม้เล็กๆมาให้เรากิน และบอกว่านี่คือฝรั่ง ทำไมฝรั่งถึงลูกแคระเช่นนี้ ฝรั่งยังไม่โตเหรอ เค้าบอกว่าใช่ลูกฝรั่งลองเคี้ยวดูแล้วดื่มน้ำตามมันจะชุ่มคอไม่เหนื่อย เออภูมิปัญญาชาวฟิลิปปินส์นี่ใช้ได้จริง เพราะมันหวานในคอจริงๆ

 ไกด์กิลเบิร์ตผู้นำทางอาสาแบกเป้ให้พวกเรา
ฝรั่งลูกเล็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าทานได้เหมือนลูกใหญ่

                 พวกเราเดินไปได้ครึ่งทางเค้าก็พาเรามานั่งพักที่เพิงพักริมทาง เราแวะดื่มน้ำนั่งพักสักครู่ เจ้าจ็อกกี้ม้าคงเห็นว่าพวกเราคงไม่พึ่งพาเจ้าม้าแน่ๆ ก็เลยเดินจูงม้ากลับไปรับแขกต่อ กิลเบิร์ตชี้มือไปยังปล่องภูเขาไฟใหญ่อีกลูกแล้วบอกว่าปล่องนั้นสงบแล้ว ส่วนปล่องที่จะพาเราขึ้นมานี้ยังไม่สงบ  เพื่อนเราถามอ้าวแล้วยังงี้ไม่อันตรายเหรอ กิลเบิร์ตบอกว่าภูเขาไฟตาอัลลูกนี้ถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับ ปินาตูโบ (Mt. Pinatubo) และอารายัต (Mt. Arayat) ลูกนี้ไม่เคยปะทุรุนแรง อย่างมากก็แค่เกิดแผ่นดินไหวและพ่นเถ้าถ่านออกมาเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราไม่อยากนึกสภาพหากมันเกิดระเบิดรุนแรงตอนที่พวกเรากำลังเดินขึ้น มิวายคงต้องถูกสตัฟแบบเมืองปอมเปอีกันหมดทั้งคณะ

ภูเขาไฟลูกใหญ่ที่ตอนนี้นอนสงบนิ่งแล้ว
 เพิงพักให้หายเหนื่อยริมทาง ไกด์เราก็นั่งพักด้วย
เจ้าอาชาแวะกินต้นไม้กลางทาง พวกเราไม่ได้ขี่มันหรอก


                  พอหายเหนื่อยก็เดินทัพกันต่อ คราวนี้ตามสองข้างทางต้นไม้เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ มีม้าขี่แซงพวกเราเป็นระยะ และมีขี่สวนลงมาบ้าง เราถามกิลเบิร์ตว่ามีคนไทยขึ้นมาบ้างมั้ย เค้าตอบว่าแทบจะไม่มีเลยตั้งแต่เป็นไกด์มา ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน ฮ่องกง เกาหลีและญี่ปุ่นหรือไม่ก็อเมริกัน  ระหว่างทางเดินก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย หญ้าที่ขึ้นปกคลุมเริ่มหายไปเป็นหินแข็งๆ พวกเราเริ่มรู้สึกหนักกับสัมภาระด้านหลัง อีกทั้งถ่ายรูปกันไม่ถนัดด้วย สุดท้ายก็ให้กิลเบิร์ตช่วยสะพาย ไหนๆจ้างไกด์แล้วต้องใช้ให้คุ้ม อิอิ สองข้างทางเริ่มมีหมอกควันร้อนพวยพุ่งออกมา กิลเบริต์บอกว่ามันคือสม็อก (Smoke) อ๋อ ที่นั่นเค้าเรียกไอควันจากภูเขาไฟกันแบบนี้เหรอ  กิลเบิร์ตบอกว่าถ้าไปยืนใกล้ๆร่องหินที่ควันพวยพุ่งออกมานั้นจะร้อนมาก อย่าเอามือไปสัมผัสหรือเอาไปอังควันแถวนั้นนะ เดี๋ยวมือจะพองสุก แล้วเค้าก็ให้เราหยุดเพื่อถ่ายรูปควันภูเขาไฟ เราถ่ายได้ประเดี๋ยวก็ต้องรีบเผ่นออกมาด้วยว่าควันนั้นมีกลิ่นฉุนคล้ายกำมะถันระเบิดมากๆ  บริเวณที่มีควันพวยพุ่งหินจะเป็นสีน้ำตาลแดงและไม่มีต้นไม้ใดๆขึ้นได้ แต่ทราบหรือไม่ว่าลาวาและเถ้าถ่านภูเขาไฟในการระเบิดแต่ละครั้ง ล้วนแต่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุที่พืชต้องการ
หินร้อนที่พ่นควันได้มีให้เห็นทั่วไปบนภูเขาไฟตาอัล
จุดนี้เป็นจุดที่หินแดงร้อนที่สุด สังเกตได้จากสีหน้าของหญิงสาว

และแล้วกิลเบิร์ตก็พาเราเดินผ่านช่องแคบแห่งไฟ เป็นทางแคบๆที่หินพ่นไอร้อนออกมาทั้งสองข้าง เราเดินผ่านแล้วร้อนวูบเหมือนอยู่ในห้องซาวน่าเลย อันตรายมากๆ เค้าบอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่สวยที่สุดในตอนเช้า เพราะควันจะชัดเจนมาก ในที่สุดพวกเราก็พิชิตยอดตาอัลได้สำเร็จ กิลเบิร์ตขอร้องให้พวกเราซื้อน้ำให้หน่อยเราก็ซื้อให้ น้ำขวดบนยอดภูเขาราคาขวดละ 50เปโซ เลยทีเดียว เราซื้อสามขวดแจกทั้งไกด์และเพื่อนเราด้วย เดี๋ยวเราจะปีนขึ้นไปดูบนปากปล่องภูเขาไฟกัน
                เราเดินออกจากจุดจอดม้า (เหมือนจุดจอดรถ) เดินเท้าขึ้นบันไดปูนไปอีก50เมตร ก็จะเจอทะเลสาบบนเหวปากปล่องภูเขาไฟอีกที น้ำสีเขียวอุดมไปด้วยแร่ธาตุและเดือดปุดอยู่ตลอดเวลา บริเวณปากปล่องมีทางเดินเท้ารายรอบ มีร้านขายของที่ระลึกด้วย ใช่แล้วสิเราเอาเสบียงไก่ทอดจอลลี่บีออกมาทำลายกันดีกว่า การซื้อไก่ทอดที่นี่เค้าจะแถมข้าวมาด้วยเสมอซึ่งต่างจากไก่ทอดในเมืองไทยไม่มีข้าวเปล่าแถมมา ไกด์กิลเบิร์ตนั่งสูบบุหรี่อยู่เราชวนเค้ากินตามมารยาทแต่เค้าปฏิเสธ เราทำลายเสบียงจนหมดเกลี้ยงแล้วได้เวลาลงจากภูเขาไฟแล้วสิ

จุดจอดม้าและสัมภาระ นี่เราเดินขึ้นมาสูงขนาดนี้เลย
น้ำเดือดปุดด้วยความร้อนใต้พิภพในทะเลสาบแห่งภูเขาไฟ
แอ่งกะทะบริเวณปากปล่องภูเขาไฟกลายเป็นแอ่งเก็บน้ำร้อน
น้ำอุดมไปด้วยแร่ธาตุภูเขาไฟจนมีสีเขียวจัดบริเซนปล่องภูเขาไฟ
จุดชมวิวไว้ให้ตากล้องปีนขึ้นไปถ่ายรูป
เมื่อถ่ายรูปย้อนลงมาก็จะได้ภาพนี้

                ขาลงทำเวลาได้ไวกว่าเดิมเยอะ มีนักท่องเที่ยวชาวจีนชาวเกาหลีขี่ม้าสวนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ล้วนแต่สูงวัยเดินไม่ไหวทั้งนั้นเลย ทำให้คณะของเราต้องคอยหลบทางให้กับทีมอาชาที่เดินสวนขึ้นไปเป็นระยะ เราใช้เวลาที่นี่มากกว่าสองชั่วโมง ระหว่างทางเดินลง ไกด์กิลเบิร์ตเจ้าเล่ห์เริ่มเรียกร้องค่าทิป เค้าเล่าว่าเค้าอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกเล็กๆอีก2คน ขอค่าทิปอีกสักสองร้อยได้มั้ย พวกเราก็เงียบกันจนเขาเริ่มเซ้าซี้ขึ้นเรื่อยๆ ว่าไงล่ะนายท่านได้หรือเปล่า ชีวิตพวกผมลำบากนะ  มาเรียกร้องค่าทิปแบบนี้ทำให้เราไม่อยากให้เลยสิ เพราะถ้านักท่องเที่ยวพึงพอใจเค้าก็ยินดีทิปให้เองแหละ ยิ่งพอลงใกล้ถึงตีนเขาก็ยิ่งเซ้าซี้หนักใหญ่ และบอกว่าควรจะจ่ายค่าทิปก่อนถึงที่ทำการอุทยาน คราวนี้เรารู้แล้วว่ามันผิดกฎของอุทยานในการมาเรียกร้องค่าทิป แต่พวกเราก็ไม่อยากจะให้คนเหล่านี้เที่ยวไปโพทะนาต่อว่าคนไทยใจจืดใจดำและงกก็เลยจ่ายเค้าไปแค่ 150เปโซ เพื่อตัดความรำคาญ เจ้ากิลเบิร์ตชักสีหน้าไม่พอใจทันที เพื่อนเราเลยขู่ว่านี่ไงถึงแล้วนะที่ทำการอุทยาน จะมาเรียกร้องอะไรอีก ด้วยความเกรงกลัวเจ้าหน้าที่ เจ้ากิลเบิร์ตเลยเดินเลี่ยงออกไปทันที พอเจอเพื่อนก็เลยบ่นเป็นภาษาตากาล็อกที่เราฟังไม่รู้เรื่องชุดใหญ่ จะดีกว่านี้มากหากทางอุทยานมีการจัดระเบียบและอบรมมารยาทของผู้นำเที่ยวให้ดีเสียก่อนนำออกมาให้บริการลูกค้า จะได้ไม่มีปัญหากับนักท่องเที่ยวภายหลัง
 จุดแวะพักริมทางมีเป็นระยะๆ ให้ทั้งม้าและคนหายเหนื่อย
 ตามทางเดินจะเต็มไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ที่ม้าขับถ่ายออกมา

ตอนต่อไปด้วยความหิว ทำให้เราฟาดอาหารมื้อใหญ่ตอนกลางวันหมดเกลี้ยง