แสงสุดท้ายของวันเดินทางกลับเมืองไทย
ถนนข้างคลองน้ำครำใกล้กับที่พัก ในวันอาทิตย์นั้นถนนโล่งดี
คุณพ่อวัยกระเตาะจูงลูกสาว มีให้เห็นทั่วไปที่นี่
เรากลับมาทันแสงสุดท้ายของวันนี้ ตะวันตกดินริมถนน Roxas ช่างงดงามยิ่ง วันสุดท้ายแล้วขอไปแชะภาพย่านสลัมและดงน้ำครำเสียหน่อย โดยที่ไม่ได้เกรงกลัวอันตรายสักนิด ถ่ายภาพบริเวณสะพานข้ามคลองน้ำครำและบ้านเรือนแถวนั้น แต่ถ่ายได้ไม่นานหรอกความรู้สึกของเรามันบอกว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องการกระทำของเราอยู่ ก่อนที่กล้องและหน่วยบันทึกความจำจะหายไปจึงต้องซ่อนไว้อย่างมิดชิดในเป้ของเรา เราไปทานข้าวที่ร้าน Mario Restaurant ถ่ายรูปตู้กับข้าวใบใหญ่หน้าร้าน เมนูอาหารวันนี้มีทั้ง หมูย่าง (Lechon) เห็นขนาดชิ้นแล้วตกใจมากใหญ่กว่าหมูกรอบบ้านเราอีก ถั่วผัดหมู หูหมูผัดพริก เครื่องในหมูผัดพริก (Bophis) ไก่ทอด ปลาชุบแป้งทอด ผัดฟักทองใส่กะทิ ฯลฯ วันนี้เราสั่งผัดถั่วฝักยาวกับเครื่องในหมูผัดพริกมากินกับข้าว เจ้าของร้านคงเห็นเรากินเผ็ดมาหลายครั้งเลยถามว่าคุณเป็นคนที่ไหนกันแน่ เราตอบว่าคนไทย เพราะคนไทยกินเผ็ด เค้าพอเข้าใจและบอกว่าปกติเมนูหูหมูผัดพริกกับเครื่องในหมูผัดพริกจะเผ็ดมาก คนที่นี่เค้าจะไม่ค่อยกินกัน แต่ทำไมคุณกินเปล่าๆได้โดยที่ไม่มีข้าวสักนิด เราบอกว่ากับข้าวในเมืองไทยรสเผ็ดกว่านี้เยอะ แสดงว่าคนที่นี่ไม่ทานเผ็ดกันเลยใช่ไหม แล้วเค้าก็หัวเราะ คิดเงินค่าเสียหายวันนี้เพียง68เปโซ
อาหารฟิลิปปินส์มื้อสุดท้ายผัดถั่วกับผัดเครื่องในหมู (Bophis)
ถึงแม้ว่าร้านจะอยู่ติดกับคลองน้ำครำ แต่ก็มีลูกค้าแวะเวียนไม่ขาด
เมนูอาหารวันนี้มีหมูย่าง ผัดเผ็ดเครื่องในหมู ผัดเผ็ดหูหมู ผัดถั่ว ไก่ทอด ปลาทอด
เราเดินออกจากร้านอาหารก็จะผ่านแผงขายไข่ปิ้ง ไส้กรอกทอด ไข่ข้าว ฯลฯ วันนี้ของกินเยอะมาก มีตลาดเสื้อผ้ามือสองมาวางใส่กระบะด้วย คนแย่งรุมซื้อกันใหญ่ ก็เสื้อชิ้นละ20-40เปโซเองนี่ กางเกง80เปโซ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านแถวนั้น เราเดินผ่านสนามบาสเล็กๆในชุมชน วันนี้คึกคัก เด็กๆเล่นบาสเต็มไปหมด ระหว่างทางมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งแบกกระเป๋ามาถามทางเป็นภาษาตากาล็อก เราก็ส่ายหัวสิ ไม่ใช่นะเราคนต่างชาติ มิใช่ฟิลิปิโน เค้าหัวเราะกลิ้งเลยคงจะหน้าแตก แล้วเราก็กลับมาอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องพักพร้อมจัดกระเป๋าใหม่ทั้งหมด เห็นทีขากลับเราจะได้ใช้บริการโหลดกระเป๋าเข้าใต้ท้องเครื่องเป็นแน่ เพราะกระเป๋าเราคลอดลูกใหม่ออกมาอีกใบหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยผลไม้สด มะม่วงและมะละกออบแห้ง และงานฝีมือจำนวนหนึ่ง เวลาเกือบทุ่มได้เวลาล้อหมุนแล้ว เราเดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าสถานีบริการน้ำมัน คันนี้ขอยกย่องให้เป็นพลเมืองดีเลย ทำไมเราไม่เจอเค้าตั้งแต่วันแรกนะ เค้ากดมิเตอร์เริ่มต้นที่50เปโซเอง แล้วเค้าก็ชวนคุยต่างๆนานา ไม่หงุดหงิด รถวิ่งมาติดไฟแดงบริเวณสลัมใกล้สนามบิน มีเด็กมอมแมมมาเคาะกระจกขอตังค์ เค้ารีบกดเซ็นทรัลล็อคทันที แล้วก็มีกลุ่มเด็กมารุมล้อมรถ มาคอยเช็ดกระจกบ้าง ขายพวงกุญแจบ้าง ขายผ้าป่านบ้าง พอไฟเขียวโชเฟอร์เลยเร่งเครื่องอย่างเร็ว เราโล่งใจเนื่องจากว่าทนดูพวกเด็กเหล่านี้ถูกใช้แรงงานไม่ค่อยได้
รถมาจอดที่สนามบินนินอยอาคีโน่ อาคาร3 ในราคาเพียง70เปโซเท่านั้นจากที่พัก ที่นี่ยามเค้าจะสั่งให้รถทุกคันเปิดท้ายเพื่อตรวจค้นวัตถุระเบิดก่อนเข้าสนามบิน พอเดินเข้าเขตสนามบินมา สัญญาณมือถือและอินเตอร์เน็ตเริ่มใช้ได้ที่นี่ เราต้องเสียค่าธรรมเนียมโหลดกระเป๋าเพิ่มเป็นเงิน และยังต้องเสียค่าภาษีสนามบินต่างหากอีกประมาณ แล้วถึงจะเข้าไปข้างในได้ ภายในร้านค้าปลอดภาษีขาออกมีร้านค้าอยู่แค่ไม่กี่ร้านก็จริง หากทว่าราคาน้ำหอมแต่ละรุ่นนั้นคิดเป็นเงินดอลล่าร์แล้วตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งด้วย เมื่อเทียบราคากับฝั่งไทยแล้วที่นี่จึงราคาถูกกว่าพอสมควร ไม่ได้แล้วต้องสอยติดไม้ติดมือไปขายบ้าง ช็อคโกแลตก็ขายเป็นแพ็กใหญ่และจัดโปรโมชั่น งานฝีมือก็มีติดแต่ว่าราคาค่อนข้างแพง เราเลือกซื้อจนเป็นที่พอใจแล้วเราก็ขึ้นเครื่องตอนสามทุ่ม
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นภาษาตากาล็อกกับนิตยสารชั้นนำระดับไฮโซของที่นี่
ผ้าเช็ดหน้าแบบปัก เอกลักษณ์ของงานฝีมือฟิลิปปินส์
พัดสไตล์สเปนที่ชาวฟิลิปปินส์พกไว้ยามร้อนแบบไม่จำกัดเพศและวัย
ช็อคโกแลตท้องถิ่นในราคาเพียง50เปโซ ใส่ถั่วเยอะหน่อย
คนที่นั่งติดกับเราเป็นคู่หนุ่มและสาวชาวปินอย พวกเขาแปลกใจยามที่เราควักพาสปอร์ตมาเขียนบัตรเข้าเมืองประเทศไทย เค้าทักทันที อ้าวไม่ใช่ฟิลิปิโนหรอกรึ เค้าบอกว่าทำไมหน้าเหมือนคนประเทศเค้าจัง ทั้งคู่ยังไม่เคยมาเมืองไทย ฝ่ายชายกำลังจะไปสัมภาษณ์งานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชลบุรี เลยวางแผนว่าจะไปเที่ยวพัทยากัน ฝ่ายหญิงเลยขอติดตามฝ่ายชายไปด้วยโดยเที่ยวสัก4วันแล้วค่อยกลับไปทำงาน ส่วนฝ่ายชายปักหลักอยู่ยาว เราเลยแนะว่าระวังเหอะหน้าตาแบบนี้เข้าเมืองไทยคนเค้าก็จะทักพวกคุณเป็นภาษาไทยเช่นกัน เพราะหน้าตากลมกลืนไม่แตกต่างกันเลย จากนั้นเราก็สนทนากันยาวตลอดสามชั่วโมงที่บินกลับไม่ได้หลับ จนบางครั้งเราอาจคุยกันเสียงดังไปนิดจนคนข้างหลังรำคาญบ้าง พวกเค้าจะคอยถามวิธีปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในเมืองไทย ส่วนเราก็จะเล่าความประทับใจที่ได้พบเจอในการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ตลอดสี่วันนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่เราก็มีความสุขมากๆ จนล้อเครื่องบินแตะพื้นสุวรรณภูมิ พวกเราก็ยังคุยกันไม่จบ แล้วพบกันอีกนะฟิลิปปินส์ คราวหน้าเราอยากจะแบกเป้ไปเที่ยวเกาะเซบู (Cebu City ) และเมืองอารายธรรมตอนเหนือเมืองวีแกน (Vigan) หวังว่าเราจะมีเวลาท่องเที่ยวมากกว่าเดิม