วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่13 บนเส้นทางขึ้นภูเขาไฟตาอัล (Taal Volcano) ท่ามกลางความระอุของพื้นใต้พิภพ

                 เรือเริ่มแล่นช้าลงคงใกล้จะถึงฝั่งแล้ว ใช้เวลาประมาณ30นาทีก็ถึงใจกลางเกาะภูเขาไฟ คนบนเกาะก็เริ่มกรูกันเข้ามาที่เรือของเรา คนขับเรือกำชับว่าคุณมีเวลาที่นี่ประมาณ1ชั่วโมงนะ ถ้าคุณมาช้ากว่านี้ผมจะปรับคุณ100เปโซ อะไรกันมีแบบนี้ด้วย ถ้านักท่องเที่ยวเค้าถูกใจในบริการเค้าก็จะให้ทิปเองแหละ ไม่ต้องมาอ้างค่าปรับหรอก ใครจะไปทำเวลาได้ทัน  เพื่อนบอกว่านี่แหละคือวิธีขูดรีดทางอ้อมที่ง่ายและแยบคายที่สุด
                คนที่รออยู่บนเกาะต่างกรูกันมาเสนอราคาค่านำเที่ยวและค่าขี่ม้าใหญ่เลย ราวกับว่าที่นี่คงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากนัก ถึงอย่างไรเราก็ต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมขึ้นชมภูเขาไฟคนละ 50เปโซ อยู่ดี พอเราจ่ายค่าเข้าแล้ว ทางอุทยานก็ถามว่าต้องการม้าหรือไม่ ค่าม้าคนละ 450เปโซ จะเดินขึ้นกันไหวเหรอ ไกลนะ ทางชันด้วย ขึ้นอย่างเดียวไปตั้ง4กิโลเมตรแน่ะ เราไม่เอาม้าเลยบอกว่าไหวก็เคยขึ้นภูกระดึงกันมาแล้วนี่ พอเราจะพากันเดินขึ้นไปเอง เจ้าหน้าที่อุทยานรีบร้องห้ามเสียงหลงเลย คุณขึ้นไปไม่ได้นะคะ คุณต้องมีไกด์นำไป1คนค่ะ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะหลงทางและได้รับอันตรายจากเถ้าถ่านและลาวาภูเขาไฟได้ โหเล่นเอาอันตรายของภูเขาไฟมาอ้างซะขนาดนี้ทำให้เราต้องจ้างไกด์เลย เอาเถิดเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นที่นี่ เราต้องจ่ายค่าไกด์ไปที่500เปโซ เพื่อมาดูแลเราไม่ให้เดินออกนอกเส้นทางและคอยนำทางกับแนะนำสถานที่ไป

 วิวสวยๆ ก่อนข้ามฝั่งไปยังเกาะภูเขาไฟ
 เบื้องหน้าของเกาะภุเขาไฟตาอัล
ด่านเก็บค่าธรรมเนียมก่อนขึ้นเขาทำแบบอุทยานแห่งชาติ

ไกด์คนนี้ชื่อกิลเบิร์ต ชื่อเป็นฝรั่งแต่ตัวดำล่ำสันหน้าออกไทยๆ เชียว (ไม่น่าชื่อนี้เล้ย) แสงแดดแรงกล้า ไกด์กิลเบิร์ตพาเราเดินตัดหมู่บ้านเล็กๆเพื่อเดินไต่ระดับความชันขึ้นเขา เราเห็นเด็กหนุ่มเดินจูงม้าตามมาด้วย เพื่อนรีบบอกกิลเบิร์ตว่า ไม่นะเราไม่ขี่ม้า เด็กหนุ่มตอบว่าเผื่อว่าพวกคุณเดินขึ้นไม่ไหวก็จะได้ขึ้นม้าแทนไง มาดูถูกคนไทยเกรียนๆอย่างเราได้ไง  แล้วเราก็เดินไต่ไปเรื่อยๆ กิลเบิร์ตเดินจ้ำเร็วมากไม่รอกันเลย เดินนำลิ่วๆเลย สองข้างทางยังเป็นป่าโปร่งกับพื้นที่ทำการเกษตรอยู่ กิลเบิร์ตเดินเข้าไปในป่าและเด็ดลูกไม้เล็กๆมาให้เรากิน และบอกว่านี่คือฝรั่ง ทำไมฝรั่งถึงลูกแคระเช่นนี้ ฝรั่งยังไม่โตเหรอ เค้าบอกว่าใช่ลูกฝรั่งลองเคี้ยวดูแล้วดื่มน้ำตามมันจะชุ่มคอไม่เหนื่อย เออภูมิปัญญาชาวฟิลิปปินส์นี่ใช้ได้จริง เพราะมันหวานในคอจริงๆ

 ไกด์กิลเบิร์ตผู้นำทางอาสาแบกเป้ให้พวกเรา
ฝรั่งลูกเล็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าทานได้เหมือนลูกใหญ่

                 พวกเราเดินไปได้ครึ่งทางเค้าก็พาเรามานั่งพักที่เพิงพักริมทาง เราแวะดื่มน้ำนั่งพักสักครู่ เจ้าจ็อกกี้ม้าคงเห็นว่าพวกเราคงไม่พึ่งพาเจ้าม้าแน่ๆ ก็เลยเดินจูงม้ากลับไปรับแขกต่อ กิลเบิร์ตชี้มือไปยังปล่องภูเขาไฟใหญ่อีกลูกแล้วบอกว่าปล่องนั้นสงบแล้ว ส่วนปล่องที่จะพาเราขึ้นมานี้ยังไม่สงบ  เพื่อนเราถามอ้าวแล้วยังงี้ไม่อันตรายเหรอ กิลเบิร์ตบอกว่าภูเขาไฟตาอัลลูกนี้ถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับ ปินาตูโบ (Mt. Pinatubo) และอารายัต (Mt. Arayat) ลูกนี้ไม่เคยปะทุรุนแรง อย่างมากก็แค่เกิดแผ่นดินไหวและพ่นเถ้าถ่านออกมาเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราไม่อยากนึกสภาพหากมันเกิดระเบิดรุนแรงตอนที่พวกเรากำลังเดินขึ้น มิวายคงต้องถูกสตัฟแบบเมืองปอมเปอีกันหมดทั้งคณะ

ภูเขาไฟลูกใหญ่ที่ตอนนี้นอนสงบนิ่งแล้ว
 เพิงพักให้หายเหนื่อยริมทาง ไกด์เราก็นั่งพักด้วย
เจ้าอาชาแวะกินต้นไม้กลางทาง พวกเราไม่ได้ขี่มันหรอก


                  พอหายเหนื่อยก็เดินทัพกันต่อ คราวนี้ตามสองข้างทางต้นไม้เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ มีม้าขี่แซงพวกเราเป็นระยะ และมีขี่สวนลงมาบ้าง เราถามกิลเบิร์ตว่ามีคนไทยขึ้นมาบ้างมั้ย เค้าตอบว่าแทบจะไม่มีเลยตั้งแต่เป็นไกด์มา ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน ฮ่องกง เกาหลีและญี่ปุ่นหรือไม่ก็อเมริกัน  ระหว่างทางเดินก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย หญ้าที่ขึ้นปกคลุมเริ่มหายไปเป็นหินแข็งๆ พวกเราเริ่มรู้สึกหนักกับสัมภาระด้านหลัง อีกทั้งถ่ายรูปกันไม่ถนัดด้วย สุดท้ายก็ให้กิลเบิร์ตช่วยสะพาย ไหนๆจ้างไกด์แล้วต้องใช้ให้คุ้ม อิอิ สองข้างทางเริ่มมีหมอกควันร้อนพวยพุ่งออกมา กิลเบริต์บอกว่ามันคือสม็อก (Smoke) อ๋อ ที่นั่นเค้าเรียกไอควันจากภูเขาไฟกันแบบนี้เหรอ  กิลเบิร์ตบอกว่าถ้าไปยืนใกล้ๆร่องหินที่ควันพวยพุ่งออกมานั้นจะร้อนมาก อย่าเอามือไปสัมผัสหรือเอาไปอังควันแถวนั้นนะ เดี๋ยวมือจะพองสุก แล้วเค้าก็ให้เราหยุดเพื่อถ่ายรูปควันภูเขาไฟ เราถ่ายได้ประเดี๋ยวก็ต้องรีบเผ่นออกมาด้วยว่าควันนั้นมีกลิ่นฉุนคล้ายกำมะถันระเบิดมากๆ  บริเวณที่มีควันพวยพุ่งหินจะเป็นสีน้ำตาลแดงและไม่มีต้นไม้ใดๆขึ้นได้ แต่ทราบหรือไม่ว่าลาวาและเถ้าถ่านภูเขาไฟในการระเบิดแต่ละครั้ง ล้วนแต่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุที่พืชต้องการ
หินร้อนที่พ่นควันได้มีให้เห็นทั่วไปบนภูเขาไฟตาอัล
จุดนี้เป็นจุดที่หินแดงร้อนที่สุด สังเกตได้จากสีหน้าของหญิงสาว

และแล้วกิลเบิร์ตก็พาเราเดินผ่านช่องแคบแห่งไฟ เป็นทางแคบๆที่หินพ่นไอร้อนออกมาทั้งสองข้าง เราเดินผ่านแล้วร้อนวูบเหมือนอยู่ในห้องซาวน่าเลย อันตรายมากๆ เค้าบอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่สวยที่สุดในตอนเช้า เพราะควันจะชัดเจนมาก ในที่สุดพวกเราก็พิชิตยอดตาอัลได้สำเร็จ กิลเบิร์ตขอร้องให้พวกเราซื้อน้ำให้หน่อยเราก็ซื้อให้ น้ำขวดบนยอดภูเขาราคาขวดละ 50เปโซ เลยทีเดียว เราซื้อสามขวดแจกทั้งไกด์และเพื่อนเราด้วย เดี๋ยวเราจะปีนขึ้นไปดูบนปากปล่องภูเขาไฟกัน
                เราเดินออกจากจุดจอดม้า (เหมือนจุดจอดรถ) เดินเท้าขึ้นบันไดปูนไปอีก50เมตร ก็จะเจอทะเลสาบบนเหวปากปล่องภูเขาไฟอีกที น้ำสีเขียวอุดมไปด้วยแร่ธาตุและเดือดปุดอยู่ตลอดเวลา บริเวณปากปล่องมีทางเดินเท้ารายรอบ มีร้านขายของที่ระลึกด้วย ใช่แล้วสิเราเอาเสบียงไก่ทอดจอลลี่บีออกมาทำลายกันดีกว่า การซื้อไก่ทอดที่นี่เค้าจะแถมข้าวมาด้วยเสมอซึ่งต่างจากไก่ทอดในเมืองไทยไม่มีข้าวเปล่าแถมมา ไกด์กิลเบิร์ตนั่งสูบบุหรี่อยู่เราชวนเค้ากินตามมารยาทแต่เค้าปฏิเสธ เราทำลายเสบียงจนหมดเกลี้ยงแล้วได้เวลาลงจากภูเขาไฟแล้วสิ

จุดจอดม้าและสัมภาระ นี่เราเดินขึ้นมาสูงขนาดนี้เลย
น้ำเดือดปุดด้วยความร้อนใต้พิภพในทะเลสาบแห่งภูเขาไฟ
แอ่งกะทะบริเวณปากปล่องภูเขาไฟกลายเป็นแอ่งเก็บน้ำร้อน
น้ำอุดมไปด้วยแร่ธาตุภูเขาไฟจนมีสีเขียวจัดบริเซนปล่องภูเขาไฟ
จุดชมวิวไว้ให้ตากล้องปีนขึ้นไปถ่ายรูป
เมื่อถ่ายรูปย้อนลงมาก็จะได้ภาพนี้

                ขาลงทำเวลาได้ไวกว่าเดิมเยอะ มีนักท่องเที่ยวชาวจีนชาวเกาหลีขี่ม้าสวนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ล้วนแต่สูงวัยเดินไม่ไหวทั้งนั้นเลย ทำให้คณะของเราต้องคอยหลบทางให้กับทีมอาชาที่เดินสวนขึ้นไปเป็นระยะ เราใช้เวลาที่นี่มากกว่าสองชั่วโมง ระหว่างทางเดินลง ไกด์กิลเบิร์ตเจ้าเล่ห์เริ่มเรียกร้องค่าทิป เค้าเล่าว่าเค้าอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกเล็กๆอีก2คน ขอค่าทิปอีกสักสองร้อยได้มั้ย พวกเราก็เงียบกันจนเขาเริ่มเซ้าซี้ขึ้นเรื่อยๆ ว่าไงล่ะนายท่านได้หรือเปล่า ชีวิตพวกผมลำบากนะ  มาเรียกร้องค่าทิปแบบนี้ทำให้เราไม่อยากให้เลยสิ เพราะถ้านักท่องเที่ยวพึงพอใจเค้าก็ยินดีทิปให้เองแหละ ยิ่งพอลงใกล้ถึงตีนเขาก็ยิ่งเซ้าซี้หนักใหญ่ และบอกว่าควรจะจ่ายค่าทิปก่อนถึงที่ทำการอุทยาน คราวนี้เรารู้แล้วว่ามันผิดกฎของอุทยานในการมาเรียกร้องค่าทิป แต่พวกเราก็ไม่อยากจะให้คนเหล่านี้เที่ยวไปโพทะนาต่อว่าคนไทยใจจืดใจดำและงกก็เลยจ่ายเค้าไปแค่ 150เปโซ เพื่อตัดความรำคาญ เจ้ากิลเบิร์ตชักสีหน้าไม่พอใจทันที เพื่อนเราเลยขู่ว่านี่ไงถึงแล้วนะที่ทำการอุทยาน จะมาเรียกร้องอะไรอีก ด้วยความเกรงกลัวเจ้าหน้าที่ เจ้ากิลเบิร์ตเลยเดินเลี่ยงออกไปทันที พอเจอเพื่อนก็เลยบ่นเป็นภาษาตากาล็อกที่เราฟังไม่รู้เรื่องชุดใหญ่ จะดีกว่านี้มากหากทางอุทยานมีการจัดระเบียบและอบรมมารยาทของผู้นำเที่ยวให้ดีเสียก่อนนำออกมาให้บริการลูกค้า จะได้ไม่มีปัญหากับนักท่องเที่ยวภายหลัง
 จุดแวะพักริมทางมีเป็นระยะๆ ให้ทั้งม้าและคนหายเหนื่อย
 ตามทางเดินจะเต็มไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ที่ม้าขับถ่ายออกมา

ตอนต่อไปด้วยความหิว ทำให้เราฟาดอาหารมื้อใหญ่ตอนกลางวันหมดเกลี้ยง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น