วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่15 พิพิธภัณฑ์ใจกลางห้าง Ayala Meseum พร้อมพาชมห้างหรูใจกลางเมืองมากาติ (Makati City)

                ผลจากฤทธิ์ยาเมื่อคืนทำให้เราตื่นมาอีกทีเกือบเก้าโมง เรามาเที่ยวไม่เคยตื่นสายเช่นนี้มาก่อนเลย มาเที่ยวฟิลิปปินส์คราวนี้เดี๋ยวมันจะกลายเป็นทริปขี้เกียจไปเสียนี่ ไม่ได้การแล้วต้องเด้งตัวจากที่นอนอย่างฉับพลัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ฟิลิปปินส์แล้วนี่ เราต้องเดินทางกลับในคืนนี้  เรางัวเงียจะเดินไปสั่งอาหารเช้าที่ล็อบบี้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ วันอาทิตย์ครัวเราปิดค่ะ ไม่ทำงาน แม่ครัวไปโบสถ์แล้วค่ะ เสียงใสเจื้อยแจ้วของสาวต้อนรับบอกให้เราไปทานมื้อเช้าที่อื่น ลืมไปว่าวันอาทิตย์ชาวคริสต์ทุกคนต้องเข้าโบสถ์ไปสวดมนต์ซึ่งคนที่นี่ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเสมอมา

มาม่าหน้าสถานีบริการน้ำมันเป็นที่พึ่งยามยาก

                เราเดินออกไปทานอาหารง่ายๆแถวใกล้ที่พัก ตรงปั๊มน้ำมันติดกับที่พักเห็นคนขับแท็กซี่นั่งทานอะไรอยู่ พอเข้าไปดูใกล้ๆ ร้านนี้เค้าขายมาม่าทานกับข้าวสวย ในราคาเพียง25เปโซ  แต่เราไม่ค่อยหิวเลยสั่งแค่มาม่าอย่างเดียวราคาเพียง15เปโซเท่านั้น ที่นี่มีหนังสือพิมพ์ให้บริการแต่เราอ่านไม่ออกเป็นภาษาตากาล็อกล้วนๆ สุดท้ายก็ต้องยกให้เจ้าถิ่นอ่านไป
เวลาเหลือ1วันเต็มๆแบบนี้น่าจะไปถ่ายรูปซ่อมตามเขตเมืองเก่าแต่ก็ไม่เอา ด้วยเกรงว่าไข้หวัดแดดจะหวนกลับมาอีก เลยว่าไปหาที่เย็นๆเดินดีกว่า เรายังไม่ได้ซื้อของฝากคนที่ทำงานกับที่บ้านเลยแวะเข้าห้างเสียหน่อยคงดี เราเดินไปรอรถที่เดิมวันนี้ทั้งรถและคนบนท้องถนนดูบางตาเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงกรุงเทพฯวันอาทิตย์ วันนี้เราไม่อยากนั่งจี๊บนี่ย์แล้ว อยากนั่งรถมีแอร์เลยต้องรอรถเมล์แอร์ที่มีป้ายว่าไปมากาติ ต้องสังเกตให้ดีจนรถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาเขียนว่าไป LRT Ayala มันคงต้องผ่านหน้าห้างอยาล่าแน่ๆ เราโบกให้รถจอดแล้วตรงขึ้นไปถามกระเป๋ารถ เค้าตอบว่าไป ที่นั่งบนรถโล่งมากดังนั้นรถคันนี้จึงจอดแช่ป้าย กระเป๋ารถถือป้ายเส้นทางที่รถผ่านไปป่าวประกาศข้างล่างเพื่อเชิญชวนให้คนขึ้นมาเต็มรถ ทำเหมือนพวกคิวรถตู้บ้านเราเลยที่เต็มออก เต็มออก


ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าคนเนืองแน่นริมถนน
กระเป๋ารถออกมายืนเรียกคนขึ้นรถเมล์ให้เต็ม
                    
 รถจี๊ปนี่ย์ที่นี่จะไม่ค่อยจอดชิดขอบถนนสักเท่าไหร่ เป็นตัวการทำให้รถติด
บรรยากาศยามสายของวันอาทิตย์ที่คนไม่จอแจนัก

              รถเมล์แล่นผ่านแต่ละจุดอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อนและจอดแช่ป้ายนานๆ เราเสียค่าโดยสารเพียง15เปโซ บรรยากาศร้านรวงเงียบเหงาปิดเป็นส่วนใหญ่ รถใช้เวลาวิ่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงหน้าห้างใหญ่บริเวณนั้นที่เรียกว่า Ayala Center  และแล้วเราก็กลับคืนสู่ความเจริญอีกครั้งหนึ่ง ถนนหนทางเริ่มใกล้เคียงกับสิงคโปร์ ย่านห้างอยาล่าเซ็นเตอร์ อยู่ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ AyalaLand กลุ่มนี้น่าจะรวยล้นฟ้าซึ่งมาทราบภายหลังว่าตระกูลนี้เป็นคนสเปนและลูกครึ่งสเปนผสมกับชาวปินอย วันนี้เราจะเดินให้ครบทุกห้างทั้ง Greenbelt,  Glorietta และจะแวะชม Ayala Museum หลังจากที่วันนั้นได้เดินห้าง SM Makati และ Rustan รียบร้อยแล้ว ใกล้เที่ยงคนเริ่มเดินเข้าห้างมากขึ้นเรื่อยๆ คงทำธุระที่โบสถ์เสร็จแล้ว ต้องรีบไปหาอะไรทานก่อนที่คนจะแน่น เราลงไปที่ศูนย์อาหารชั้นใต้ดินของห้างไปอุดหนุนจอยลี่บีเจ้าเก่า เรากินไก่ทอด เฟรนซ์ฟรายด์และมันบด เป็นชุดเซ็ตใหญ่ในราคา 110เปโซ พออิ่มท้องแล้วก็ต้องเดินย่อยกันต่อ

ถนนหนทางย่านมากาติที่ดูสะอาดตาจนนึกไปว่าอยู่สิงคโปร์เสียอีก
 The Penninsula Hotel Manila
 นี่ก็โรงแรมระดับห้าดาวย่านมากาติ
 ทางลอดข้ามถนนมีทั่วไปในย่านหรูใจกลางเมือง
ถนนบางส่วนก็มีการปรับปรุง นำป้ายมาติดอย่างเรียบร้อย

                เราแวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์อายาล่า (Ayala Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่เก็บค่าเข้าชมค่อนข้างสูง คนในประเทศเก็บ 225เปโซ ชาวต่างชาติเก็บ450เปโซ พอเราเดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานจัดแจงฉีกตั๋วราคา 225เปโซให้ทันทีเลย เราเลยรีบจ่ายเงินแล้วก็เดินเข้าไปโดยข้างในห้ามถ่ายภาพ เราต้องฝากกล้องไว้ที่เคาน์เตอร์ พนักงานไม่เอะใจเลยสักนิดว่าเป็นชาวต่างชาติและเขาก็คุยกับเราเป็นภาษาอังกฤษด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็นห้องๆ โซนแรกจะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของประเทศฟิลิปปินส์ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคปัจจุบัน และห้องการเมืองการปกครองมีทำเนียบประธานาธิบดีในยุคสมัยต่างๆ ห้องเครื่องเงินเครื่องทองและถ้วยชามโบราณ ห้องเครื่องแต่งกายประจำชาติ ฯลฯ จากเดิมที่เราเคยชมพิพิธภัณฑ์ชาวเอเชียในสิงคโปร์แล้ว พอมาชมที่นี่เลยใช้เวลาเดินดูไม่มากนักแต่ก็ปาเข้าไป2ชั่วโมง
 Ayala Museum พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ฟิลิปปินส์ที่ดำเนินการโดยเอกชน
อาคารห้างร้านค้าแบรนด์เนมที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์

                เวลายังมีอีกมากมายเดินแวะชมบูติกแบรนด์ดังในห้าง Greenbelt1-5 ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารพลาซ่าสร้างเป็นอาคารสูง4ชั้น เป็นกลุ่มประมาณ5อาคาร แต่ละอาคารเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินแบบระเบียงคล้ายกับ La Villa และตลาดบองมาเช่ในกรุงเทพฯ เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากกว่าเป็นห้างสรรพสินค้า มีร้านอาหารแบบหรูๆ ราคาแพงมากมายตั้งอยู่ชั้นล่างในบรรยากาศนั่งทานสบายๆ บูติคแบรนด์เนมที่ราคาแพงมากๆ พวกกลุ่มห้างเพชรและนาฬิกา และกระเป๋าบางแบรนด์ถึงกับจ้างยามถือปืนมายืนอารักขาหน้าร้านและคอยเปิดปิดประตูให้ลูกค้า การรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวดกว่าห้างแบรนด์เนมในกรุงเทพฯมากๆ  บูติคบางแบรนด์ติดป้ายลดราคา แต่เชื่อหรือไม่ราคาข้าวของที่นี่ตั้งแพงกว่าในเมืองไทยประมาณ20% แม่เจ้าและไม่มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่นักท่องเที่ยวด้วย ถึงจุดนี้จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนฟิลิปปินส์ถึงชอบบินมาช้อปปิ้งที่สิงคโปร์และฮ่องกง ก็เพราะราคามันต่างกันลิบลับและได้สิทธิ์ในการคืนภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวนั่นเอง

 ลานพักผ่อนหย่อนใจกลางลานห้าง Greenbelt
 Swatch Group ก็มีแอดโฆษณาที่ดึงดูดใจได้ไม่เลว
 Paul Smith ก็มีลดราคาที่นี่ และมีโฆษณานิตยสารชั้นนำระดับไฮโซของเมืองนี้
ลานพักผ่อนหน้าห้างGreenbelt โปรดสังเกตบูติค LV อยู่ชั้นบน

                เราเดินชมข้าวของราคาแพงจนเย็นเลยออกมานั่งพักผ่อนที่ลานใจกลางห้าง ซึ่งจัดเป็นสวนเล็กๆน่ารักๆ มีโฆษณาสินค้าแบบแปลกตามาประดับตกแต่ง ลานใจกลางห้างมีโบสถ์เล็กๆ ชื่อว่า Ayala Chapel เป็นโบสถ์ของห้างAyala มีบาทหลวงทำพิธีกรรมประจำที่นี่ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ผู้คนที่มาเดินห้างต่างแวะเข้ามาสวดที่โบสถ์หลังเล็กๆนี้จนเนืองแน่นทะลักออกมาข้างนอก ด้านหน้าโบสถ์ยังมีแม่ชีมาขายหนังสือเกี่ยวกับศาสนาเต็มไปหมด ชาวคาทอลิกที่นี่มีความศรัทธาอันแรงกล้าจริงๆ
หนังสือเกี่ยวกับศาสนามีจำหน่ายหน้าโบสถ์
รูปปั้นควายสื่อถึงประเทศเกษตรกรรมหน้าโบสถ์ Ayala Chapel

Ayala Chapel โบสถ์เล็กๆ กลางลานห้างGreenbelt ออกแบบได้น่ารักลงตัว
ประชาชนยืนต่อคิวรอเข้าไปสักการะในโบสถ์


               เราเดินดูของแบรนด์เนมสวยงามมาก็มากแต่ตัดสินใจซื้อไม่ได้เลยสักชิ้น ติดที่ราคาสูงเกินไป สุดท้ายก็ต้องเดินข้ามถนนกลับมาซื้อของฝากที่ห้าง SM Makati ดีกว่า ตอนที่ข้ามถนนเราเดินผ่านอาคารคอนโดมิเนียมหรูและหมู่บ้านหรูในย่านมากาติด้วย เขาสร้างเป็นกำแพงแน่นหนาและมียามตรงทางเข้าออกถึง4คน มองเข้าไปเห็นกลุ่มบ้านใหญ่โตมากๆ นี่แหละช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่มีมากที่นี่ เราเดินเข้าซุปเปอร์ไปซื้อมะม่วงและมะละกออบแห้งซื้อฝากคนที่บ้านและที่ทำงาน ซื้อขนมฟิลิปปินส์ และซื้อผลไม้แปลกๆบางชนิดกลับไปให้เพื่อนๆชิม
ผลไม้ประหลาดๆ รสชาติคล้ายอะโวคาโด เนื้อสีเหลืองคล้ายฟักทอง
มะม่วงอบแห้งของฝากขึ้นชื่อระดับคุณภาพส่งออกแบรนด์ต่างๆ

 
ตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายแห่งการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น