พระราชวังบุเรงนอง (Kambawzathardi Golden Palace) แม้จะเป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดที่ฐานรากเดิม แต่ก็มีความงดงามแบบศิลปะพม่า สมัยเดิมเลยดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่ากรุงหงสาวดีซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ สมัยพระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชย์ (คนพม่าอ่านออกเสียงว่า “บาเยงนอง”) โปรดให้สร้างพระราชวังขึ้นที่นี่ พอสิ้นสมัยพระองค์ พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นครองราชย์แทนแต่พระองค์ไม่สามารถรักษาเมืองหงสาวดีได้ จึงถูกกองทัพพวกยะไข่ตีเสียสิ้น พระราชวังถูกไฟเผาจนเหลือแต่ตอไม้ และพระเจ้านันทบุเรงนั้นทรงถูกวางยาพิษสิ้นพระชนม์ที่เมืองตองอู
พระราชวังบุเรงนอง
บัลลังก์ผึ้งแยกออกมาจากพระราชวังหลวง
หลังยุคนายพลเนวินสละอำนาจ รัฐบาลพม่าก็ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ความงดงามนั้นสู้หลังเดิมไม่ได้ แม้จะสร้างตามแบบศิลปะพม่าแล้วก็ตามแต่ความประณีตก็ยังสู้ฝีมือช่างสมัยก่อนไม่ได้ ตัวอาคารจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ด้านหน้าของพระราชวังจะเป็นที่ประดิษฐานของบัลลังก์ผึ้ง (Bee Throne Hall) เป็นอาคารมุงด้วยหลังคาสังกะสีขนาดเล็ก หลังคาซ้อนกันเป็นทรงปราสาท ภายในมีซากเสาไม้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของพระราชวังอีกหลังหนึ่ง แต่ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ตอ ภายในอาคารหลังนี้ท่านจะได้กลิ่นฉี่ค้างคาวอย่างรุนแรงทำให้เยี่ยมชมได้ไม่นานก็ต้องรีบออกมา
สาวชาวพม่ากับชุดพื้นเมืองระหว่างรอเข้าชมตำหนักบัลลังก์ผึ้ง
บัลลังก์ผึ้งซึ่งกลิ่นภายในไม่โสภาเอาเสียเลย
กลุ่มคนไทยแบกเป้เที่ยวที่ไม่บังเอิญเจอกันเป็นครั้งที่สองที่นี่
ถัดจากบัลลังก์ผึ้งไปทางทิศตะวันตกจะมีถนนสายหนึ่งแล่นไปถึงตัวพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ตัวอาคารลักษณะเป็นแบบชักปีกนก ภายในประดิษฐานบัลลังก์จำลอง อาคารฝั่งซ้ายและขวามีไว้สำหรับบุคคลที่รอเข้าเฝ้า ในอาคารมีแผนผังกลุ่มอาคารและห้องต่างๆ มีประวัติศาสตร์พงศาวดารพม่า และมีราชรถจำลองแบบเดียวกันกับที่พระเจ้าบุเรงนองเคยใช้ประทับ
ฐานเดิมของพระราชวังซึ่งสร้างด้วยไม้สักยังคงเหลือซากให้เห็น
เบื้องหน้าของพระราชวังบุเรงนอง
ภายในมีท่อนไม้สักที่ใช้สร้างพระราชวังแสดงอยู่ด้วย
บริเวณท้องพระโรงและบัลลังก์พระที่นั่ง
ราชรถจำลองที่เคยใช้งานในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง
ประวัติของพระเจ้าบุเรงนองโดยสังเขป
ด้านหน้าของพระราชวังยังมีปืนใหญ่จำลองด้วย ที่นี่เองทำให้เราได้พบกับกลุ่มคนไทยที่แบกเป้ท่องเที่ยวและเดินทางมาจากกรุงย่างกุ้งเช่นกัน เสียดายที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยกัน และเราได้พบกับวัยรุ่นพม่าที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มาท่องเที่ยวที่นี่ งานนี้จึงไม่มีคำว่าช่องว่างระหว่างวัยทุกคนทำตัวกลมกลืนกันไปหมด ไปไหนเฮนั่นไม่มีอุปสรรคใดๆในด้านภาษา แต่ทุกคนก็พอจะสื่อสารกันเข้าใจ งานนี้จึงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ฝากความประทับใจเอาไว้เล็กๆน้อยๆ ก่อนที่เราจะส่งพวกเค้ากลับทางรถสองแถวแล้วเราก็ออกเดินทางต่อ
เพื่อนซี้ต่างวัยชาวพม่าที่เจอกันโดยบังเอิญ
ดูซิข้าวยำตามแบบฉบับพม่าน่าทานเชียว
งานนี้ไม่มีคำว่าช่องว่างระหว่างวัย
เหมารถสองแถวเที่ยวย่อมจ่ายถูกกว่ารถแท็กซี่หรือรถตู้แน่นอน
วัดพระธาตุมุเตา (Shwemawdaw Pagoda) หรือวัดชเวมอดอว์พะยา (ออกเสียงตามแบบพม่า) เป็นเจดีย์ที่สูงและใหญ่ที่สุดประจำเมืองพะโค ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพะโค ตำนานเดิมมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับ ณ เขา มะถุละ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหงสาวดี มีชายสองคนพี่น้องได้มาเข้าเฝ้า และฟังธรรมเทศนาจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา พระพุทธเจ้าจึงประทานพระเกศาให้คนละเส้น แล้วให้นำไปประดิษฐานที่เขา ทั้งสองจึงสร้างเจดีย์สูง 25เมตร เส้นรอบฐาน 125เมตร ขึ้นมา เพื่อนำพระเกศาไปบรรจุไว้ ซึ่งปัจจุบันก็คือเจดีย์ชเวมอดอว์ในปัจจุบัน
เจดีย์ชเวมอดอว์หรือพระธาตุมุเตาและสิงห์เฝ้าประตูเข้าวัด
ในสมัยพระเจ้าปุดงได้มีการต่อเติมพระธาตุให้สูงขึ้นไปถึง 108 เมตร และขยายฐานออกอีกด้านละ 53 เมตร แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2473 ครั้งนั้นได้ส่งผลให้ยอดเจดีย์พังทลายลงมาทั้งหมด ซึ่งน่าประหลาดใจที่ตรงส่วนยอดที่หักพังลงมานั้นไม่ป่นละเอียด หากแต่คงสภาพเดิมไว้ทั้งปลียอดเจดีย์ ทางวัดจึงเก็บรักษาไว้ให้ชาวบ้านได้กราบไหว้ขอพร และได้มีการบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 ที่เห็นเป็นองค์เจดีย์เยี่ยงปัจจุบันที่มีความสูง 125 เมตร
ยอดเจดีย์ที่หักพังลงมาทางรัฐบาลพม่าได้คงสภาพเดิมนั้นไว้
เบื้องหลังของสิงห์คู่ขนาดใหญ่สัญลักษณ์ของวัด
บริเวณทางเข้าพระธาตุมุเตาจะเห็นสิงห์คู่ขนาดใหญ่สองตัวตั้งขนาบซ้ายและขวาขององค์เจดีย์ จุดนี้จะสามารถถ่ายรูปเจดีย์ได้เต็มองค์ จุดทางเข้าจะมีดอกไม้บูชาพระจำหน่าย และให้แสดงบัตรเข้าชม พร้อมกับเสียค่าธรรมเนียมนำกล้องถ่ายรูปเข้า 300 จ๊าด และตู้รับฝากรองเท้า จากนั้นเราต้องเดินขึ้นบันได เพื่อไปสักการะพระพุทธรูปทั้งสี่พระองค์
หนุ่มพม่าขายบาเยียและเด็กขายดอกไม้บริเวณทางเข้าวัด
อาคารธรรมศาลามีสัญลักษณ์หงส์ของชาวมอญ
บริเวณจุดรับฝากรองเท้าก่อนเข้าวัด
ถึงแม้ว่าบริเวณลานด้านบนของเจดีย์ชเวมอดอว์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเฉกเช่นเจดีย์ชเวดากอง แต่ก็คงไว้ซึ่งตวามขลังของยอดเจดีย์ที่หักพังลงมา ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเข้าไปกราบไหว้บูชาและถ่ายรูป เสียงประกาศดังก้องเป็นภาษาพม่าในบริเวณวัด เราเดินตามเสียงนั้นถึงได้รู้ว่านั่นคือโต๊ะรับเงินทำบุญจากชาวพุทธซึ่งมีการออกใบอนุโมทนาบัตรเป็นภาษาพม่าให้ด้วย พวกเราพากันทำบุญแล้วเก็บใบอนุโมทนาบัตรเป็นที่ระลึกออกมา ก่อนที่จะเดินทางไปยังวัดพระนอนชเวตาเหลียวเป็นแห่งต่อไป
ด้านบนของลานเจดีย์ชเวมอดอว์
แม้แต่เหล่าบรรดาข้าราชการก็ยังมาไหว้พระขอพรกันที่นี่
ทำบุญเสร็จแล้วอย่าลืมตีเหล็กให้ดังนะ เสียงกังวานเชียว
เหล่ามัคทายกอวยพรให้โชคเป็นภาษาพม่าหลังจากที่เราทำบุญเสร็จ
วัดพระนอนชเวตาเหลียว (Shwethalyaung Buddha) หรือพระนอนชเวเลยอง (ออกเสียงตามแบบพม่า) คนไทยออกเสียงเพี้ยนจนกลายเป็นพระชเวตาเหลียว เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ที่เรียกว่าเป็นแบบ “สีหไสยาสน์” เพราะเป็นพระพุทธรูปที่นอนตะแคงด้านขวานั่นเอง พระองค์นี้ยังมีผู้นับถือบูชามากกว่าพระนอนเจ๊าทัตจีในกรุงย่างกุ้งเสียอีก ถึงแม้ขนาดจะเล็กกว่าและความงดงามอลังการจะสู้ไม่ได้ก็ตาม องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร สร้างขึ้นโดยพระเจ้าเมงกะดิปะที่1 (Migadippa I) ในปี พ.ศ. 1537 และถูกทิ้งร้างมานานกว่า 500 ปี จนต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมเสียสิ้น จนถึงปี พ.ศ. 2449 คณะคนงานสร้างรางรถไฟของอังกฤษจึงได้ค้นพบอีกครั้งหลังจากที่ถูกปล่อยให้ผุพังมานาน จึงได้ถางต้นไม้ออกและสร้างโรงหลังคาเหล็กขึ้นครอบองค์พระไว้ และบูรณะอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2491
ถนนปากทางเข้าวัดชเวตาเหลียว
บริเวณหน้าวัดชเวตาเหลียว
องค์พระนอนชเวตาเหลียวปางสีหไสยาสน์
บริเวณบันไดทางเข้าวัดสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก มีทั้งงานไม้แกะสลัก โปสการ์ด ภาพวาดภาพเขียนสีต่างๆ รวมไปถึงสร้อยประคำและกำไลหยก สนนราคาก็ย่อมเยาและต่อรองราคาได้ เราสามารถซื้อสร้อยประคำหยกไปให้คนที่ชอบนั่งสมาธิได้ที่นี่ เมื่อขึ้นบันไดมาถึงฐานองค์พระแล้ว สำหรับคนที่พกกล้องถ่ายรูปมาจะต้องเสียค่าธรรมเนียมถ่ายรูปกล้องละ 300 จ๊าด จากนั้นให้เดินไปที่พระบาทของพระนอนก่อนเพื่อชมการประดับประดาแก้วนานาชนิด จากนั้นค่อยชมองค์พระโดยรอบ วัดพระนอนชเวตาเหลียวแห่งนี้มีคนไทยเข้ามาบริจาคเงินมากมาย โดยสังเกตได้จากฐานพระที่มีชื่อคนไทยและบริษัทห้างร้านต่างๆ สลักชื่อเป็นรายนามผู้มีจิตศรัทธาเต็มไปหมด
ลายพระบาทอันงามวิจิตรกรุด้วยกระจกสีสวยงาม
ความละเอียดอ่อนช้อยขององค์พระนอน
รายนามผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินมีชื่อคนไทยอยู่ด้วย
ความละเอียดอ่อนช้อยของแท่นบรรทมกรุด้วยกระจกสี
ร้านขายของที่ระลึกตลอดสองข้างทางขึ้นวัด
และแล้วก็ได้เวลาที่พวกเราต้องเดินทางกลับกรุงย่างกุ้ง ยังมีพระนอนอีกองค์ที่ตั้งอยู่ติดกับพระนอนชเวตาเหลียว แต่ต่างกันตรงที่พระนอนองค์นี้ประดิษฐานกลางแจ้งมีชื่อว่า Naung Daw Gyi Mya Tha Lyaung มีขนาดใหญ่โตกว่าพระนอนชเวตาเหลียวมาก แต่เราไม่ได้เข้าชมเพราะฝนเทลงมาหนักทีเดียว
องค์พระนอนกลางแจ้งขนาดใหญ่กว่าพระนอนชเวตาเหลียว
ระหว่างทางกลับถึงเมืองย่างกุ้งคุณไกด์ชี้ให้ดูถนนที่ทางแยกซึ่งเป็นทางไปยังเมืองหลวงของประเทศพม่าแห่งใหม่ ซึ่งคือกรุงเนปีดอว์ ทราบมาว่าพวกเราสามารถเดินทางผ่านไประหว่างวันได้ แต่ทางการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวค้างแรมแม้สักคืนเดียว คงเป็นกฏหมายด้านความมั่นคงของเขากระมังมี่ไม่อยากให้ชาวต่างชาติได้เห็นเขตเมืองใหม่ ขากลับรถแล่นใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงรถก็เข้าเขตเมืองย่างกุ้ง ซึ่งฝนตกพรำๆตลอดทาง คุณไกด์ชี้ให้ดู ทะเลสาบอินยา (Inya Lake ) ที่ถึงแม้ว่าฝนจะตกแต่ก็ยังเต็มไปด้วยคู่วัยรุ่นหนุ่มสาวมานั่งจู๋จี๋กันท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นใจ เมื่อกลับถึงที่พักเราต้องไม่ลืมที่จะจ่ายค่าเหมารถทั้งวันในราคา 70 ดอลล่าร์ด้วย
ทะลสาบอินยา (Inya Lake)
คอนโดฯ หรูใจกลางกรุงย่างกุ้ง
โรงแรมชื่อดังใจกลางกรุงย่างกุ้ง
เมื่อกลับถึงที่พักก็ได้เวลาออกไปเดินช้อปปิ้งอิสระ เราเดินไปตามถนนเจดีย์สุเล เพื่อเดินหาซื้อซีดีเพลงพม่า อันนี้เราสอบถามจากพนักงานโรงแรมแล้วว่าตั้งขายอยู่ย่านไหนบ้าง เพราะเจ๊หลงไหลได้ปลื้มนักร้องพม่าคนหนึ่งมากซึ่งเขาจะร้องเพลงแนวเพื่อชีวิตแต่ก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว เราแวะชิมก๋วยเตี๋ยวพม่าข้างทางซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวแบบมังสวิรัติใส่เต้าหู้และถั่วแผ่นทอดกรอบบิลงไปแทนเกี๊ยว ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยแผงขายอาหารข้างทาง แผงขายของไม่ต่างกับตลาดนัดริมทางบ้านเรา เมื่อเจ๊ได้ซีดีเพลงสมใจแล้วซึ่งราคาแทบไม่ต่างกับซีดีเพลงแม่สายเท่าไหร่ เราจึงพากันไปทานอาหารพื้นเมืองพม่าที่ร้านขนมหวานแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง
ภัตตาคารและค็อฟฟี่ช็อปใจกลางเมือง
ร้านนี้ลักษณะเป็นภัตตาคารดูสะอาดตาทีเดียวชื่อร้าน Let Ywe Sin เราสั่งก๋วยเตี๋ยวผัดแห้งแบบพม่ามาทาน ซึ่งเขาได้เอาไข่ไปคลุกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วย รสชาติจะออกมันและเค็มเป็นหลัก จากนั้นเราก็สั่งคาราเมลคัสตาร์ดมาทานกันต่อ ปรากฏว่ารสชาติอร่อยจนต้องยกนิ้วให้และซื้อกลับมาทานที่โรงแรมกันอีก พรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางกลับเมืองไทยกันแล้ว ดังนั้นทั้งวันของพรุ่งนี้จึงเป็นวันช้อปปิ้งอิสระ อยากไปไหนก็ได้ตามใจฉัน
ตอนต่อไปจะกลับมาเที่ยวย่างกุ้งอีกครั้ง ช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองที่ตลาดโบซ่กอ่องซาน และชมสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษใจกลางเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น