วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวย่างกุ้งตอนที่3 ชมพระนอนที่ตาหวานที่สุดในโลก วัดกะบ่าเอ และลิ้มรสอาหารพื้นเมืองพม่าชั้นเลิศ (Kyauk Htat Gyi Pagoda & Kaba Aye Pagoda)

           คนจะงามงามจิตใจใช่ใบหน้า แต่พระนอนตาหวานนี่งามซึ้งตรึงใจมิรู้หาย  ถึงแม้จะไม่ใช่องค์พระนอนที่ใหญ่ที่สุดในพม่าและไม่ใช่พระนอนที่มีคนพม่ากราบไหว้บูชามากที่สุด แต่ความงดงามของพระพักตร์นั้นยากที่จะหาพระนอนองค์ใดๆ มาทัดเทียมได้
           วิหารเจ๊าทัตจี หรือเจดีย์เจ๊าทัตจี (Kyauk Htat Gyi Pagoda) เป็นวิหารที่ใช้ประดิษฐานพระพุทรไสยาสน์ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า พระนอน (Reclining Buddha) พระปางไสยาสน์นี้มีความยาวกว่า 70เมตร สร้างขึ้นมาไม่นานอายุไม่ถึง50ปี ใช้เงินบริจาคในการสร้างทั้งสิ้น 5แสนจ๊าด วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนน ชเวกอนเดียง ย่านตัมเว ในเมืองย่างกุ้ง ฝรั่งเรียกพระองค์นี้ว่า “Giant Buddha”
 บริเวณทางเข้าวิหารเจ๊าทัตจี
 รายละเอียดต่างๆขององค์พระนอนแม้แต่เล็บยังงาม

ลายจีวรพระพุทธไสยาสน์นั้นพลิ้วไหวสมจริงมากๆ

        การเข้าชมวัดแห่งนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่ก็ต้องถอดรองเท้าออกตั้งแต่ทางเข้าวัดนั่นเลย งานนี้คณะเราเลยถอดรองเท้าไว้บนรถ แล้วเดินเท้าเปล่าเข้ามาชมความงดงามของพระนอน ลักษณะเด่นขององค์พระนอนนี้เห็นทีจะหนีไม่พ้นพระพักตร์อันงดงามตามศิลปะแบบพม่า ที่แก้มระเรื่อเจือสีแดง ปากทาสีชาด เปลือกตาแต้มสีฟ้าและติดขนตางอนยาวเป็นแผง คิ้วโก่งรับกับดวงตาที่หวานคม จนใครเห็นก็อดชมไม่ได้ คนไทยเรียกติดปากว่า พระนอนตาหวาน นั้นหวานสมชื่อจริงๆ
พระพักตร์ของพระนอนตาหวานแต่งแต้มด้วยสีสันที่ยากหาพระใดมาเทียม

       หากเดินชมความงามตลอดองค์พระพุทธไสยาสน์มาจนสุดปลายพระบาทนั้น เราก็จะเห็นภาพวาดมงคลเป็นปริศนาธรรม 108 ประการ บริเวณฝ่าพระบาท ซึ่งจะมีรูปภาพสลักทั้งหมด 108 รูป ในจุดนี้เองที่งดงามจนเกินคำบรรยาย ถึงขนาดทางวัดจัดเป็นมุมถ่ายรูปไว้ให้โดยเฉพาะ
 ภาพมงคลปริศนาธรรมทั้ง 108 ประการ
 ฝ่าพระบาททาด้วยสีชมทพูแล้วลงลายเส้นสีทองอย่างดี
 แม้แต่เล็บเท้าก็ยังทาสีสวยงาม
คำเฉลยแห่งปริศนาธรรมทั้ง 108 ประการ อ่านได้ที่นี่

         ตู้บริจาคทำบุญที่วัดแห่งนี้ยังแยกประจำวันเกิดเฉกเช่นเดียวกันกับการรดน้ำพระประจำวันเกิดที่จะต้องสังเกตสัญลักษณ์ที่เป็นรูปปั้นของสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งสัญลักษณ์ของวันอาทิตย์คือครุฑ วันจันทร์คือเสือ วันอังคารคือสิงห์ วันพุธคือช้าง วันพฤหัสบดีคือหนู วันศุกร์คือหมู วันเสาร์คือมังกร และวันราหูหรือพุธกลางคืนเป็นช้างสีดำ การไหว้พระประจำวันเกิดนั้นสำคัญมาก เพราะคุณจะต้องเจอทุกวัด ตราบใดที่ยังไหว้พระในพม่าอยู่ โดยเฉพาะที่เจดีย์ชเวดากอง ลักษณะการจัดวางพระประจำวันเกิด และประจำปีเกิดและราศีจะสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีก
 ตู้บริจาคเงินแต่ละแห่งมีทั้งเงินจ๊าดและเงินบาทปะปนกันไป
แม้แต่ตู้ทำบุญยังคงมีตู้ประจำวันเกิดเลย
พระประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์ และวันจันทร์ 

พระประจำวันเกิด วันพุธกลางคืนและวันเสาร์

พระประจำวันเกิดวันพฤหัสบดีและวันพุธ 

พระประจำวันเกิด วันศุกร์และวันอังคาร 

ที่นี่เค้าจารึกประวัติของวัดลงในกระจกเงาเก๋ไก๋ไม่หยอก

                วัดเจดีย์กะบ่าเอ (Kaba Aye Pagoda) เป็นเจดีย์ทรงกลมมีความสูงและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางวัดได้เท่ากัน คือ 34 เมตร เป็นเจดีย์ที่สร้างแบบภายในกลวง ซึ่งมีพระประทานภายในหล่อด้วยเงินบริสุทธิ์น้ำหนักกว่า 500 กิโลกรัมและเคลือบแล็คเกอร์ทำให้องค์พระเป็นสีดำ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง สร้างโดยนายอูนุนายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่า เพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2497 – พ.ศ.2499 และเพื่อให้บังเกิดสันติสุขแก่โลก ล่าสุดใช้เป็นสถานที่ใช้ในการประชุมสงฆ์โลกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่ผ่านมา ที่สำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พระธาตุของพระโมคลานะและพระสารีบุตร

เจดีย์กะบ่าเอมีทางเข้าทั้งหมด 5 ด้าน ทุกๆด้านมีพระพุทธรูปขนาดกว่า 2.4 เมตรประดิษฐานอยู่ และมีพระพุทธรูปหุ้มด้วยทองคำองค์เล็กๆอีก 28 องค์แทนอดีตพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ที่อุบัติขึ้นในโลกนี้ ทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานทักษิณ ส่วนพระพุทธรูปพระประธานข้างใน คือ พระมหามุนีองค์จำลอง หล่อด้วยเงินบริสุทธิ์ซึ่งมีนำหนักรวมกว่า 500 กิโลกรัม ส่วนพระธาตุนั้นเองอยู่ภายในถ้ำจำลองมหาปาสณคูหาหรือถ้ำสัตตาบรรคูหาตามแบบในกรุงราชคฤห์
ความงดงามของพระพุทธรูปภายในเจดีย์วัดกะบ่าเอ พระมหามุนี

บริเวณทางเข้าวัดเจดีย์กะบ่าเอจะมีสิงห์คู่ตั้งอยู่ 

พระพุทธรูปที่เคลือบองค์ด้วยแล็กเกอร์ให้สีดำดูแปลกตา

           บริเวณบันไดทางขึ้นวัดนั้นเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึกตลอดทางเดิน สินค้าที่น่าสนใจมีทั้งหินหยก กำไล สร้อยประคำ หนังสือสวดมนตร์  หยกแกะสลัก งานไม้ แป้งทานาคา ฯลฯ ไว้คอยดูดทรัพย์นักท่องเที่ยวคนไทย แต่ที่ขึ้นชื่อที่นี่มากที่สุดคงหนีไม่พ้นร้านหนังสือมือสองเพราะมีเยอะมาก แต่ราคาต้องต่อรองนะ พ่อค้าบอกราคาไว้ค่อนข้างสูง เมื่อเดินขึ้นไปถึงองค์เจดีย์แล้วยังมีซุ้มขายดอกไม้และของไหว้ ภายในเจดีย์นั้นสามารถนั่งสมาธิและสวดมนตร์ได้ องค์พระประธานนั้นประดิษฐานอยูในห้องนิรภัยอย่างแน่นหนา แต่เราก็สามารถเข้าไปกราบไหว้บูชาได้ ถึงขนาดห้องจะไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อไหว้เสร็จควรรีบออกมาเพื่อหลีกทางให้คนอื่นเข้าไปกราบไหว้ได้เช่นกัน 
 ตลอดทางขึ้นเจดีย์จะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกมากมาย
 ร้านขายงานหินแกะสลัก และพลาดไม่ได้กับร้านหนังสือ 
 ร้านหนังสือมือสองที่นี่เต็มไปด้วยหนังสือประวัติศาสตร์พม่าและนำเที่ยว
หนุ่มพม่าขายดอกไม้กับความศรัทธาของชาวย่างกุ้ง

ที่นี่บูชาพระด้วยดอกสาละตามตำนานพระพุทธศาสนา

      ไหว้พระเสร็จแล้ว อิ่มบุญแล้ว หากท่านใดสนใจจะทำทานต่อก็ไม่ว่ากัน เพราะเมื่อเดินออกจากวัดแล้ว บริเวณลานด้านหน้ามีแม่ค้าขายอาหารนกพร้อมกับนกพิราบฝูงใหญ่ที่รอผู้ใจบุญโปรยอาหารให้ งานนี้เราขอบายเพราะว่าทั้งกลิ่นและไรฝุ่นจากนก แต่แม่ค้าก็ยังคงขายอาหารนกได้เรื่อยๆครับ 
 คนเฝ้ารองเท้ากำลังปอกมะม่วงพันธุ์พื้นเมืองน่าทานเชียว
 องค์พระมหามุนีจำลองประจำวัดเจดีย์กะบ่าเอ
 ที่นี่แม้แต่วัยรุ่นก็เข้าวัดกัน แต่งกายเรียบร้อย
ฝูงนกกลุ่มใหญ่กำลังรอผู้ใจบุญมาโปรยอาหาร

       ใกล้เที่ยงเต็มทีท้องก็เริ่มหิว คนขับอาสาพาไปทานร้านอาหารพม่าแบบพื้นเมืองแห่งหนึ่ง ร้านนี้เป็นร้านยอดนิยมของคนย่างกุ้งเลยทีเดียว คุณคนขับเค้าบรรยายสรรพคุณไว้อย่างดี ร้านตั้งอยู่ในถนนแคบๆ และมีน้ำท่วมขังจากฝนที่ตกหนัก เมื่อมาถึงหน้าร้านมีชื่อว่า Aunk Thuka ระหว่างที่จอดรถหน้าร้าน เราก็สังเกตว่าคนที่มาทานอาหารที่นี่ ล้วนแต่โดยสารรถราคาแพงๆ มาทานกัน ดังนั้นราคาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ร้านอาหารพื้นเมืองพม่าแต่ราคาไม่พื้นเมืองเลย

         เมื่อเข้าไปในร้านพวกเราก็พบว่าร้านนี้เป็นร้านข้าวแกงธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือปริมาณกับข้าวที่ใส่ลงภาชนะหม้อแขกนั้นมีประมาณร้อยหม้อ ราวกับว่าเป็นร้านข้าวแกงร้อยหม้อประมาณนั้น แน่นอนกับข้าวเป็นกับข้าวพื้นเมืองทั้งหมด แลเห็นน้ำมันข้นคลั่กอยู่ในอาหารทุกชนิด มื้อนี้พวกเราสั่งแกงกุ้งมาถึงสองถ้วย นอกจากนั้นก็สั่งแกงไก่ น้ำพริกผักจิ้ม ผัดผัก ปลาเผา รสชาติอาหารออกเปรี้ยวเค็มและมัน ไม่ค่อยมีรสหวาน พวกเราเลยต้องสั่งน้ำอัดลมเพื่อเติมความสดชื่นอีกที อาหารพม่านั้นมีเครื่องเคียงด้วย ลักษณะคล้ายใบเมี่ยงดอง และถั่วลิสง รวมไปถึงมันบดไว้ทานแก้เผ็ด สนนราคาอาหารมื้อนั้นรวมกันแล้วกว่า 29,000 จ๊าด ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

 เครื่องเคียงไว้ทานแก้เลี่ยนเป็นถั่วลิสงคั่วงากับใบเมี่ยงดอง
 โฉมหน้าข้าวแกงร้อยหม้อ อาหารเต็มไปด้วยน้ำมันเช่นเคย
 สำรับกับข้าวที่พวกเราสั่งมาทานกันเต็มโต๊ะ
 ด้านซ้ายคือแกงกุ้งของเค้าดีจริง ด้านขวาเป็นมันฝรั่งบดกับพริกแห้ง
ของหวานที่นี่เป็นน้ำตาลปี๊บไว้ทานเล่นหลังมื้ออาหาร 
 โฉมหน้าผัดผักเผ็ดน้ำมันท่วมจาน
ปลาทอดราดพริกรสเด็ด
โฉมหน้าน้ำอัดลมยี่ห้อพื้นเมืองยี่ห้อไม่คุ้นทั้งนั้น

ตอนต่อไปฟ้าครึ้มยามบ่ายพาเดินเล่นสวนสาธารณะกันดอจี ชมภัตตาคารลอยน้ำการะเวก และชมมหาเจดีย์ชเวดากองที่ยิ่งใหญ่






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น