วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวพะโคตอนที่2 ชมพระราชวังบุเรงนอง วัดพระธาตุมุเตาและวัดพระนอนชเวตาเหลียว (Kambawzathardi Golden Palace, Shwemawdaw Pagoda & Shwethalyaung Buddha)

              พระราชวังบุเรงนอง (Kambawzathardi Golden Palace) แม้จะเป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดที่ฐานรากเดิม แต่ก็มีความงดงามแบบศิลปะพม่า สมัยเดิมเลยดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่ากรุงหงสาวดีซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ สมัยพระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชย์ (คนพม่าอ่านออกเสียงว่า บาเยงนอง) โปรดให้สร้างพระราชวังขึ้นที่นี่ พอสิ้นสมัยพระองค์ พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นครองราชย์แทนแต่พระองค์ไม่สามารถรักษาเมืองหงสาวดีได้ จึงถูกกองทัพพวกยะไข่ตีเสียสิ้น พระราชวังถูกไฟเผาจนเหลือแต่ตอไม้ และพระเจ้านันทบุเรงนั้นทรงถูกวางยาพิษสิ้นพระชนม์ที่เมืองตองอู
พระราชวังบุเรงนอง

บัลลังก์ผึ้งแยกออกมาจากพระราชวังหลวง

                หลังยุคนายพลเนวินสละอำนาจ รัฐบาลพม่าก็ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ความงดงามนั้นสู้หลังเดิมไม่ได้ แม้จะสร้างตามแบบศิลปะพม่าแล้วก็ตามแต่ความประณีตก็ยังสู้ฝีมือช่างสมัยก่อนไม่ได้  ตัวอาคารจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ด้านหน้าของพระราชวังจะเป็นที่ประดิษฐานของบัลลังก์ผึ้ง (Bee Throne Hall) เป็นอาคารมุงด้วยหลังคาสังกะสีขนาดเล็ก หลังคาซ้อนกันเป็นทรงปราสาท ภายในมีซากเสาไม้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของพระราชวังอีกหลังหนึ่ง แต่ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ตอ ภายในอาคารหลังนี้ท่านจะได้กลิ่นฉี่ค้างคาวอย่างรุนแรงทำให้เยี่ยมชมได้ไม่นานก็ต้องรีบออกมา
สาวชาวพม่ากับชุดพื้นเมืองระหว่างรอเข้าชมตำหนักบัลลังก์ผึ้ง 
บัลลังก์ผึ้งซึ่งกลิ่นภายในไม่โสภาเอาเสียเลย
กลุ่มคนไทยแบกเป้เที่ยวที่ไม่บังเอิญเจอกันเป็นครั้งที่สองที่นี่

                ถัดจากบัลลังก์ผึ้งไปทางทิศตะวันตกจะมีถนนสายหนึ่งแล่นไปถึงตัวพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ตัวอาคารลักษณะเป็นแบบชักปีกนก ภายในประดิษฐานบัลลังก์จำลอง อาคารฝั่งซ้ายและขวามีไว้สำหรับบุคคลที่รอเข้าเฝ้า ในอาคารมีแผนผังกลุ่มอาคารและห้องต่างๆ มีประวัติศาสตร์พงศาวดารพม่า และมีราชรถจำลองแบบเดียวกันกับที่พระเจ้าบุเรงนองเคยใช้ประทับ
ฐานเดิมของพระราชวังซึ่งสร้างด้วยไม้สักยังคงเหลือซากให้เห็น 
เบื้องหน้าของพระราชวังบุเรงนอง 
ภายในมีท่อนไม้สักที่ใช้สร้างพระราชวังแสดงอยู่ด้วย 
บริเวณท้องพระโรงและบัลลังก์พระที่นั่ง
ราชรถจำลองที่เคยใช้งานในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง

ประวัติของพระเจ้าบุเรงนองโดยสังเขป

                ด้านหน้าของพระราชวังยังมีปืนใหญ่จำลองด้วย ที่นี่เองทำให้เราได้พบกับกลุ่มคนไทยที่แบกเป้ท่องเที่ยวและเดินทางมาจากกรุงย่างกุ้งเช่นกัน เสียดายที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยกัน และเราได้พบกับวัยรุ่นพม่าที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มาท่องเที่ยวที่นี่ งานนี้จึงไม่มีคำว่าช่องว่างระหว่างวัยทุกคนทำตัวกลมกลืนกันไปหมด ไปไหนเฮนั่นไม่มีอุปสรรคใดๆในด้านภาษา แต่ทุกคนก็พอจะสื่อสารกันเข้าใจ งานนี้จึงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ฝากความประทับใจเอาไว้เล็กๆน้อยๆ ก่อนที่เราจะส่งพวกเค้ากลับทางรถสองแถวแล้วเราก็ออกเดินทางต่อ
เพื่อนซี้ต่างวัยชาวพม่าที่เจอกันโดยบังเอิญ 
ดูซิข้าวยำตามแบบฉบับพม่าน่าทานเชียว 
งานนี้ไม่มีคำว่าช่องว่างระหว่างวัย 
เหมารถสองแถวเที่ยวย่อมจ่ายถูกกว่ารถแท็กซี่หรือรถตู้แน่นอน

ปืนใหญ่หน้าพระราชวัง

          วัดพระธาตุมุเตา (Shwemawdaw Pagoda) หรือวัดชเวมอดอว์พะยา (ออกเสียงตามแบบพม่า) เป็นเจดีย์ที่สูงและใหญ่ที่สุดประจำเมืองพะโค  ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพะโค ตำนานเดิมมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับ ณ เขา มะถุละ  ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหงสาวดี มีชายสองคนพี่น้องได้มาเข้าเฝ้า และฟังธรรมเทศนาจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา พระพุทธเจ้าจึงประทานพระเกศาให้คนละเส้น แล้วให้นำไปประดิษฐานที่เขา ทั้งสองจึงสร้างเจดีย์สูง 25เมตร เส้นรอบฐาน 125เมตร ขึ้นมา เพื่อนำพระเกศาไปบรรจุไว้ ซึ่งปัจจุบันก็คือเจดีย์ชเวมอดอว์ในปัจจุบัน
เจดีย์ชเวมอดอว์หรือพระธาตุมุเตาและสิงห์เฝ้าประตูเข้าวัด 

               ในสมัยพระเจ้าปุดงได้มีการต่อเติมพระธาตุให้สูงขึ้นไปถึง 108 เมตร และขยายฐานออกอีกด้านละ 53 เมตร แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2473 ครั้งนั้นได้ส่งผลให้ยอดเจดีย์พังทลายลงมาทั้งหมด ซึ่งน่าประหลาดใจที่ตรงส่วนยอดที่หักพังลงมานั้นไม่ป่นละเอียด หากแต่คงสภาพเดิมไว้ทั้งปลียอดเจดีย์ ทางวัดจึงเก็บรักษาไว้ให้ชาวบ้านได้กราบไหว้ขอพร  และได้มีการบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 ที่เห็นเป็นองค์เจดีย์เยี่ยงปัจจุบันที่มีความสูง 125 เมตร

ยอดเจดีย์ที่หักพังลงมาทางรัฐบาลพม่าได้คงสภาพเดิมนั้นไว้ 
 เบื้องหลังของสิงห์คู่ขนาดใหญ่สัญลักษณ์ของวัด 

                บริเวณทางเข้าพระธาตุมุเตาจะเห็นสิงห์คู่ขนาดใหญ่สองตัวตั้งขนาบซ้ายและขวาขององค์เจดีย์ จุดนี้จะสามารถถ่ายรูปเจดีย์ได้เต็มองค์ จุดทางเข้าจะมีดอกไม้บูชาพระจำหน่าย และให้แสดงบัตรเข้าชม พร้อมกับเสียค่าธรรมเนียมนำกล้องถ่ายรูปเข้า 300 จ๊าด และตู้รับฝากรองเท้า จากนั้นเราต้องเดินขึ้นบันได เพื่อไปสักการะพระพุทธรูปทั้งสี่พระองค์
 หนุ่มพม่าขายบาเยียและเด็กขายดอกไม้บริเวณทางเข้าวัด 
 อาคารธรรมศาลามีสัญลักษณ์หงส์ของชาวมอญ
บริเวณจุดรับฝากรองเท้าก่อนเข้าวัด
                ถึงแม้ว่าบริเวณลานด้านบนของเจดีย์ชเวมอดอว์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเฉกเช่นเจดีย์ชเวดากอง แต่ก็คงไว้ซึ่งตวามขลังของยอดเจดีย์ที่หักพังลงมา ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเข้าไปกราบไหว้บูชาและถ่ายรูป เสียงประกาศดังก้องเป็นภาษาพม่าในบริเวณวัด เราเดินตามเสียงนั้นถึงได้รู้ว่านั่นคือโต๊ะรับเงินทำบุญจากชาวพุทธซึ่งมีการออกใบอนุโมทนาบัตรเป็นภาษาพม่าให้ด้วย พวกเราพากันทำบุญแล้วเก็บใบอนุโมทนาบัตรเป็นที่ระลึกออกมา ก่อนที่จะเดินทางไปยังวัดพระนอนชเวตาเหลียวเป็นแห่งต่อไป
ด้านบนของลานเจดีย์ชเวมอดอว์ 
แม้แต่เหล่าบรรดาข้าราชการก็ยังมาไหว้พระขอพรกันที่นี่ 
ทำบุญเสร็จแล้วอย่าลืมตีเหล็กให้ดังนะ เสียงกังวานเชียว  
เหล่ามัคทายกอวยพรให้โชคเป็นภาษาพม่าหลังจากที่เราทำบุญเสร็จ 

          วัดพระนอนชเวตาเหลียว (Shwethalyaung Buddha) หรือพระนอนชเวเลยอง (ออกเสียงตามแบบพม่า) คนไทยออกเสียงเพี้ยนจนกลายเป็นพระชเวตาเหลียว เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ที่เรียกว่าเป็นแบบ สีหไสยาสน์ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่นอนตะแคงด้านขวานั่นเอง  พระองค์นี้ยังมีผู้นับถือบูชามากกว่าพระนอนเจ๊าทัตจีในกรุงย่างกุ้งเสียอีก ถึงแม้ขนาดจะเล็กกว่าและความงดงามอลังการจะสู้ไม่ได้ก็ตาม องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร สร้างขึ้นโดยพระเจ้าเมงกะดิปะที่1 (Migadippa I) ในปี พ.ศ. 1537 และถูกทิ้งร้างมานานกว่า 500 ปี จนต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมเสียสิ้น จนถึงปี พ.ศ. 2449 คณะคนงานสร้างรางรถไฟของอังกฤษจึงได้ค้นพบอีกครั้งหลังจากที่ถูกปล่อยให้ผุพังมานาน จึงได้ถางต้นไม้ออกและสร้างโรงหลังคาเหล็กขึ้นครอบองค์พระไว้ และบูรณะอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2491
ถนนปากทางเข้าวัดชเวตาเหลียว 
 บริเวณหน้าวัดชเวตาเหลียว
องค์พระนอนชเวตาเหลียวปางสีหไสยาสน์

        บริเวณบันไดทางเข้าวัดสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก มีทั้งงานไม้แกะสลัก โปสการ์ด ภาพวาดภาพเขียนสีต่างๆ รวมไปถึงสร้อยประคำและกำไลหยก สนนราคาก็ย่อมเยาและต่อรองราคาได้ เราสามารถซื้อสร้อยประคำหยกไปให้คนที่ชอบนั่งสมาธิได้ที่นี่ เมื่อขึ้นบันไดมาถึงฐานองค์พระแล้ว สำหรับคนที่พกกล้องถ่ายรูปมาจะต้องเสียค่าธรรมเนียมถ่ายรูปกล้องละ 300 จ๊าด  จากนั้นให้เดินไปที่พระบาทของพระนอนก่อนเพื่อชมการประดับประดาแก้วนานาชนิด จากนั้นค่อยชมองค์พระโดยรอบ วัดพระนอนชเวตาเหลียวแห่งนี้มีคนไทยเข้ามาบริจาคเงินมากมาย โดยสังเกตได้จากฐานพระที่มีชื่อคนไทยและบริษัทห้างร้านต่างๆ สลักชื่อเป็นรายนามผู้มีจิตศรัทธาเต็มไปหมด
 ลายพระบาทอันงามวิจิตรกรุด้วยกระจกสีสวยงาม
 ความละเอียดอ่อนช้อยขององค์พระนอน 
รายนามผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินมีชื่อคนไทยอยู่ด้วย
ความละเอียดอ่อนช้อยของแท่นบรรทมกรุด้วยกระจกสี 
ร้านขายของที่ระลึกตลอดสองข้างทางขึ้นวัด

         และแล้วก็ได้เวลาที่พวกเราต้องเดินทางกลับกรุงย่างกุ้ง ยังมีพระนอนอีกองค์ที่ตั้งอยู่ติดกับพระนอนชเวตาเหลียว แต่ต่างกันตรงที่พระนอนองค์นี้ประดิษฐานกลางแจ้งมีชื่อว่า Naung  Daw Gyi Mya Tha Lyaung มีขนาดใหญ่โตกว่าพระนอนชเวตาเหลียวมาก แต่เราไม่ได้เข้าชมเพราะฝนเทลงมาหนักทีเดียว
องค์พระนอนกลางแจ้งขนาดใหญ่กว่าพระนอนชเวตาเหลียว

             ระหว่างทางกลับถึงเมืองย่างกุ้งคุณไกด์ชี้ให้ดูถนนที่ทางแยกซึ่งเป็นทางไปยังเมืองหลวงของประเทศพม่าแห่งใหม่ ซึ่งคือกรุงเนปีดอว์ ทราบมาว่าพวกเราสามารถเดินทางผ่านไประหว่างวันได้ แต่ทางการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวค้างแรมแม้สักคืนเดียว คงเป็นกฏหมายด้านความมั่นคงของเขากระมังมี่ไม่อยากให้ชาวต่างชาติได้เห็นเขตเมืองใหม่ ขากลับรถแล่นใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงรถก็เข้าเขตเมืองย่างกุ้ง ซึ่งฝนตกพรำๆตลอดทาง คุณไกด์ชี้ให้ดู ทะเลสาบอินยา (Inya Lake) ที่ถึงแม้ว่าฝนจะตกแต่ก็ยังเต็มไปด้วยคู่วัยรุ่นหนุ่มสาวมานั่งจู๋จี๋กันท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นใจ  เมื่อกลับถึงที่พักเราต้องไม่ลืมที่จะจ่ายค่าเหมารถทั้งวันในราคา 70 ดอลล่าร์ด้วย
ทะลสาบอินยา (Inya Lake) 
คอนโดฯ หรูใจกลางกรุงย่างกุ้ง 
โรงแรมชื่อดังใจกลางกรุงย่างกุ้ง

             เมื่อกลับถึงที่พักก็ได้เวลาออกไปเดินช้อปปิ้งอิสระ เราเดินไปตามถนนเจดีย์สุเล เพื่อเดินหาซื้อซีดีเพลงพม่า อันนี้เราสอบถามจากพนักงานโรงแรมแล้วว่าตั้งขายอยู่ย่านไหนบ้าง เพราะเจ๊หลงไหลได้ปลื้มนักร้องพม่าคนหนึ่งมากซึ่งเขาจะร้องเพลงแนวเพื่อชีวิตแต่ก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว เราแวะชิมก๋วยเตี๋ยวพม่าข้างทางซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวแบบมังสวิรัติใส่เต้าหู้และถั่วแผ่นทอดกรอบบิลงไปแทนเกี๊ยว ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยแผงขายอาหารข้างทาง แผงขายของไม่ต่างกับตลาดนัดริมทางบ้านเรา เมื่อเจ๊ได้ซีดีเพลงสมใจแล้วซึ่งราคาแทบไม่ต่างกับซีดีเพลงแม่สายเท่าไหร่  เราจึงพากันไปทานอาหารพื้นเมืองพม่าที่ร้านขนมหวานแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง
ภัตตาคารและค็อฟฟี่ช็อปใจกลางเมือง

                ร้านนี้ลักษณะเป็นภัตตาคารดูสะอาดตาทีเดียวชื่อร้าน Let Ywe Sin เราสั่งก๋วยเตี๋ยวผัดแห้งแบบพม่ามาทาน ซึ่งเขาได้เอาไข่ไปคลุกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วย รสชาติจะออกมันและเค็มเป็นหลัก จากนั้นเราก็สั่งคาราเมลคัสตาร์ดมาทานกันต่อ ปรากฏว่ารสชาติอร่อยจนต้องยกนิ้วให้และซื้อกลับมาทานที่โรงแรมกันอีก พรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางกลับเมืองไทยกันแล้ว ดังนั้นทั้งวันของพรุ่งนี้จึงเป็นวันช้อปปิ้งอิสระ อยากไปไหนก็ได้ตามใจฉัน
ตอนต่อไปจะกลับมาเที่ยวย่างกุ้งอีกครั้ง ช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองที่ตลาดโบซ่กอ่องซาน และชมสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษใจกลางเมือง





วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวพะโค ตอนที่ 1 ชมพระธาตุไจ่ปุ๊น พระพุทธรูป 4หน้า แวะโรงเรียนสอนธรรมะ และชมระบำพื้นเมืองรำถวายนัต (Kyaikpun Temple)

       
               เช้าวันนี้ทางโรงแรมโอกินาว่าทำอาหารเช้าให้ทานเป็นมะตะบะไข่ หน้าตาน่าทานเชียว เมื่อกัดลงไปแล้วเนื้อนุ่มและหอมมากๆ ไม่มีความคาวเลยสักนิด ทานเสร็จเราก็พร้อมออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งด้วยพาหนะพร้อมคนขับคู่ใจคนเดิม แต่เหมือนวันนี้รถจะไม่ค่อยเป็นใจให้เดินทางด้วยว่าเกิดอาการติดๆดับๆบ่อยครั้ง จนคนขับรถเริ่มหัวเสียตระเวนขับรถไปตามช่างซ่อมรถเสียรอบเมือง แต่ความพยายามต่างๆก็ไร้ผลไม่มีช่างอยู่ตามอู่บ้างเลย พวกเราต้องคอยปลอบใจเค้าว่าอย่าไปคิดมากอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าเราคิดดีทำดีอุปสรรคต่างๆย่อมกลายเป็นเรื่องเล็ก คนขับเริ่มใจเย็นลงแล้วบอกกับเราว่าจะพยายามประคับประคองรถให้ไปตลอดรอดฝั่งให้จงได้
มะตะบะไข่สุดอร่อย อาหารเช้าของโรงแรม

                รถเลี้ยวเข้าเติมน้ำมันในสถานีบริการแห่งหนึ่ง เราควักกล้องขึ้นมาถ่ายราคาน้ำมันโดยลืมไปเสียสนิทว่าที่นี่เขาห้ามถ่ายภาพภายในสถานีบริการน้ำมันทุกชนิด จนเด็กปั๊มร้องห้ามช้าไปเสียแล้ว เราถ่ายติดออกมาเต็มๆเลย
 อีกหนึ่งสถานที่ต้องห้ามในการถ่ายรูปนั่นคือสถานีบริการน้ำมัน

หัวจ่ายบอกราคาไว้เสร็จสรรพ

                เมืองพะโค (Bago) ตั้งอยู่ทางเหนือของกรุงย่างกุ้งขึ้นไปประมาณ 80 กิโลเมตร การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือการเช่ารถแท็กซี่แบบพร้อมคนขับและการนั่งรถประจำทางครับ แต่ขอแนะนำให้ใช้วิธีแรกจะดีกว่า เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางจุดก็ไม่มีรถโดยสารวิ่งผ่าน นั่งรถหลายต่อขี้คร้านราคาจะพอๆกัน
 สภาพท้องถนนเมืองพะโคในยุคปัจจุบัน
บางจุดของเมืองพะโคได้กลายเป็นถนนสายแฟชั่น

                เมืองพะโค (Bago) หรือชื่อเดิมคือเมืองหงสาวดี ซึ่งประวัติความเป็นมาของชื่อเมืองหงสาวดี นั้นเริ่มจากปีพ.ศ. 2116 มีเจ้าชายชนชาติมอญ 2พระองค์ ทอดพระเนตรเห็นหงส์ตัวเมียเกาะอยู่บนหงส์ตัวผู้กลางทะเลสาบ และคิดว่าภาพที่เห็นเป็นนิมิตที่ดี จึงได้สถาปนาราชธานีขึ้น แล้วขนานนามว่า เมืองหงสาวดี หรือเมืองพะโคในปัจจุบัน โดยใช้หงส์สองตัวเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจนถึงทุกวันนี้
                ภายหลังจากที่อาณาจักรพุกามเสื่อมลง ชาวมอญทางตอนใต้ที่เมืองเมาะตะมะได้ตั้งตนเป็นใหญ่ มีกษัตริย์ปกครองพระองค์แรกคือ มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว นั่นเอง พระองค์ได้สถาปนาเมืองหงสาวดีเป็นราชธานีของรัฐมอญ จนกระทั่งพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ กษัตริย์พม่ายกทัพมารุกรานและยึดครองได้ในที่สุด และสถาปนาขึ้นเป็นเมืองศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู เจริญรุ่งเรืองสุดขีดในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งในยุคนั้นได้มีการสร้างพระราชวังอย่างยิ่งใหญ่  ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่กรุงอังวะแทน เพราะเมืองหงสาวดีถูกพวกชนชาติยะไข่เผาทำลาย
รถบรรทุกคนแบบปลากระป๋องยังคงมีให้เห็นเสมอในพม่า

วัดพระธาตุไจ่ปุ๊น (Kyaikpun Temple) คือจุดหมายแรกที่แวะจอด หลังจากที่นั่งรถจากย่างกุ้งมาร่วมสองชั่วโมง จุดเด่นของวัดไจ่ปุ๊นคือ พระพุทธรูปสี่หน้า ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาอายุกว่า 500 ปี ผู้สร้างคือพระธรรมเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ. 2019 ลักษณะเจดีย์เป็นแกนทึบสี่เหลี่ยมตรงกลางและมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยล้อมรอบทั้งสี่ทิศ ซึ่งสูงกว่า 30 เมตร พระพุทธรูปทั้งสี่นั้นแทนองค์สมเด็จพระสมณโคดม พระโกนาคมน์ พระกกุสันธะ และพระกัสสปะ
 ด้านหน้าของวัดพระธาตุไจ่ปุ๊นไม่มีผู้คนเลย
พระพุทธรูปปางมารวิชัยทั้งสี่ทิศ

                เคยมีตำนานเล่าว่า พระธิดากษัตริย์ทั้งสี่องค์ของกษัตริย์มอญที่อุทิศตนแก่พระศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และสาบานไว้ว่าจะไม่แต่งงาน แต่ธิดาองค์สุดท้องก็ได้ผิดคำสาบานด้วยการไปแต่งงานมีครอบครัวจึงเกิดอาเพศขึ้น บางตำนานได้เล่าว่าเกิดฟ้าผ่าลงมาที่องค์พระที่ธิดาองค์สุดท้องสร้างขึ้นจนพังทลาย บ้างก็ว่าพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2473
หน้าองค์พระไจ่ปุ๊นก็มีพระประจำวันเกิดให้สรงน้ำเช่นเดียวกันกับวัดอื่นๆ

วิหารเทพทันใจสำหรับผู้ที่ต้องการขอพรแบบเร่งด่วน

                อย่างไรก็ตามพระพุทธรูปทิศที่พังทลายก็ได้มีการบูรณะฟื้นฟูกันใหม่ ซึ่งจะมีลักษณะใหม่แปลกตาจากองค์อื่นๆ เพราะเป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบพม่า ที่วัดแห่งนี้มีจุดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวเขียนเป็นภาษาไทยสำหรับค่าเข้าชมและค่ากล้อง โดยค่าธรรมเนียมนำกล้องเข้าสำหรับชาวต่างชาติ 300 จ๊าด และค่ากล้องวีดิโอ 500 จ๊าด  นอกจากนี้ยังมีบัตรเข้าชมสถานที่สำคัญ 4 แห่ง ภายในวันเดียว ราคา 10 ดอลล่าร์ สามารถเข้าชมวัดไจ่ปุ๊น วัดพระธาตุชเวมอดอว์ (พระธาตุมุเตา) วัดพระนอนชเวตาเหลียว และพระราชวังบุเรงนอง โดยสามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวันสำหรับสถานที่สี่แห่งนี้
ทำบัตรชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสี่แห่งของเมืองพะโคได้ที่นี่
ค่าธรรมเนียมการนำกล้องเข้าไปถ่ายรูปสถานที่

                เนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว วัดแห่งนี้จึงมีแต่เราสองคนเท่านั้นที่เข้าไปสักการบูชา ประมาณว่าวัดนี้เปิดไว้เพื่อต้อนรับเราแค่สองคน ซุ้มศาลาด้านหนึ่งของวัดมีเทพทันใจไว้ให้ผู้คนเข้าไปกราบไหว้ขอพรด้วย เมื่อเดินลงมาด้านล่างก็จะพบกับร้านขายของที่ระลึกพวกงานไม้แกะสลัก รองเท้าแตะ และเครื่องสำอางทาหน้าที่เรียกว่า ทานาคา (Thanaka)
 ของที่ระลึกจำพวกงานไม้แกะสลักวางขายหน้าวัด
ท่อนไม้ทานาคาขายแบบดิบๆ ให้เอาไปฝนแป้งเอง

พ่อค้ากำลังเชียร์ขายแป้งทานาคา

ทานาคา (Thanaka) เป็นแป้งที่ได้มาจากการฝนจากไม้ทานาคา ให้ผงแป้งสีเหลืองนวล เมื่อจะนำมาใช้หากเป็นท่อนไม้ทานาคาดิบให้นำไปฝนกับแท่นหินเพื่อให้ผงทานาคาหลุดออกมา จากนั้นค่อยนำไปผสมกับน้ำเพื่อทาหน้าดังรูป หากไม่อยากเสียเวลาฝนก็จะมีแป้งทานาคาที่ฝนแล้วเป็นตลับให้ควักแล้วนำไปผสมน้ำ และยังมีแท่งทานาคาแบบชอล์กอีกด้วย วิธีใช้ก็ยิ่งง่ายกว่าเดิมแค่นำปลายชอล์กไปจุ่มน้ำแล้วหยิบขึ้นมาแต้มปาดที่ข้างแก้มได้เลย  ซึ่งแป้งทานาคานั้นจะปรากฏบนใบหน้าของสตรีพม่าเท่านั้น หนุ่มๆ อย่าเผลอเอาไปทานะไม่เช่นนั้นจะถูกเข้าใจผิดแน่ๆ และสตรีพม่าเขาก็แต้มทานาคาแค่พวงแก้มทั้งสองข้างเท่านั้น ไม่ค่อยจะมีใครทาทั้งหน้าเท่าไหร่ เพราะสีแป้งนั้นเหลืองอร่ามมากๆ
 เด็กสาวสาธิตการฝนไม้ทานาคากับแผ่นหิน
ใบหน้าที่แต้มทานาคาแบบชอล์กจะเป็นขีดแบบนี้

เสร็จจากวัดพระธาตุไจ่ปุ๊น พ่อคนขับพาพวกเราไปยังโรงเรียนนักธรรมแห่งหนึ่ง ที่นี่ไม่ใช่วัดไจ๊ก์คัดไวที่ใครๆก็ไปกัน หากแต่ที่นี่เงียบสงบกว่ามาก มีพระภิกษุและสามเณรเรียนหนังสือกันที่นี่โดยมีอาจารย์ผู้สอนเป็นพระภิกษุ การเรียนการสอนที่นี่เน้นการอ่านออกเสียงให้ดังๆ คล้ายกับว่าเมื่อได้อ่านออกเสียงแล้วสมองก็จะจดจำได้ดียิ่งขึ้น
พระภิกษุผู้เป็นทั้งอาจารย์และพระกำลังสอนหน้าชั้น

เหล่านักเรียนสามเณรน้อยกำลังอ่านออกเสียงเป็นภาษาพม่า

หนังสือเรียนของเณรจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อการเรียนการสอนเสร็จสิ้นลงในช่วงสิบเอ็ดโมง ก็ถึงเวลาที่ท่านทั้งหลายจะต้องฉันเพล ท่านเหล่านั้นจะต้องไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำก่อนแล้วเปลี่ยนสบงจีวรกลับมานั่งอย่างพร้อมเพรียงกันที่โรงอาหาร ซึ่งทุกท่านจะฉันเพลพร้อมกันโดยไม่มีเสียงสนทนาใดๆระหว่างเพลมื้อนั้นเลย  นับเป็นการฝึกพระวินัยที่ไม่แพ้ชายชาติทหารเลยทีเดียว
 หลังจากอาบน้ำเสร็จก็มุ่งหน้าสู่โรงอาหารเพื่อฉันเพลทันที
ทุกท่านฉันเพลโดยพร้อมเพรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

หลังจากนั้นคุณไกด์ผู้ใจดีได้ขับรถพาพวกเรามาวัดอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นวัดพื้นเมืองชื่อวัด Hinthakone Hill หรือวัดฮินต่ากงอยู่ในเขต Hanthawaddy เมืองพะโค เมื่อรถจอดที่หน้าวัดเราได้ยินเสียงคนตรีและเสียงขับร้องคล้ายการร่ายรำ เค้าบอกว่าที่นี่จัดงานประจำปีอยู่ เป็นงานฟ้อนถวายนัต (เทวดา) ที่ปกปักษ์รักษาวัดแห่งนี้ มิน่าล่ะ เราจึงเห็นชาวบ้านทั้งใกล้และไกลเหมารถใหญ่กันมาเต็มคันรถคล้ายงานทอดผ้าป่าบ้านเรา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นบนเนินเขาสูง เราต้องขึ้นบันไดไปไกลพอสมควร
ทางขึ้นวัดมีตู้รับฝากรองเท้าและบริการน้ำดื่มจากหม้อดินคล้ายกับภาคเหนือของเรา

ฝนใกล้ตกเมื่อมองจากวัดจะเห็นเจดีย์ชเวมอดอว์เหลืองอร่าม

สาวประเภทสองร่ายรำตามแบบนาฏศิลป์พม่า
เมื่อขึ้นไปจนสุดเราได้เห็นศิลปะการร่ายรำแบบพม่า มารู้ทีหลังว่านี่คือการรำฟ้อนถวายนัต ผู้รำเป็นสาวประเภทสองทั้งหมด หน้าพิธีมีเครื่องเซ่นบูชามากมายเป็นผลไม้และขนมหวานทั้งหมด  ทำนองเพลงฟ้อนรำนั้นค่อนข้างโหยหวนจนบางครั้งฟังแล้วน่ากลัว เสียงกลองประโคมดังและถี่สอดรับกับเสียงร้อง เครื่องดนตรีก็ดูคล้ายกับเครื่องดนตรีของไทย ที่ผ้าโพกศรีษะของนางรำมีธนบัตรต่างๆเสียบอยู่ด้วย คุณเจ๊ชอบใจเลยนำแบ๊งค์ดอลล่าร์ไปเสียบด้วยเหล่านางรำดีใจกันใหญ่ พวกเธอร่ายรำสลับดูดยาเส้นมวนกลาง เราดูอยู่ได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ มืดมิดชนิดที่มองไม่เห็นบ้านเรือนภายนอกเลย เราต้องรอจนฝนซาแล้วจึงค่อยเดินลงบันไดเพราะกลัวลื่นเพื่อลงไปที่รถของเราด้านล่าง
วงดนตรีคล้ายกับดนตรีของไทย ผิดแต่ว่าชิ้นใหญ่มาก

เหล่านางรำจะมีผู้กำกับนาฏศิลป์ด้วย

 การบูชานัตหรือเทวดาจะบูชาด้วยการฟ้อนรำรวมไปถึงผลไม้และขนมหวาน

อุโบสถหลักของวัดแห่งนี้
ฝนตกหนักจนน้ำท่วมขังเมืองพะโคเป็นบางจุด คนขับกำลังพาพวกเราเลือกร้านอาหารซึ่งมีอยู่หลายร้าน บางร้านน่านั่งทานแต่ติดที่น้ำท่วม บางร้านก็แลไม่สะอาด สุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งขายอาหารสไตล์จีน พวกเราเลยสั่งข้าวผัดไก่ และหมี่ผัดไก่มาอย่างละจาน เพราะที่นี่เค้าทำอาหารกันจานใหญ่มาก และผัดมาชนิดน้ำมันท่วมจานเลย รสชาติจึงไม่อร่อยเท่าที่ควร แต่ได้น้ำซุปร้อนๆ ซดแก้เลี่ยนได้บ้าง สนนราคาอาหารมื้อนี้ 5,700 จ๊าด

 เราต้องเชิญคนขับแสนใจดีมาร่วมรับประทานด้วย
ข้าวผัดไก้ตามสไตล์พม่าพร้อมน้ำซุปและอาจาดเป็นเครื่องเคียง 
หมี่ผัดไก่ก็มากับน้ำซุปและอาจาดเช่นกัน

 
ตอนต่อไปจะพาทุกท่านชมพระราชวังบุเรงนองที่สร้างขึ้นมาใหม่จากฐานเดิม วัดพระธาตุมเตาและพระนอนชเวตาเหลียวครับ