วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แบกเป้เที่ยวยอกยาการ์ต้า เมืองแห่งอารยธรรมฮินดูโบราณ ชมการแสดงรามายณะ (Welcome to Yokyakarta, Ramayana Ballet)

เครื่องใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงเศษก็นำพวกเราทั้งสามร่อนลงสู่เมืองยอกยาการ์ต้า (Yokyakarta) ที่สนามบิน Adisucipto International Airport (JOG) อยู่ห่างนอกเมืองไปทางตะวันออก 8 กิโลเมตร คนพื้นเมืองมักจะเรียกชื่อเมืองสั้นๆว่า ยอกยา (Yokya) หรือ Jogja ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองที่เล็กที่สุดในเกาะชวา มีประชากรเพียง 500,000 กว่าคนเท่านั้น แต่เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาที่สุดเพราะเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่นักท่องเที่ยวที่หน้าตาไม่กลืนไปกับคนพื้นที่อย่างพวกเราเดินทางไปไหนมาไหนก็มักจะมีบรรดาสารถี และไกด์ผีทั้งหลายคอยล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด
นกเหล็กหางแดงจอดนิ่งที่ Yokyakarta 
Adisucipto International Airport (JOG)  
ที่อาคารผู้โดยสารมีการสาธิตการทำผ้าบาติกด้วย

             ทุกครั้งที่ต้องเดินทางตามลำพังแบบไม่ง้อทัวร์ อย่าลืมขอแผนที่เมืองนั้นๆตั้งแต่ที่สนามบิน แล้วเราจะไม่ค่อยพลาด ครั้งนี้เราก็ได้หยิบแผนที่เล็กๆมากันอีก และได้สอบถามเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ให้บริการว่าจะเดินทางเข้าเมืองได้อย่างไร เธอแนะนำให้นั่งรถเมล์แอร์เข้าไป ราคาแค่คนละ 3,000 รูเปียห์ เท่านั้น ต้องบอกจุดที่จะลงปลายทางว่าไป มาลิโอโบโร (Jl Malioboro) ซึ่งเป็นย่านที่มีโรงแรมที่พักเป็นจำนวนมากและราคาไม่แพง
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวทุกสนามบินจะมีแผนที่แจกให้บริการ 
คาเฟ่เล็กๆหน้าสนามบิน 
แผนที่เมืองยอกยาการ์ต้า
                  รถประจำทางไม่ได้ปล่อยลงตรงกับย่านที่พักเสียทีเดียว เราต้องเดินลากกระเป๋าเพื่อข้ามทางรถไฟไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะถึงย่านถนนที่มีมี่พักเยอะๆ ตรงจุดนี้แหละที่พวกเราเริ่มเนื้อหอมขึ้นมาทันที ทั้งบรรดาแท็กซี่,รถรับจ้าง,นายหน้าหาที่พักเริ่มเดินปรี่เข้ามานำเสนอบริการ ซึ่งพวกเค้าก็จะพาไปหาแต่โรงแรมที่มีค่านายหน้าให้เท่านั้น แล้วโรงแรมที่เค้าพาไปห้องพักคุณภาพไม่สู้ดีนัก ที่เข้าตากรรมการหน่อยเห็นจะมี Malioboro Inn ตั้งอยู่ถนน Sosrowijayan ซึ่งบรรยากาศจะคล้ายกับถนนข้าวสาร เป็นย่านที่พัก เกสต์เฮ้าส์ที่มีแต่ชาวต่างชาติอยู่ ห้องพักดีแต่ราคาแพงคืนละ 500,000 รูเปียห์ ยังไม่รวมเตียงเสริม จองห้องพักได้ที่ http://www.malioboroinn.com/  ในขณะที่อีกโรงแรมหนึ่ง Gloria Amanda Hotel ที่ตั้งอยู่เยื้องๆกันแต่เดินเข้าไปในซอยนั้นราคาย่อมเยากว่า ห้อง 3 เตียง ราคาห้องละ 400,000 รูเปียห์ต่อคืน พร้อมอาหารเช้าและฟรี Wifi  จองห้องพักล่วงหน้าได้ที่ http://www.gloriaamanda-hotel.com/
       
ลากกระเป๋าผ่านร้านรับทำตรายาง 
รถไฟอะไรโบกี้สีม่วงน่ารักเชียว 
ใครอยากไฮโซก็มาพักที่นี่นะ Malioboro Inn 

ภายใน Malioboro Inn
Malioboro Inn  ยามค่ำคืน 
แผนที่โรงแรม Gloria Amamda 
ประเภทห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม 
Gloria Amanda Hotel

          เก็บข้าวของเสร็จก็เดินออกหาบริษัท Agency Tour เพื่อหาซื้อทัวร์ไปเที่ยวบุโรพุทโธ ปรามบานัน และภูเขาไฟ ซึ่งบนถนน Sosrowijayan นั้นมีบริษัทนำเที่ยวตลอดรายทางรวมไปถึงร้านรับแลกเงินด้วย เราเลือกบริษัท Ari Tour เพราะเห็นว่าราคาไม่แพง ค่าทัวร์ 1วัน นำเที่ยวบุโรพุทโธและปราสาทปรามบานัน ราคาเพียงท่านละ 85,000 รูเปียห์  ติดต่อจองทัวร์ล่วงหน้าได้ที่ ari_transport@yahoo.com แต่คืนนี้พวกเรายังไม่เหนื่อยเลยขอซื้อตั๋วไปชมการแสดงรามายณะ หรือที่เรียกว่า Ramayana Ballet ซึ่งค่าตั่วเข้าชมนี้ราคาท่านละ 160,000 รูเปียห์ รวมบริการรถรับส่ง ซึ่งการแสดงจะเริ่มขึ้นเวลา 20.00 21.30 น. รถจะมารับพวกเราในเวลาทุ่มครึ่ง
Agency Tour : Ari Tour ที่เราวางใจ 
พนักงานขายทัวร์อธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว

         ถนนข้าวสารแห่งยอกยาการ์ต้ามีของกินราคาประหยัดตลอดสองข้างทาง มีทั้งรถเข็นสะเต๊ะ บะหมี่ ข้าวแกง แต่จุดมุ่งหมายของเราคือถนน Malioboro ที่เป็นตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์บาติกทุกชนิด ถนนสายนี้มีของขายตั้งแต่สายยันดึก ราคาบอกผ่านค่อนข้างแพงต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวต่อราคากันเอาเอง มื้อเย็นของพวกเราเป็นร้านอาหารตามสั่งนั่งทานกับพื้นที่ปูด้วยเสื่อแบบที่ชาวบ้านเขานั่งทานกันชื่อร้านPojok อาหารอินโดนีเซียแท้ๆที่เราสั่งกันมาก็มีทั้ง ข้าวหุงด้วยกะทิ (Nasi Uduk) สะเต๊ะเนื้อแพะ (Satay Kambing) ไก่ทอดชวา ไก่ต้มใส่ขนุนอ่อน เต้าหู้ทอด ฯลฯ อาหารมื้อนี้รสชาติงั้นๆ หมดไปทั้งหมด แสนกว่ารูเปียห์
ร้านกับข้าวตามสั่งแบบข้างทางนั่งกินกับพื้น 
เมนูน่าทานทั้งนั้น แต่ไม่มีภาษาอังกฤษเลย 
สะเต๊ะเนื้อแพะ  
จานนี้คล้ายไก่กอแระแต่ใส่ไข่ต้มและขนุนอ่อนต้มมาด้วย 
กับข้าวทั้งหมดที่สั่งไม่มีน้ำแกงให้ซดร้อนๆเลย

              ได้เวลาไปชมการแสดงรามายณะ รถตู้มารับพวกเราตรงเวลาที่หน้าบริษัททัวร์ พร้อมกับแหม่มฝรั่งอีก2คน รวมกันเป็น5คนที่ได้ไปชมการแสดงคืนนี้ โรงละครที่เราจะไปชมกันมีชื่อว่า Purawisata ตั้งอยู่ที่ Jl. Brigjend Katamso ติดต่อจองที่นั่งชมการแสดงได้ที่ http://www.purawisatajogja.com/ เป็นโรงละครกลางแจ้งที่นั่งเป็นอัฒจันทน์ ถ้าวันไหนฝนตกคงต้องกางร่มชมการแสดงไป ด้านหน้าเป็นภัตตาคารบุฟเฟ่ต์ สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วเข้าชมรวมค่าอาหารด้วยจะต้องนั่งทานกันก่อนแล้วค่อยเข้าไปชมการแสดงด้านใน ตรงจุดตรวจตั๋วเข้าชม เค้าจะมีเรื่องย่อของรามายณะเป็นภาษาต่างๆ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวด้วยสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีพื้นฐานเรียนวรรณคดีมาก่อน แต่สำหรับคนไทยด้วยแล้ว เราคงจะเคยเรียนรามเกียรติมาบ้างจากวิชาภาษาไทย
ได้เวลาเข้าชมการแสดงรามเกียรติภาคอิเหนากันแล้ว 
เครื่องดนตรีประกอบการแสดงครบครัน 
ตั๋วเข้าชมการแสดง 1วัน มีรอบเดียวเท่านั้นนะ

         การแสดงเริ่มตรงเวลาขึ้นต้นด้วยการไหว้ครูตามพิธีพราหมณ์พร้อมเสียงขับกล่อมที่เต็มไปด้วยพลังของนักร้องสตรีชาวอิเหนา เมื่อไหว้ครูเสร็จก็เริ่มการแสดงองก์แรกทันที ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งของการแสดงนั้น พวกเราไม่รู้สึกเบื่อสักนิดเพราะศิลปะการร่ายรำนั้นดูขึงขังและสมจริงมากกว่าการแสดงรามเกียรติของคนไทยมากๆ ถึงขนาดที่ว่าฝ่ายที่เล่นเป็นหนุมานและเหล่าวานรทั้งหลายขึ้นไปปีนป่ายบนกำแพงและหลังคาบ้านจริงๆ เขาว่ากันว่าการแสดงรามายณะของประเทศต้นกำเนิดหรืออินเดียนั้นจะดูสนุกและเพลิดเพลินกว่านี้อีก
พ่อหนุมานชาญสมรมารับบัญชาจากพระรามและพระลักษมณ์ 
ลีลาหนุมานปกป้องนางสีดาและควงตะบองไฟ

หลากลีลาขณะบัญชาการรบ 
ลีลาแผลงศร

        การแสดงรามายณะเป็นการแสดงฉบับย่อ ดังนั้นการเดินเรื่องจึงตัดตอนและค่อนข้างไว ถ้าอ่านเรื่องย่อที่เขาแจกก็จะเข้าใจมากขึ้น นับว่าคุ้มค่ากับการเข้าชมมากๆ หลังจบการแสดงบรรดาเหล่านักแสดงก็จะเรียงแถวมาให้ผู้ชมถ่ายรูปแล้วให้ทิปตามอัธยาศัย แล้วเราก็กลับมาขึ้นรถคันเดิมกลับไปยังโรงแรมที่พัก
จุดจบของอธรรมก็ต้องพ่ายแพ้ 
ถ่ายรูปกับนักแสดงเป็นที่ระลึกอย่าลืมว่าต้องให้ค่าทิปเสมอ

ตอนต่อไปพาเที่ยวบุโรพุทโธ (Borobudur) พาชมรายละเอียดทุกซอกทุกมุม








วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย แบกเป้เที่ยวจาการ์ต้า ก่อนพาบินลัดฟ้าสู่เมืองยอร์กยาการ์ต้า National Meseum

แบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย แบกเป้เที่ยวจาการ์ต้า ก่อนพาบินลัดฟ้าสู่เมืองยอร์กยาการ์ต้า (Jakarta- Yokyakarta)

                ตื่นเช้าอย่างสดชื่นห้องพักของ Hotel Magnolia ดีมากๆ หลับไปอย่างสบาย เสียอย่างเดียวที่ทางโรงแรมไม่มีอาหารเช้าให้บริการ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงอิ่มสบายท้องไม่ต้องเดินลากกระเป๋าหลังจากออกจากที่พักเพื่อหาอาหารเช้าเข้าท้อง
                อาหารเช้าวันนี้ในย่านที่เราพักอยู่นั้นมีทางเลือกไม่มากนัก พวกเราเลยลงความเห็นว่าขอทานแบบง่ายๆก็แล้วกัน คือถ้าเจอร้านถูกใจก็หยุดแวะรับประทานได้เลย เราเดินมาเจอร้านอาหารข้างทางที่ไม่เป็นเพิงพอวางใจเรื่องความสะอาดได้ หน้าร้านเป็นรถขายก๋วยเตี๋ยว อาหารที่ขายเป็นรถเข็นที่นี่เขาเรียกว่า วารุง (Warung) ความสะอาดก็ขอให้ใช้สายตาสังเกตเอาเอง เช้านี้พวกเราเลยสั่งอาหารทั้งก๋วยเตี๋ยวทั้งข้าวราดแกงแบบพอประทังให้หายหิวไป ความอร่อยเลิศรสคงไม่ต้องเอ่ยถึงกันอีก เพราะค่าอาหาร 3จานรวมกัน 40,000 รูเปียห์เอง
อิ่มอร่อยกับบะหมี่ยามเช้าข้างทาง 
ข้าวแกงพื้นบ้านแบบอินโดนีเซียนก็มี

           ทานพออิ่มแล้วก็เรียกรถแท็กซี่เพื่อไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (National Museum) เพื่อชมประวัติความเป็นมาของประเทศอินโดนีเซียเสียหน่อย พิพิธภัณฑ์นี่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอนุสรณ์สถานที่มียอดสูงเป็นจุดชมวิวของกรุงจาการ์ต้านั่นแหละ วันเสาร์รถค่อนข้างบางตาค่ารถแท็กซี่จึงถูกกว่าเมื่อวานมาก
National Museum
ตั๋วเข้าชม 10,000 รูเปียห์ คิดเป็นเงินไทย 35 บาท

                National Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลปะมากกว่า 140,000 ชิ้นงาน ซึ่งมีทั้งรูปปั้นแกะสลักหินทราย หินภูเขาไฟ งานสำริด งานศิลปะของชาติพันธุ์ต่างๆตามหมูเกาะน้อยใหญ่ของประเทศ  โบราณวัตถุจากจีน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ฯลฯ เดิมเคยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มประเทศอาเซียน แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว ของที่จัดแสดงส่วนใหญ่จะถูกขุดค้นพบขึ้นในสมัยที่เป็นอาณานิคมชาวดัตช์  ถ้าสนใจเข้าชมก็บอกรถแท็กซี่ได้ว่าตั้งอยู่บนถนน Medan Merdeka Barat ตรงกันข้ามกับ Merdeka Monument ค่าธรรมเนียมเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติท่านละ 10,000 รูเปียห์
รูปปั้นหินโบราณจัดแสดงกลางสวนในพิพิธภัณฑ์ 
ภายในเต็มไปด้วยคณะครูและนักเรียนมาทัศนศึกษา 
ไกด์ท้องถิ่นอาสาอธิบายความเป็นไปภายในพิพิธภัณฑ์ 
แบบบ้านต่างๆของชนพื้นเมือง

มีห้องจัดแสดงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อินโดนีเซีย ด้วยนะ


      เรามีเวลาเดินชมถึงแค่เที่ยงเพราะจะต้องนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบินซูการ์โนฮัตตาอีกครั้งเพื่อขึ้นเครื่องไปลงที่เมืองยอกยาการ์ต้า ก่อนจากลาเมืองจาการ์ต้าเราขอชื่นชมในความซื่อสัตย์ของรถแท็กซี่ที่นี่เสียหน่อย เมื่อเราบอกให้กดมิเตอร์เขาก็ยอมกดแต่โดยดี มีเพียงรถแท็กซี่ที่รับเรามาจากสนามบินยามวิกาลเพียงรายเดียวเท่านั้นที่คิดอัตราเหมาจ่าย อยากให้รถแท็กซี่ที่อินเดียและฟิลิปปินส์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบ้าง นักท่องเที่ยวแบกเป้ทั้งหลายที่ไปเยือนกระเป๋าจะได้ไม่ฉีก
ติ่มซำของนึ่งพื้นเมืองหน้าพิพิธภัณฑ์ กับพวกเรารอเรียกแท็กซี่ 

แท็กซี่ที่นี่กลับสะกดเป็นภาษาบาฮาซาว่า Taksi 

                รถแท็กซี่ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมงก็เดินทางมาถึงสนามบิน เสียค่าโดยสารไปเพียง 90,000 รูเปียห์เท่านั้น อาหารการกินที่สนามบินซึ่งพวกเราต้องทานก่อนขึ้นเครื่องก็มีให้เลือกไม่มากนัก บางอย่างกลัวทานแล้วจะไม่อร่อยพวกเราเลยตัดสินใจเลือกทานร้านไก่ทอด CFC คู่แข่ง KFC นั่นแหละ สั่งมาทานกันคนละชุด จากนั้นจึงค่อยเดินไปดูของขายที่สนามบิน ซึ่งอาคารผู้โดยสารภายในประเทศคืออาคาร Terminal 3 ดังนั้นร้านค้าจึงมีแต่สินค้าพื้นเมืองให้ช้อปซึ่งราคาสูงลิ่วต่อรองไม่ได้
ภายใน Terminal 3 ของท่าอากาศยานซูการ์โนฮัตตา 
เสื้อผ้าบาติกพื้นเมืองราคาแพงมาก 
Mega Project ของท่าอากศยานอินโดนีเซียทั้งหมด

     มาทานโดนัทเจ้าอร่อยที่เราเคยรีวิวไว้จากทริปเมดานครั้งที่แล้วดีกว่า เจ้าโดนัทที่ว่าคือร้าน เจ.โค.โดนัท (J. Co. Donut) ที่ยังคงความอร่อยไม่เสื่อมคลาย และยังคงโปรโมชั่นเดิมคือ สั่งเครื่องดื่มใดๆก็ได้1แก้ว เค้าจะแถม โดนัทรสOriginal 1ชิ้น ฟรีๆ
                เมื่อเครื่องจวนจะออกยามบ่ายสาม อย่าลืมเตรียมค่าภาษีสนามบินภายในประเทศด้วย ท่านละ 40,000 รูเปียห์ ซึ่งแต่ละสนามบินจะเก็บค่าภาษีสนามบินไม่เท่ากันจึงไม่มีอัตราตายตัว ขอให้นักแบกเป้ทั้งหลายได้เตรียมกันเงินส่วนหนึ่งมาเพื่อการนี้ด้วยจะช่วยให้ปลอดภัยในวันที่เดินทางกลับประเทศไทย
โดนัท เจ.โค. และโยเกิร์ตปั่น เจ.คูล. (J. Cool)

ตอนหน้าพาชมเมืองแห่งอารยธรรมโบราณ ยอกยาการ์ต้า (Yorkyakarta)