และแล้วเราก็ตื่นสายจนได้ เมื่อคืนนอนหลับสบายมากๆด้วยความอ่อนเพลีย โรงแรมที่นี่มีบริการอาหารเช้ารวมกับค่าห้องแล้ว โดยอาหารเช้าจะให้บริการตั้งแต่ 7.00-10.00 น. มีชาวต่างชาติเข้าพักเยอะพอสมควร อาหารมื้อเช้าวันนี้เป็นแบบอารบิค มีถั่วบด สลัดใส่เฟต้าชีส ขนมปัง และอาหารแบบฝรั่งก็มี พร้อมกาแฟอาหรับให้บริการทุกวัน
ซุ้มอาหารเช้าของโรงแรมมีให้เลือกหลากหลายมากครับ
แกงถั่วและสลัดพร้อมแป้งนานเป็นอาหารที่มีทุกวัน
ก่อนออกไปเที่ยวอาบูดาบีไม่ลืมที่จะหยิบเจ้า
Shwarma ออกจากตู้เย็นเพื่อเอาไปกินมื้อกลางวันด้วย สะพายเป้ใหญ่ออกไปขึ้นรถ Metro
ที่สถานีสนามกีฬาไปลงที่สถานี
Al Ghubaiba อีกครั้ง เพื่อเติมเงินบัตรอีก 25 AED แล้วขึ้นรถที่สถานีขนส่งเพื่อนั่งรถบัสไปอาบูดาบี
(Abu Dhabi) โดยรถที่เราจะขึ้นคือสาย E101 ราคาค่าโดยสาร 30 ดีแรม เป็นรถแอร์โดยรถจะใช้เวลาวิ่งประมาณ
2ชั่วโมง ซึ่งระยะทางจากดูไบไปอาบูดาบีนั้น ประมาณ 160กิโลเมตร
โดยรัฐนี้จะเป็นเมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีคนอาศัยอยู่ราวๆ 2.4 ล้านคน
เป็นรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ยังไม่ทันไรแดดเปรี้ยงเลย
จุดที่เราต้องไปขึ้นรถบัสไปอาบูดาบีจะอยู่ติดๆกับสถานี Al Ghubaiba
ภายในสถานี Al Ghubaiba
โดยเส้นทางเดินรถคันนี้จะวิ่งผ่านย่านใจกลางเมืองดูไบ
ถนนสายหลักที่เต็มไปด้วยตึกสูงและโรงแรมต่างๆ ใจกลางเมือง
เรียกได้ว่าแทบจะแหงนคอตั้งขนานกับพื้นกันเลยทีเดียว ด้วยความที่โรงแรมเราอยู่ใกล้กับรัฐซาร์จ้าห์
จึงใช้เวลาเดินทางมาย่านตึกสูงนี้ราว 1ชั่วโมงเต็ม
ต่อจากจุดนี้เราก็ต้องนั่งรถออกไปอีกราวชั่วโมงครึ่ง
รถจะแล่นผ่านทางพิเศษระหว่างเมือง ผ่านทะเลทราย บ่อน้ำมัน และสวนอินทผาลัม
มีบ้านเรือนและตึกบ้างตลอดสองข้างทาง
บนรถบัสนั่งสะดวกสบาย เบาะปรับเอนได้
ตึก Burj Khalifa ที่สูงที่สุดในโลก เราจะมาเที่ยววันพรุ่งนี้
ย่านธุรกิจจะเต็มไปด้วยตึกสูงละลานตา
เมื่อเริ่มออกนอกเมืองก็จะเป็นทะเลทรายแบบนี้
สถานีเมโทรช่วงท้ายๆก่อนสุดสาย
รถสาย E101
ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงจริงๆ
ก็ถึงยังท่ารถกรุงอาบูดาบี (Abu Dhabi Bus Station) ราวบ่ายโมงเศษ
ภายในสถานีแอร์เย็นฉ่ำมีที่นั่งกว้างขวาง
เราอดใหม่ได้ที่จะหยิบเคบับมากินอย่างสบายอารมณ์และซื้อนมเปรี้ยวมากินแกล้มอีกขวดใหญ่ช่างฟินจริงๆ
แต่ก็ไม่ลืมที่จะถามถึงรถบัสที่จะวิ่งไปมัสยิดหลวงด้วย Sheikh Zayed
Grand Mosque
คฤหาสน์หลังใหญ่โตก่อนถึงนครหลวงอาบูดาบี
ตึกแฝดทรงข้าวโพดสุดอลังการ
ติดกับสถานีขนส่งเป็นที่ตั้งของห้างขนาดใหญ่
ผู้คนรอรถกลับไปยังเมืองดูไบที่ชานชาลา
เราได้ซื้อบัตรรถโดยสาร
Abu Dhabi Pass ราคา10 ดีแรม จากท่ารถ เป็นบัตรที่ใช้เติมเงินเพื่อเดินทางด้วยรถเมล์ในกรุงอะบูดาบี
ถ้าเราไม่ซื้อบัตรแตะพวกนี้เราจะต้องเตรียมเงินให้พอดีกับค่าตั๋ว
และบางคันก็ไม่มีตู้ให้หยอดค่าโดยสารด้วย ต้องแตะบัตรอย่างเดียวเท่านั้น
ภายในสถานีขนส่งแอร์เย็นสบายนั่งแล้วไม่อยากลุกออกไปไหนเลย
เคาน์เตอร์ออกตั๋วโดยสารทำอย่างเรียบง่าย
แล้วเราก็ซื้อบัตรแบบเติมเงินใช้ให้หมดภายในวันนี้ 10 AED
รถเมล์สาย80
จะพาเราไปยังมัสยิดท่านชี้ค โดยใช้เวลาเดินทางเที่ยวละ 30นาที ค่าโดยสาร 5 ดีแรม
แต่ส่วนใหญ่คนที่จะไปเที่ยวชมมัสยิดนอกเมืองแห่งนี้มักจะเรียกใช้บริการรถแท็กซี่มากกว่า
เพราะให้ความสะดวกสบายมากกว่าและไม่ต้องรอนาน ถ้าเดินทางมาสัก3-4 คน
เราแนะนำให้เรียกรถแท็กซี่จะดีที่สุด
หลังจากลงรถเมล์แล้วเราต้องเดินเท้าข้ามถนนและไปต่ออีก
เห็นยอดโดมมัสยิดขนากมหึมาอยู่เบื้องหน้า
มีป้ายบอกทางสำหรับคนที่เช่ารถขับมาด้วย
แล้วเราก็นั่งรถมาถึง
Sheikh Zayed Grand Mosque ที่นี่ไม่เก็บค่าเข้าชม เป็นมัสยิดแห่งเดียวในกรุงอาบูดาบีที่อนุญาติให้คนศาสนาอื่นเข้าชมได้แต่ต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย
หากชุดใครไม่พร้อมที่นี่มีบริการให้ยืมชุดฟรีทั้งชายและหญิง โดยผู้ชายใส่ชุดสีขาวคลุมยาวแบบอาหรับ
และผู้หญิงใส่ชุดอะบาญ่าคลุมยาวสีสุภาพพร้อมผ้าคลุมฮิญาบ
โดยวันศุกร์จะไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมเนื่องจากเป็นวันละหมาดใหญ่
เดินจนถึงมัสยิดแล้วแต่ยังไม่ใช่ทางเข้า ต้องเดินวนไปทางซ้าย
แต่เราก็จะได้ถ่ายภาพมัสยิดหลายมุมมากขึ้น
เราต้องเดินอ้อมมาเข้าชมมัสยิดทางด้านหน้า
ด้านหน้ามัสยิดหลวงของท่านชี้ค
ถ้าไม่อยากเที่ยวเองอาจซื้อทัวร์กับ Big Bus Tour ได้ แต่ราคาเอาเรื่องอยู่
คำแนะนำเรื่องชุดที่ใส่เที่ยวชมมัสยิดทั้งหญิงและชาย
ห้องสแกนชุดนักท่องเที่ยวทั้งชายและหญิงแยกออกจากกัน
มัสยิดชี้ค
ซาอิด แกรนด์มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงท่านชี้ค
ซายิด Sheikh Zayed ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี 2004
มัสยิดแห่งนี้จึงไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่
แต่หากทันสมัยและใหญ่โตหรูหราสมฐานะด้วยอาคารสีขาวทั้งหลัง
ภายในบุพรมเปอร์เซียโดยใช้พื้นที่ปูถึง 5000 ตารางเมตร
นอกจากนี้ยังมีโคมแชนเดอเลียร์ห้อยระย้าผลิตจากคริสตัล Swarovski กว่าสองล้านชิ้นจากเยอรมัน
ด้านนอกมัสยิดปูพื้นด้วยกระเบื้องสวยจากอิตาลี
สระน้ำพุรูปดาวด้านหน้ามัสยิด
โค้งเสาสไตล์อาหรับ
ความงามของเสาและกระเบื้องหินอ่อน
ลายกระเบื้องสวยมากๆ
โคมไฟระย้าก่อนถึงห้องโถงใหญ่
ความงามของโคมไฟและเพดาน
รายละเอียดของโคมไฟระย้าชุดแรก
ใครอยากเก็บภาพสวยๆ เราแนะให้คุณตั้งกล้องแหงนถ่ายเท่านั้น
ถึงแล้วห้องโถงใหญ่ที่มีแชนเดอเลียร์ที่ราคาแพงที่สุด
ก่อนเข้ามัสยิดจะมีทางเข้าแยกเป็นฝั่งชายและหญิงเพื่อสกรีนเครื่องแต่งกายก่อนเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปก่อนถึงห้องที่ปูพรมทุกคนจะต้องถอดรองเท้าฝากไว้ที่ตู้รองเท้าก่อน
จากนั้นคนมุสลิมจะเข้าห้องน้ำไปล้างเท้าและชำระล้างร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมละหมาด ภายในมัสยิดแอร์เย็นฉ่ำมากสมกับที่เป็นมัสยิดหลวงแห่งกรุงอาบูดาบีจริงๆ
มีนาฬิกาบอกเวลาละหมาดของแต่ละเมืองแขวนผนังไว้ด้วย
ด้วยความที่เราเคารพต่อสถานที่เราเลยสวมหมวกกาปิเยาะห์เข้ามัสยิดมาด้วย
เจ้าหน้าที่ไม่รู้ต้อนเราเข้าห้องละหมาดเฉยเลย
เลยได้ไปนั่งสำรวมสงบจิตใจอยู่ในห้องละหมาด ภายในถ่ายรูปไม่ได้
แต่ก็เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโคมไฟระย้าอีกเช่นกัน
โฉมหน้าแชนเดอเลียร์ Swarovski
โค้งเสาด้านในสวยไม่แพ้ด้านนอก
นาฬิกาบอกเวลาละหมาดทั่วโลก
ลายของบานประตูเป็นรูปดาว
คัมภีร์อัลกุรอ่านพร้อมให้บริการสำหรับชาวมุสลิม
แม้แต่กระจกก็ยังแกะลาย
กระจกที่นี่เน้นแกะลายรูปดาว
ที่มัสยิดแห่งนี้จะมีทัวร์ให้บริการเป็นรอบๆด้วย
โคมแชนเดอเลียร์ขนาดยักษ์มีถึงสามโคม
มุมถ่ายรูปที่ลานภายในมัสยิดย่ำไปแต่ละทีเท้าแทบพอง
สระน้ำรายรอบมัสยิดช่วยลดความร้อนได้มาก
ขากลับแดดร้อนกว่าเดิมมาก
เราเดินออกมารอรถสายเดิมที่ป้ายรถเมล์ที่ออกแบบให้มีลักษณะเป็นตู้ติดแอร์
แล้วมีหน้าจออัจฉริยะแจ้งว่าสายใดกำลังจะมาจอดเทียบ
เมื่อถึงเวลาเราค่อยเดินออกไปจะได้ไม่ร้อนนัก ช่างทันสมัยจริงๆ
ขากลับใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมงอีกเช่นกัน
ก็ถึงท่ารถโดยสารประจำกรุงอาบูดาบี
เนิสเซอรี่ของชาวต่างชาติโดยเฉพาะ
บ้านหลังใหญ่ๆของเจ้าหน้าที่สถานทูต
บ้านเรือนในกรุงอาบูดาบีหลังค่อนข้างใหญ่ทั้งนั้น
ถนนหนทางในกรุงอาบูดาบีกว้างขวาง รถไม่ติดเลย
รถบัสเดินทางกลับมาถึงสถานีขนส่งประจำกรุงอาบูดาบี
ได้เวลาต่อแถวซื้อตั๋วรถไปซาร์จ้าห์แล้ว
ตอนหน้าจะพาไปชมตลาดทองที่ยิ่งใหญ่ประจำรัฐซาร์จ้าห์นั่นเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น