วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เที่ยวดูไบแบบประหยัด พาช้อปปิ้งของพื้นเมืองละลานตาในซูคโบราณ Dubai Old Souk

           หลังจากที่เราได้เตรียมการเที่ยวตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม และทำเรื่องขอวีซ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางและแลกเงินพร้อมเที่ยวดูไบและโอมาน โดยสกุลเงินที่จะใช้ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) เป็นเงินสกุลดีแรม (Dirham) โดยใช้ตัวย่อว่า AED โดยเงิน 1 AED จะเท่ากับ 9.5-10 บาท ส่วนรัฐสุลต่านโอมาน (The Sultanate of Oman) นั้นจะเป็นเงินสกุลรีอัล (Omani Rial) ใช้ตัวย่อว่า OMR โดยอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 1Rial เท่ากับ 88-92 บาท สองประเทศนี้ค่าเงินต่างกันค่อนข้างเยอะ โดยในประเทศโอมานค่าครองชีพจะสูงกว่าอาหรับพอสมควร โดยเงินทั้งสองสกุลนี้สามารถแลกได้ในประเทศไทย แต่เงินโอมานจะหาแลกได้ยากกว่า แนะนำให้แลกเป็นเงินดอลล่าร์เผื่อไว้ใช้ในโอมานหรือไม่ก็ใช้เงินดีแรมไปแลกก็ได้เช่นกัน
พร้อมเดินทางไปตะวันออกกลางที่สนามบินสุวรรณภูมิ 
พร้อมบินไปกับโอมานแอร์ครับ 
เงินโอมาน OMR (Rial)หน่วยนับค่อนข้างใหญ่
เงินดีแรม AED (Dirham) คือเงินฝั่งทางขวา ไม่ต้องพกเยอะยกเว้นคนที่ชอบขึ้นรถแท็กซี่

แล้วเราก็ได้เวลากางปีกไปเที่ยวกันแล้ว โดยสายการบินโอมานแอร์ (Oman Air) ที่เราได้จองไว้ออกเดินทางเวลา 9.30 น. นับเป็นเวลาที่ดีไม่เช้าจนเกินไป ใช้เครื่องลำขนาดกลางนั่งได้ประมาณ 270 คน ใครที่ยังไม่เคยขึ้นสายการบินของประเทศตะวันออกกลางในช่วงแรกต้องปรับตัวนิดนึง เพราะทั้งอาหารที่เสริ์ฟบนเครื่องและกลิ่นน้ำหอมที่ใส่จนฉุนตีกันของผู้โดยสารชาวอาหรับอาจทำให้บางคนเวียนหัวได้ แต่เที่ยวนี้ทางสายการบินเสริ์ฟเป็นอาหารตะวันตกเราก็สบายไป
เที่ยวบินโอมานแอร์ออกเวลาสายๆ ไม่ต้องเร่งรีบมากนัก 
ใบปริ๊นท์วีซ่าต้องเตรียมให้พร้อมก่อนเข้าเมืองดูไบ 
โอมานแอร์ใช้เครื่องบินลำขนาดกลางเดินทาง 
ที่นั่งค่อนข้างใหญ่พร้อมจอส่วนตัว ดูหนังยาวไป6ชั่วโมง
ใครอยากช็อปบนเครื่องเชิญ แต่ราคาไม่ถูกเลย 
แอร์สาวของโอมานมีหลากหลายเชื้อชาติ 
อาหารมื้อแรกบนเครื่องก่อนที่มือถัดไปจะแจกแซนด์วิช
เครื่องบินใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง ก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติมัสกัต ประเทศโอมาน (Muscat International Airport) MCT เวลา 12.30 น.พอดี เราต้องปรับเวลาให้ช้าลงจากไทย 3 ชั่วโมง ตอนนี้ที่ไทยก็ราวบ่ายสามครึ่ง สนามบินนี้ตั้งอยู่ในเมือง “ซีบ” (Seeb) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากนครมัสกัตราว 30กิโลเมตร เราจอดแวะพักที่สนามบินแห่งนี้ราวสองชั่วโมงเพื่อต่อเครื่องบินลำเล็กไปลงนครดูไบ
หนังสือเล่มนี้แนะนำที่เที่ยวในโอมานจนเราอยากไปเที่ยวเลย
แดดที่สนามบินร้อนมากๆ ร้อนกว่าไทยในช่วงสงกรานต์

ความจริงของสนามบินนานาชาติโอมานคือไม่มีงวงเทียบ ไม่ว่าคุณจะนั่งชั้นธุรกิจหรือชั้นหนึ่งคุณก็ต้องลงมาต่อรถโดยสารเข้าไปยังอาคารผู้โดยสารอยู่ดี นาทีแรกที่ออกจากเครื่อง เราสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุของอากาศที่นี่ทันที รอบสนามบินรายล้อมด้วยภูเขาหินหัวโล้นสีน้ำตาลไม่มีพืชคลุมดินใดๆขึ้น นี่เรามาเหยียบโลกพระจันทร์กันอีกแล้วใช่มั้ย
ด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างเรียบง่ายของสนามบินมัสกัต 
รอบข้างสนามบินเป็นทะเลทรายและเขาหัวโล้น

ระหว่างนั่งรอเครื่องไปดูไบ เราก็ได้เดินไปชมสินค้าที่ระลึกของประเทศโอมาน ส่วนใหญ่มีราคาแพงมากโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มตะเกียงจุดกำยานและเครื่องหอม แต่ของฝากที่ขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่คือกำยานแฟรงกินเซนส์ ที่เอาไปจุดเป็นเครื่องหอมภายในบ้าน ผลิตมาจากยางต้นไม้ชื่อแฟรงกินเซนส์นั่นแหละ
แก้วลายพื้นเมืองสวยๆแต่ราคาแพงมาก 
รถสปอร์ตสุดหรูยั่วน้ำลายนักช้อป 
ของที่นี่ราคาค่อนข้างแพง
เครื่องหอมกลุ่มสบู่หอมราคาก้อนละ2.90 เรียลโอมาน ก้อนนึงเกือบ300 บาท

เตาจุดกำยานที่ระลึก ไม่ใช่ของจริง

14.30 น. ก็ได้เวลาที่เครื่องบินลำเล็กทะยานออกจากรันเวย์ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงมัสกัตไปนครดูไบราวชั่วโมงเศษระหว่างทางจะบินผ่านทะเลสีฟ้าครามตัดกับภูเขาหินสีแดงและผ่านทะเลทรายในเบื้องล่าง เที่ยวบินนี้เขาได้เสริ์ฟสแน็คเล็กๆไว้รองท้องและแก้ง่วงกับน้ำมะม่วงที่หวานมากๆ
ประเทศโอมานแลดูแห้งแล้งมากๆ ผืนฟ้าจรดผืนทรายจริงๆ 

ผ่านเกาะเล็กๆ กลางทะเล 
กล่องอาหารว่างที่แกะออกมาแล้วไม่ผิดหวังเลย 
โดยเฉพาะPretzel กับเค้กอินทผาลัมแท่ง 
คนอาหรับนิยมดื่มน้ำมะม่วงกันจริงๆ ว่ากันว่าแก้กระหายได้ดี

สนามบินดูไบมีขนาดใหญ่โตหรูหราสมกับที่เป็นนครแห่งการช้อปปิ้ง ไม่ต้องเดินลงจากเครื่องจอดเทียบงวงทุกลำ เครื่องเราจอดลงที่ Terminal2 ทุกคนจะต้องนั่งรถโมโนเรลที่เปิดให้บริการฟรีเพื่อไปรับกระเป๋าและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ Terminal1 ซึ่งไม่ต้องกรอกใบเข้าเมืองใดๆให้ยุ่งยากแค่เตรียมใบวีซ่าที่เราพิมพ์ออกมายื่นเท่านั้นเองก็สามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมาได้อย่างง่ายดาย 
บ้านเรือนในดูไบแต่ต่างจากมัสกัตค่อนข้างมาก 
แต่ที่เหมือนกันเลยคือมีแต่สีน้ำตาล
รถโมโนเรลเชื่อมระหว่างสนามบินนี้ขึ้นฟรีจ้ะ 
เราจะนั่งไปรับกระเป๋ากัน
วีซ่าที่ถูกใช้แล้วก็จะถูกประทับตราแบบนี้

การเดินทางจากสนามบินดูไบเข้าเมืองทำได้หลายวิธีตั้งแต่การนั่งรถแท็กซี่ ใช้บริการรถของโรงแรม นั่งรถเมล์ หรือนั่งรถไฟฟ้าก็ได้ แต่ในครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของเมโทร (Metro) ไม่ยากเลยให้เดินตามป้ายบอกทางหลังรับกระเป๋าแล้ว จากนั้นค่อยหยิบแผนที่จากจุดให้บริการในสนามบิน เพื่อดูว่าเราจะไปที่พักยังไงลงรถที่สถานีไหน จากนั้นค่อยไปทำความรู้จักกับรถไฟฟ้ากัน 

ถึงทางลงไปต่อรถเมโทรแล้ว จุดนี้ต้องลากกระเป๋าลงไปเอง 

          รถไฟฟ้าหรือเมโทรเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายในการเที่ยวดูไบ แต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกจุดที่เราต้องการจะไปนะ เปิดให้บริการแค่สองสายหลักๆ คือสายสีเขียวและสายสีแดง และยังมีสายเล็กๆสีส้มเป็นรถรางที่เปิดให้บริการเลียบๆชายหาดจูไมร่าห์ ค่าโดยสารเริ่มต้น 3AED, 5AED และ 7AED แปรผันไปตามระยะทาง ถ้าเดินทางข้ามหลายเขตราคาก็จะสูงขึ้น ถ้าวิ่งอยู่ในเขตเดียวจะเสียค่าโดยสารเพียง 3AED ตกราวๆ 28บาท วิธีการประหยัดง่ายๆ ให้เลือกซื้อตั๋วแบบเติมเงินเพื่อประหยัดเวลาในการเข้าออกโดยจะมีให้เลือกระหว่างบัตรเงินกับบัตรทอง Gold class & Silver clas
เส้นทางรถไฟฟ้าในดูไบมีแค่สองสายหลักคือสายสีเขียวกับสายสีแดง 
อัตราค่าโดยสารในแต่ละคลาสรวมไปถึงค่าปรับต้องดูให้ดีดี

ความพิเศษของ Gold Class คือจะมีโบกี้แยกให้เลย1ตู้อยู่หัวขบวนพร้อมเก้าอี้นั่งอย่างดี ราคาจะแตกต่างกันตามตาราง ถ้าซื้อบัตร Silver Class ห้ามไปนั่งมั่วนะ ไม่งั้นเสียค่าปรับอานเลย สำหรับบัตร Silver Class ก็จะมีค่ามัดจำบัตรเช่นเดียวกัน มีค่ามัดจำบัตรอยู่ที่ 5 AED นั่นคือ ถ้าเราเติมเงิน 25AED ก็จะใช้งานจริงได้แค่ 20 AED ถ้าเอาบัตรมาคืนก็จะได้รับเงินคืนทั้งหมด และที่สำคัญบัตรใบเดียวกันนี้ยังสามารถเอาไปแตะขึ้นรถบัสในดูไบ และรถบัสที่วิ่งระหว่างเมืองดูไบไปเมืองอื่นๆได้อีกด้วย
ได้มาแล้วนะ บัตรเบ่ง Silver Class พร้อมตะลุยดูไบกันแล้วจ้า
ได้กลิ่นอายภารตะตั้งแต่ยังไม่ขึ้นรถเลย

หลังจากตัดสินใจซื้อตั๋วเติมเงินแบบ Silver Class 25 AED มีโบกี้เฉพาะสำหรับสตรีด้วยนะ ถึงบอกว่าผู้หญิงมาคนเดียวก็เดินทางที่นี่ได้อย่างปลอดภัย เราขึ้นรถสายสีแดงที่สถานี Terminal 1 นั่งยาวไปต่อรถสายสีเขียวที่สถานี Union เพื่อไปลงที่สถานี Stadium อันเป็นปลายทาง เพราะที่พักของเราเป็น Youth Hostel ติดกับสนามกีฬาของบ้านเค้า บรรยากาศบนรถมีแต่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่เจ้าของประเทศที่มาทำงานกันที่นี่ และใช้ชีวิตเดินทางกันปกติ คนพื้นที่เค้ามีรถขับกันทุกคนแล้วเค้าไม่มาขึ้นรถไฟฟ้าหรอก 
รถมาจากสนามบินมันก็จะมีสัมภาระมาแบบนี้ด้วยแหละ 
ถ้าไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนรถก็จะโล่งๆถ่ายรูปได้ง่าย
ถึงแล้วครับสถานีปลายทาง

เราเดินลากกระเป๋าไปยังที่พักที่ห่างจากสถานีแค่ 200 เมตร ผ่านห้างขนาดยักษ์ Lulu Hypermarket คิดว่าเราจะได้มาซื้อของกินก่อนกลับที่พักแน่นอน พอถึงโรงแรมก็พบว่าเป็นโรงแรมที่มีขนาดกว้างมาก เป็นตึกสามชั้น มีสระว่ายน้ำให้บริการ มีห้องอาหาร ห้องอ่านหนังสือ ห้องดูทีวีพร้อมเลย พนักงานมีทั้งชาวฟิลิปปินส์และชาวบังกลาเทศให้บริการ เรายื่นเอกสารใบจองและจ่ายเงินที่เหลืออีก 330 AED เพราะในระบบ Booking.com เค้าจะหักไปแล้วล่วงหน้า 110 AED นั่นคือ ค่าทีพัก 4 คืน อยู่ที่ 440 AED หรือตกราวๆ 4,180บาท ที่นี่ยินดีรับบัตรเครดิตจ้า
Lulu Hypermarket ห้างขนาดยักษ์ก่อนถึงที่พัก 
รางรถไฟฟ้าผ่านหน้าโรงแรมที่พักเลย
ถึงแล้วที่พักของเราราคาประหยัดพร้อมอาหารเช้าฟรี 
โรงแรมนี้มีที่จอดรถไว้รองรับการสัมมนาด้วยนะ ล้อบบี้ชั้นล่างตกแต่งสวยใช้ได้เลย 

หลังจากได้ใช้บริการสระว่ายน้ำฟรีให้หายร้อนก็ได้เวลาเดินเล่มชมเมืองดูไบหลังอาทิตย์ตกดิน ซึ่งมันเดินสบายกว่าตอนกลางวันเยอะเลยถึงมันจะอบอ้าวไปนิดก็ตาม  เราเริ่มต้นเดินจากโรงแรมออกมา ความจริงแล้วโรงแรมของเราอยู่ชานกรุงดูไบติดกับรัฐซาร์จ้าห์(Sharjah) เลย แต่ยังก่อน วันนี้ขอเข้ากรุงไปชมตลาดกลางคืนก่อน
สระว่ายน้ำขนาดกลางอยู่ติดกับสนามกีฬาดูไบ 
Youth Hostel ที่นี่มีนักกีฬามาเก็บตัวซ้อมแข่งกีฬาเพียบเลย
แหม แช่น้ำเย็นๆพร้อมชมพระอาทิตย์ตกข้างสนามกีฬาพอดีเลย 
ตะวันลับฟ้าแล้วแต่ความร้อนอบอ้าวก็ยังคงอยู่

เริ่มต้นจากขึ้นรถไฟที่สถานี Stadium แล้วไปลงที่สถานี Al Ghubaiba ที่นั่นอ่านออกเสียง “อัล กูไบบ้า” ค่ารถ5 ดีแรม ภายในสถานีใต้ดินตกแต่งอย่างสวยงามสไตล์อาหรับ แต่พอโผล่ขึ้นมาบนดินก็พบว่าตัวเองได้ย้อนยุคไปสู่ย่านเมืองเก่าจริงๆ หรือที่เค้าเรียกย่านนี้ว่า Heritage Area โดดเด่นด้วยป้อมปราการโบราณริมน้ำ และมีการปรับปรุงให้กลายเป็นโรงแรมที่พัก ถึงจะมืดแต่ก็ไม่เปลี่ยวเต็มไปด้วยผู้คนที่หลังเลิกงานมาเดินเล่นชิลๆกัน
การตกแต่งของสถานีใต้ดิน  Al Ghubaiba
ระหว่างนั่งรอรถที่สถานีสัญญาณทะลุถึงอยู่นะ
ออกมาจากสถานีก็เจอกับเกสท์เฮ้าส์แบบโบราณเลย 
ย่านนี้เป็นย่านเมืองเก่ามีป้อมให้ชมค่อนข้างมาก 
ท่าเรือแห่งนี้สามารถเหมาเรือไปเที่ยวชมคลองดูไบได้ 
บรรยากาศคืนจันทร์เต็มดวง ณ ฝั่งBur Dubai ฝั่งตรงข้ามที่เห็นคือ Diera

เราเดินผ่านเข้าไปยังตลาดโบราณ Dubai Old Souk ที่จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองแบบอาหรับ คนอาหรับจะเรียกตลาดทั้งหมดโดยรวมว่า "ซูค" (Souk) มีสินค้าให้เลือกชมตั้งแต่ ขุดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบอาหรับ ผ้าคลุมไหล่ ตะเกียง โคมไฟ กระเป๋าผ้าปัก จานชามถ้วยล้วนแต่เป็นสไตล์อาหรับ แต่คนขายกลับเป็นชาวอินเดีย ปากีสถาน ที่ล้วนมีกลยุทธในการง้อขอตื๊อแบบชั้นยอดจริงๆ ทำให้นึกถึงตลาดในดินแดนภารตะเลยนี่
นั่นไงเจอแล้ว บาร์ที่มีบารากู่หรือชิชาให้สูบ  
เรือขนาดกลางที่สามารถแล่นออกทะเลได้ 
นี่แหละเรือรับจ้างข้ามฟากหรือที่เรียกว่า อะบรา (Abra) ข้ามครั้งละ1AED
ร้านจำหน่ายผ้ามีเยอะมากๆที่นี่ 
ของที่ระลึกสัญลักษณ์ของนครดูไบน่าซื้อเยอะมาก 
โคมไฟตุรกีก็มีจำหน่ายที่นี่นะนายจ๋า  
คนขายของหน้าร้านที่นี่ส่วนมากเป็นชาวอินเดีย 
พอหัวค่ำคนเดินตลาดก็จะเริ่มน้อยลง ทำให้เดินได้สบายๆ 
นับว่าเป็น Souk (ซูค) ตลาดที่สะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง 
ทางเข้าตลาดเก่าดูไบฝั่ง Bur Dubai

เดินไปเดินมาเริ่มหมดสภาพ สามทุ่มแล้วได้เวลากินมื้อดึกของเรานั่นก็คือ การหาอาหารดูไบแบบกินง่ายๆ ลองดูว่าอร่อยมั้ย มื้อแรกเราจัดเคบับ (Kebab) หรือที่นี่เรียกว่าชวาร์มา (Shwarma) เป็นอาหารอาหรับอย่างแท้จริง ทำมาจากเนื้อไก่ วัวหรือแพะ เสียบไม้แล้วปิ้งหมุนๆ เวลากินจะต้องใช้มีดแล่เนื้อมาห่อแป้งพร้อมกับผัก แล้วกัดกินเป็นคำๆไป จัดมาเป็นเซ็ทคู่กับน้ำมะม่วงสด ราคา25 ดีแรม แต่เชื่อมั้ยชิ้นมันใหญ่มาก เรากินไปได้แค่ครึ่งเดียวก็อิ่ม เลยตัดสินใจห่อกลับแล้วจะเอาไปแช่ตู้เย็นในห้องพักกินวันพรุ่งนี้
ในย่านเมืองเก่าถนนหนทางเริ่มไม่มีคนเดินแล้ว 
เรืออาหรับทำแบบโบราณที่พิพิธภัณฑ์ดูไบ 
Dubai Museum ยามค่ำคืน
ร้านขายน้ำผลไม้น่ากินจัง 
ร้านคาเฟ่เล็กๆที่เราฝากท้องคืนนี้ ตั้งอยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ดูไบ 
เอาละ ลองสั่ง Shwarma มาทานสักหน่อย 
สั่งไส้ไก่มาก็ยังอุตส่าห์เอาเฟรนซ์ฟรายมาโปะ ฉันไม่ใช่ฝรั่งนะ

ขากลับถนนหนทางเปลี่ยวมากหลังสี่ทุ่มไปแล้วคนไม่ค่อยมาเดินกันในย่านเมืองเก่า แต่พอเรานั่งรถใต้ดินกลับไปแถวที่พักก็พบว่าที่Hypermarket ขนาดยักษ์ยังเต็มไปด้วยผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของ กินอาหารกันอยู่เลย คนอาหรับกินกันมื้อดึกจริงๆ  กลับถึงโรงแรมด้วยความเมื่อยล้าเราหลับไปคนแรก คนที่เหลือยังไม่เข้าห้องพักมา พรุ่งนี้เรามีแผนเที่ยวอาบูดาบี (Abu Dhabi)  ไปชมมัสยิดหลวงกันต่อ 

ใครทานมังสวิรัติไม่ต้องกลัวอดตายนะที่นี่มี 
มัสยิดขนาดใหญ่ในย่านเมืองเก่า 
ตลาดโบราณซึ่งเพลานี้วายแล้วจ้ะ
ร้านขายผ้าทอมือสวยริมทาง 
ป้อมปราการโบราณย่านเมืองเก่า 
ทางเดินไปลงสถานีใต้ดิน มีเราเดินอยู่คนเดียว 
กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพแล้วครับ

พรุ่งนี้เราไปเที่ยวเมืองหลวง กรุงอาบูดาบี (Abu Dhabi)  ไปต่อกันนะครับ














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น