วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ ตอนที่2 เสน่ห์หาอินเดีย แตรรถ คน สัตว์ สิ่งของ ก่อนนำชมที่พัก

                หากเดินทางโดยไม่มีแผนที่ พวกเราก็จะเหมือนคนตาบอดคลำทาง ภารกิจแรกพวกเราต้องหาแผนที่เมืองกัลกัตตานี้ให้ได้ ซึ่งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในสนามบินจริงแล้วไม่มี หรือพวกเราไม่ตั้งใจหากัน เหล่าคนขับแท็กซี่เริ่มเดินตามตื๊อด้วยเห็นว่าเป็นขาวต่างชาติ โชคดีที่มีชาวสเปน2คน คนหนุ่มชื่อชับบี้ คนสาวชื่ออิเนช สองสามีภรรยามาขอความช่วยเหลือให้พวกเราเดินทางเข้าเมืองโดยแชร์ค่ารถแท็กซี่ไปด้วยกัน  พวกเขาจะลงย่านซัดเดอร์ (Sudder Street) ซึ่งเป็นย่านที่พักของนักท่องเที่ยวแบกเป้ และพวกเขาก็มีที่พักในดวงใจแล้ว เราเลยขอติดตามไปลงในย่านนั้นด้วยเพื่อหาที่พักราคาถูกซึ่งเดาได้ว่าคงจะเป็นดงเกสท์เฮ้าส์
 ขนของขึ้นแท็กซี่วินเทจ
 การ์ดชี้มือไปที่จุดขึ้นรถแท็กซี่
เห็นด้านหลังขาวๆนี่คือรถแท็กซี่ทั้งนั้นเลย เป็นรถออสตินจากอังกฤษ

                พวกเราทั้ง 5 คนเดินหารถแท็กซี่เพื่อต่อรองราคาที่ถูกที่สุด ในที่สุดก็ได้มาคันหนึ่งเหมาคันทั้งหมด 500รูปี ตกคนละ100รูปี ด้วยว่าสนามบินดัมดัมนี้อยู่ห่างจากเมืองมากๆ  รถที่พวกเรานั่งคงหาไม่ได้อีกแล้วในเมืองไทย เพราะมันคือรถออสตินสีขาวสมัยก่อนเราเกิดอีก คิดดูสิสภาพภายในรถอาจย่ำแย่ไปบ้าง แต่แล่นได้ฉิวทีเดียวและที่สำคัญคือไม่มีแอร์ต้องเปิดรับลมภายนอก เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน พวกเรานั่งเบียดกันข้างหลัง สองสามีภรรยาชาวสเปนนั่งหน้า คู่นี้เขาเคยเดินทางมาที่กัลกัตตาแล้วครั้งหนึ่ง มาครั้งนี้วางแผนว่าจะไปดาร์จีลิ่งต่อ คนขับแท็กซี่อัธยาศัยดีมากชวนคุยตลอดเวลา ด้านหน้ารถมีรูปเคารพของพระวิษณุและพระคเณศ เขาจะบูชาทุกเช้าก่อนออกรถ
 เบื้องหน้าของรถออสติน เอามือทุบแล้วเหล็กแข็งตันมาก
 ถึงเบาะจะเก่าแค่ไหนก็ยังขับซิ่งได้นะ
 สองสามีภรรยาชาวสเปนนั่งหน้า
วัวที่นี่อิสระเสรีมาก นึกจะนอนที่ไหนก็ทำได้ เพราะที่นี่เค้าไม่ฆ่าวัวกัน

                ระหว่างทางรถแท็กซี่ได้พาพวกเราผ่านทั้งย่านการค้าและย่านเสื่อมโทรม สิ่งที่เหมือนกันคือ ที่นี่รถทุกคันเค้าจะบีบแตรเสียงดังเพื่อขอทางจนเป็นเรื่องปกติ และฝุ่นควันรถไล่ไปจนถึงฝุ่นละอองเล็กๆจะเยอะมาก ใครเป็นโรคแพ้อากาศจะต้องยกผ้าขึ้นมาปิดจมูกพลัน ผู้คนมากมายหลากหลายวรรณะอาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่มีแบ่งโซนแบ่งย่านเหมือนกรุงมะนิลา วัวนอนตามท้องถนนมีให้เห็นอยู่ทั่วไป อ้อ ในเมืองใหญ่ที่นี่ยังมีฝูงแร้งอาศัยอยู่นะครับ คุณเมียฝรั่งเธอตื่นเต้นชี้ให้ดูใหญ่  สุขาแบบยืนทำธุระของชายหนุ่มมีให้เห็นอยู่ทั่วไป บรรดาผู้ชายอาบน้ำกันกลางแจ้งอย่างไม่อายใคร เพราะที่อินเดียเขาจะต่อก๊อกน้ำให้เป็นสาธารณะประโยชน์ ใครจะมาอาบน้ำ ซักผ้า ล้างหน้าหรือแม้แต่ดื่มก็ยังได้
 สองช่องเล็กๆนี่เขาออกแบบให้คุณผู้ชายเข้าไปทำธุระส่วนตัว 
 แผงขายผลไม้สดมีให้เห็นข้างทางทั่วไป
 ในเมืองกัลกัตตายังคงใช้รถรางกันอยู่
 อาหารอินเดียแท้ต้องทานด้วยมือแบบนี้
 สภาพผู้คนในเมืองกัลกัตตา 
 ที่เห็นคล้ายโคนต้นไม้นั่นคือเตาย่าง นาน นะ เป็นอาหารประจำชาติอินเดียเลย
 ชุดขาวนั่นคือเครื่องแบบตำรวจจราจร
 ชายหนุ่มพันผ้าไปอาบน้ำข้างถนน กับคนตัดผมข้างถนน
รถเมล์ที่นี่ก็ยังมีสีสัน
 
 ซุ้มประตูนี่ไม่ทราบเหมือนกันว่าสร้างไปใช้ในงานใด
 หากเป็นชาวมุสลิม สตรีก็จะนุ่งห่มแบบนี้
 ที่นี่ไม่มีเซเว่นนะ จะมีแต่ร้านชำริมทางแบบนี้
 คนที่นี่เห็นกล้องเป็นไม่ได้ เค้าจะต้องแอ๊คท่าถ่ายรูปเสมอ
มุมเหงาๆมุมหนึ่งในกัลกัตตา
                รถใช้เวลาแล่นประมาณชั่วโมงกว่าก็มาถึงที่หมาย ทั้งที่ระยะทางจริงไม่ไกลนักแต่รถติดมากๆ นี่คือปัญหาหลักสำหรับเมืองใหญ่ทุกเมือง  แท็กซี่พาพวกเรามาจอดหน้าโรงแรมระดับสามดาวแห่งหนึ่ง เราได้เข้าไปสอบถามราคาแล้วที่เหลือรอในรถ ค่าห้องคืนละ 3600 รูปี สำหรับสามท่าน ทำไมราคาแพงมากทั้งที่ห้องธรรมดามากแค่ว่ามีแอร์เท่านั้น เราเลยต้องตามสองสามีภรรยาชาวสเปนมายังที่พักที่พวกเขาได้จองไว้นั่นคือ พารากอนโฮเทล (Paragon Hotel) แต่เมื่อส่องดูจากภายนอกน่าจะเป็นเกสท์เฮ้าส์มากกว่า ทั้งเก่าและทรุดโทรมแต่นักท่องเที่ยวแบกเป้เขาอยู่กันได้ ที่นี่ห้องเตียงคู่ห้องน้ำในตัวคืนละ400รูปีเท่านั้น แต่ห้องน้ำแบบยองๆนะ ห้องเตียงคู่ห้องน้ำรวมก็จะถูกกว่านี้ รวมไปถึงห้องเตียงเดี่ยว และสุดท้ายคือห้องแบบDorm เตียงละ 120รูปี เท่านั้น เหมาะกับคนที่มาเที่ยวคนเดียวและต้องการประหยัดจริงๆ เพราะ1ห้องจมี6เตียง และรวมชายหญิง
 สภาพภายในโรงแรมหน้าห้องDorm
 ประตูทางเข้าโรงแรม สาวๆเกาหลียังอยู่ได้ พวกเราก็ต้องอยู่ให้ได้
 สภาพห้องพักและหน้าห้องพักมีห้องน้ำให้บริการ

                ชับบี้และอิเนชเข้าเช็คอินไปเรียบร้อยแล้ว เหลือพวกเราสามคนยืนปรึกษากันครู่ใหญ่ เดินไปดูเกสท์เฮ้าส์ด้านข้างสภาพก็แทบไม่แตกต่างกัน ย่านนี้คงเป็นย่านนักท่องเที่ยวแบกเป้ เพราะผู้คนย่านนี้หลากหลายชาติพันธุ์มากๆ  สุดท้ายเลยลงมติกันว่าจะพักที่นี่ถึงไม่มีแอร์แต่อากาศข้างนอกก็เย็นอยู่แล้ว อีกทั้งพวกเราขี้เกียจลากกระเป๋าไปหาที่พักใหม่ และที่นี่เต็มไปด้วยชาวต่างชาติน่าจะปลอดภัย โรงแรมที่นี่ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้มีแต่เตียงกับผ้าห่ม มีที่ฝากสัมภาระเมื่อเช็กเอ๊าต์แล้วด้วย ที่นี่ห้องเตียงคู่ห้ามพักเกิน2ท่าน สุดท้ายเราเลยต้องเปิดห้อง 2ห้อง เพื่อให้ลงตัว เราเอาสัมภาระเก็บที่ห้อง แล้วค่อยออกไปกินข้าวกัน  มีร้านอาหารที่หนุ่มสาวชาวสเปนแนะนำมาด้วย อย่างน้อยพวกเราประหยัดค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรมแล้ว เรื่องกิน เที่ยวกับซื้อของเอาให้เต็มที่ก็แล้วกัน
โรงแรมที่อยู่รายรอบย่าน Sudder St. มาเรียโฮเทลมีอินเตอร์เน็ตบริการด้วย 

 โรงแรมแต่ละแห่งจะมีสภาพแบบนี้ทั้งหมด

ตอนหน้าจะพาไปชิมอาหารอินเดียมื้อแรกและพาไปชมตลาดกลางคืนกันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น