วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ ตอนที่10 ชมกระบวนการปรุงอาหารอินเดีย (Indian Restaurant) และบทส่งท้ายในการมาเยือนแดนภารตะ

            “เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องเล็ก วลีนี้ใช้ได้เสมอสำหรับนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย ผู้พิสมัยในการเลือกรับประทานอาหารให้อร่อยที่สุด แต่อาจไม่จำเป็นว่าจะต้องแพงที่สุดเสมอไป  ดังเช่นมื้อเย็นนี้ เรากลับมาที่ถนนสายเดิมอีกครั้งเพื่อทานร้านอาหารข้างๆร้านที่พวกเราทานเมื่อกลางวัน เพียงแต่ว่าร้านนี้บรรยากาศจะดูเป็นกันเอง เหมือนร้านอาหารทั่วไปมากกว่าภัตตาคาร ร้านนี้มีชื่อว่า The Friend’s Home ให้บรรยากาศเดียวกันกับการนั่งทานอาหารที่บ้านเพื่อนเลยครับ
 โฉมหน้าร้านบ้านเพื่อนราคามิตรภาพ
ฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดทั่วไป

                 ร้านอาหารแลดูสะอาดตามีครอบครัวชาวอินเดียมานั่งทานกันเต็มร้าน เราลองสั่ง Mix Chat มาลองทานดู จานนี้จะเป็นแป้งกรอบใส่ในกระทะ มีหอมใหญ่ ซีเรียลราดด้วยโยเกิร์ต น่าจะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของคนที่นี่ครับ ราคาจานละ 25รูปีเอง  พวกเราสั่ง Tomato Uttapum มาทานกันอีก หน้าตาคล้ายกับแป้งนิ่มๆ ใส่มะเขือเทศและชีส ทานกับซอสนมเปรี้ยว และน้ำแกง ราคาชุดละ37รูปี ส่วนเครื่องดื่มเราก็สั่งทั้งน้ำทับทิมคั้นสด และนมเปรี้ยวปั่นน้ำกุหลาบ (Rose Lassi) อร่อยและหอมน้ำกุหลาบมากครับ ราคาแก้วละ21รูปีเอง และเราก็ไม่พลาดกับของหวานอินเดียครับ นั่นคือกุลาบจามุน (Gulab Jamun) เป็นขนมแป้งลูกกลมเล็กนำไปทอด แล้วราดด้วยน้ำเชื่อมหวานจัด ราคาสองชิ้นเพียง 10รูปีเท่านั้น พวกเราสั่งอาหารกันน้อยเพราะจะต้องกลับไปทำลายข้าวหมกไก่และไก่ KFC ที่ทานเหลือมาจากกลางวันอีก แล้วก็ไม่ลืมที่จะซื้อเบียร์ขึ้นไปดื่มแกล้มอาหารบนดาดฟ้าโรงแรมกับเพื่อนๆชาวแบกเป้นานาชาติเหมือนเดิม
 ครอบครัวสุขสันต์กับมื้อเย็นวันอาทิตย์

 Rose Lassi น้ำกุหลาบปั่นกับนมเปรี้ยว
 Mix Chat จานเรียกน้ำย่อย
 Tomato Uttapum รสชาติคล้ายโรตีไส้มะเขือเทศ
Gulab Jamun จานนี้หวานมากๆ
 ร้านขายเหล้าเบียร์ในอินเดีย
แวะซื้อเสื้อผ้าก่อนกลับที่พัก คนขายเคยมาทำงานอยู่เมืองไทยด้วย

 ที่เคาน์เตอร์โรงแรมระหว่างรอเช็คเอ๊าท์ในตอนเช้าวันกลับ

              เช้าวันสุดท้ายที่เราไม่อยากลุกออกจากที่นอน ไม่อยากเดินทางกลับไปทำงานเลย เวลาเพียง3วันนั้นสั้นยิ่งนัก พวกเรายังไม่รู้จักอินเดียดีพอ เราตื่นเป็นคนแรกของห้องดอร์ม นักเที่ยวแบกเป้คยอื่นยังคงนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ตามกำหนดเราต้องเช็คเอ๊าท์ตั้งแต่ 7.30น. เพื่อไปทานอาหารเช้าเจ้าเดิมก่อนที่จะเดินทางไปที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องตอนเที่ยงกว่า พวกเราลากกระเป๋าไปรอร้านอาหารเช้าเปิด ซึ่งปกติร้านนี้เค้าจะไม่เปิดก่อน8โมง ด้วยว่าพวกเรานัดเชิงบังคับว่าให้เปิดร้านไว้ต้อนรับนะ พวกเราจะมาทานกันพรุ่งนี้ก่อนเดินทางไกล และแล้วเมื่อมาถึงร้านก็เห็นคนงานชายกำลังสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดร้าน ยกโต๊ะเก้าอี้ลง บ้างก็เข็นตู้โชว์อาหารออกมาหน้าร้าน พวกเราเลยต้องยืนรอที่หน้าร้านก่อน แลเห็นกระทาชายมีอายุคนหนึ่งกำลังตำเครื่องแกงอยู่ข้างถนนอย่างเมามัน เราสงสัยว่าทำไมเค้าต้องมาทำครัวข้างถนน เจ๊บอกว่าถ้าเดาไม่ผิดเค้าจะต้องเป็นคนครัวของร้านนี้แน่ๆ โอ้ว ไม่นะอย่าเป็นเช่นนั้นนะ และแล้วฝันร้ายก็เป็นจริง เมื่อชายผู้นั้นยกครกที่โขลกเครื่องแกงเทลงในหม้อต้มน้ำเดือดๆ บอกกับตัวเองไม่เป็นไรถ้าน้ำเดือดมันคงฆ่าเชื้อโรคหมดน่า เพื่อนเราอีกคนขอแยกตัวไปเดินดูของย่านตลาดสดเพื่อไปซื้อเครื่องแกงอินเดียจะกลับไปทำอาหารทานเองที่เมืองไทย  สักพักพวกเราก็ได้เห็นกระบวนการต้มโยเกิร์ตอีกถังใหญ่มาก เมื่อวัตถุดิบน่าทานเช่นนี้ เราก็ต้องสั่งอาหารกันชุดใหญ่มีทั้งแกงถั่วทานกับโรตีหนานุ่ม แป้งที่คล้ายกับหม่านโถวร้อนๆ แต่จิ้มกับน้ำแกง ด้านเครื่องดื่มเราสั่ง การัมจาย (ชานมร้อน) กับ Lassi มาทานเป็นนมเปรี้ยวกุหลาบเหมือนเดิม ระหว่างที่เรานั่งทานกันอยู่เจ้าของร้านก็มาคุยกับเราและถามว่าอาหารใช้ได้มั้ย พวกเราตอบว่าอร่อยมากๆจนต้องกลับมาทานซ้ำอีก แกยิ้มจนเห็นฟันขาวเลย เจ้าของร้านเป็นคนอินเดียตอนเหนือผิวพรรณจึงค่อนไปทางขาวมากกว่า สนนราคามื้อสุดท้ายนี้ 160 รูปี ก่อนจากไปพวกเราขอให้เขาเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปส่งสนามบินดัมดัมให้พร้อมกับต่อรองราคาให้เสร็จสรรพ ได้ราคาเหมาคันอยู่ที่ 300 รูปีเท่านั้น ช่างถูกกว่าขามามากๆ  นี่แหละหนาน้ำใจช่วยทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ถึงแม้จะหายากสักนิดในสังคมอินเดียก็ตาม แต่ก็จะเป็นความประทับใจที่ยังคงตราตรึงใจมิรู้ลืม
พอคุณลุงโขลกเครื่องแกงบนครกเล็กๆเสร็จ ก็นำเครื่องแกงมาใส่ลงในหม้อต้มแกงทันที 

 ชายคนนี้เตรียมวัตถุดิบโยเกิร์ตและมะเขือเทศเป็นถังเลย
 ก่อนเปิดร้านจะต้องจัดวางหน้าร้านให้สวยและดูน่ารับประทานเสียก่อน
 โฉมหน้าอาหารที่เราสั่งมาในวันนี้ มีชุดแป้งนิ่ม2ชุด และโรตีแกงถั่ว1ชุด
              ต้องขอขอบคุณในความมีน้ำใจไมตรีของเจ้าของร้าน แล้วเราจะมาเยือนท่านอีก

           ล้อหมุนออกจากร้านอาหารอินเดียตอนเก้าโมงกว่า เช้าวันจันทร์ที่รถบนท้องถนนหยุดนิ่งไม่แพ้บางกอก โชคดีแล้วที่พวกเราเผื่อเวลาไว้สำหรับการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดในกัลกัตตา แต่ก็ถือว่ายังติดน้อยกว่ากรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ รายนั้นเดินยังไปได้ไวกว่ารถแล่นเสียอีก รถติดทำให้เราได้เห็นวิถีชิวิตที่รีบเร่งของคนเมือง ทั้งแย่งกันอาบน้ำที่ก๊อกสาธารณะ เด็กๆรีบไปโรงเรียน พ่อค้าเปิดร้านขายของ  ผู้คนแออัดบนรถเมล์ ฯลฯ  แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจมากๆ คือสลัมข้างถนนครับ ที่นี่เค้าก่อสร้างได้ถึง2-3ชั้นด้วยวัสดุที่ไม่ดีนัก นึกแล้วเสียวแทนหากวันใดวันหนึ่งมีลมพายุแรงๆพัดพังผู้คนจะอยู่กันอย่างไร
 ชนชั้นกรรมาชีพก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหนักไป
 สามล้อคันนี้จะขอเงินค่าถ่ายรูปเขา
 บนรถเมล์ผู้คนแออัดในเช้าวันจันทร์
 ในรูปล่างซ้ายคนโฆษณาเครื่องประทินผิวหน้าตาคุ้นๆ
               ย่านสลัมในเมืองกัลกัตตาที่ไม่น้อยหน้ามะนิลา ฟิลิปปินส์
 หนุ่มๆทำภาระกิจส่วนตัวกันข้างถนน
ประเทศอินเดียคือสรวงสวรรค์ของวัว
           ระยะทางเพียงไม่ถึง30 กิโลเมตร แต่ใช้เวลามากกว่า1ชั่วโมง รถแท็กซี่ก็พาพวกเรามาส่งที่สนามบิน Netaji แบบไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก็ทั้งรถติดทั้งโดนคนพื้นที่ตกลงราคามาก่อนนี่จ๊ะนายจ๋า ฉานเลยไม่กล้าเรียกร้องอะไรเพิ่มน่ะนาย เวลาสิบโมงกว่าได้เวลาเช็คอินพอดี มาเที่ยวอินเดียครั้งนี้ช้อปปิ้งผ้าผ่อนเยอะไปหน่อยเลยต้องเสียค่าโหลดกระเป๋าเพิ่ม ใครก็ตามที่เดินทางมาอินเดียด้วยใจที่แน่วแน่ว่าจะไม่ซื้ออะไรเลย บอกได้คำเดียวเลยว่ายาก ด้วยราคาของล่อตาล่อใจซะขนาดนี้ ทีมนักแบกเป้งบน้อยยังต้องยอมจัดหนักเพื่อให้มีของไปฝากเพื่อนๆ กันถ้วนหน้า  ระหว่างนั่งรอเครื่องพวกเราก็ได้ไปซื้อชาอินเดียแท้ๆติดไม้ติดมือไปฝากเจ้านายกันอีก ร้านค้าในสนามบินมีชาจำหน่ายทั้งชาดาร์จีลิ่ง (Darjeeling Tea) ชาอัสสัม (Assum Tea) ฯลฯ ราคาก็ตกประมาณกล่องละ 45-55รูปี เป็นชาถุงบรรจุกล่องละ 25ซอง ถ้าราคานอกสนามบินคงถูกกว่านี้มากๆ นี่แหละประเทศผู้ผลิตชา  ก่อนขึ้นเครื่องยังได้ผูกมิตรกับกลุ่มสาวเหลือน้อยชาวฟิลิปปินส์ พวกเธอจะกลับประเทศแต่แวะผ่านเมืองไทย1คืน โดยเธอจะไปซื้อโน้ตบุ๊ค เลยมาขอคำปรึกษาพวกเราว่าจะไปซื้อที่ไหน เมืองไทยยังคงเป็นแหล่งสวรรค์สำหรับนักช้อปเสมอ เรานั่งคุยกันเพลินจนได้เวลาเครื่องทะยานออกตอนเที่ยงครึ่ง ใช้เวลาบินสองชั่วโมงเศษๆ ยังคิดอยู่ว่าหากประเทศอินเดียไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ สังคมคงจะน่าอยู่มากกว่านี้ จึงขออยากฝากให้ทุกท่านได้คิดว่า ไปต่างประเทศแต่ละครั้งขอให้ลองย้อนมองดูประเทศของเราด้วย ประเทศอินเดียนั้นยังคงมีเสน่ห์มนตราอยู่มากด้วยว่าผู้คนยังคงรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมประเพณีไว้อย่างเหนียวแน่น  หากจะมองอย่างลึกซึ้งแล้วประเทศอินเดียก็เปรียบเสมือนหนังสือเล่มใหญ่ที่อ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจบ แล้วฉันจะกลับมาเยี่ยมเธอใหม่ สิ้นปีนี้นะ อินเดีย

 เด็กน้อยเดินทางไปโรงเรียน
 ภารกิจลับๆที่ไม่ลับตาคนของหนุ่มๆ ข้างถนน
 น่าสงสารก็แต่แพะกลุ่มนี้ที่พวกมันเห็นเพื่อนตัวเองห้อยต่องแต่งบนขื่อ
 สมณชีพราหมณ์ของที่นี่แต่งตัวคล้ายสงฆ์?
 รูปเคารพเจ้าแม่ทั้งหลายวางขายเกลื่อนกลาดริมทาง
 รถเจ้าภาพของที่นี่นั่นคือ TATA
โปสการ์ดไว้ย้ำเตือนความทรงจำ แล้วเราจะกลับมาหาเธอใหม่ปลายปีนี้นะจ๊ะ
Coming Soon we promised.

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ ตอนที่9 ชวนชิมมื้อกลางวันระดับภัตตาคาร แวะชม Indian Museum และเยือนย่านเมืองเก่า B.B.D. Bagh

                แท็กซี่พาพวกเรามาส่งที่สถานีเอสพลานาด (Esplanade) ยามบ่ายเพื่อทำตามความประสงค์ที่พวกเราอยากจะลิ้มลองอาหารอินเดียระดับภัตตาคาร ซึ่งสองสามีภรรยาชาวสเปนได้แนะนำไว้ว่าอยู่ตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าซิตี้มาร์ท (Citimart) ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Surendra Nath Banerjee เป็นย่านการค้าใหญ่ใกล้กับ New Market เช่นกัน  ร้านนี้มีชื่อว่า ภัตตาคารรุจิกา (Ruchika Restaurant) ว่าไปชื่อคนอินเดียกับชื่อคนไทยนั้นคล้ายคลึงกันมากครับ เป็นผลจากการที่เราไปยืมใช้คำภาษาบาลีสันสกฤตนั่นเองครับ ร้านรุจิการาคาอาหารจะสูงกว่าร้านทั่วไปประมาณเท่าตัว อาหารเสริฟ์มาในจานโลหะ เราสั่งข้าวหมกไก่ซึ่งที่นี่ทำได้อร่อยมากครับ หอมกลิ่นเครื่องเทศมากๆ เครื่องเทศข้าวหมกเค้าใส่มาเป็นใบเป็นก้านเลยครับมิได้เป็นผงข้าวหมกสำเร็จรูปรสชาติเข้มข้นสุดๆ แล้วเราก็สั่งแกงไก่แบบไร้กระดูกพร้อมกับแกงถั่วมาด้วย เนื้อไก่ไร้กระดูกนุ่มสุดๆแทบจะละลายในปากเลยครับรสแกงใช้ได้เลยทีเดียว มื้อนี้อร่อยจริงไม่มีผิดหวังครับทานไม่หมดด้วยเพราะปริมาณอาหารต่อจานนั้นเยอะมาก พวกเราต้องห่อข้าวหมกไก่กลับที่พักครับ สนนราคามื้อนั้นตกอยู่ที่ 310 รูปี ราคาไม่ถึงกับแพงมากนัก แต่ถ้าเทียบกับร้านอาหารอื่นๆ ในอินเดีย จัดว่าแพงครับ

 ภัตตาคารรุจิการาคามิตรภาพ
 ดูจากราคาอาหารแล้วนับว่าใช้ได้เลยทีเดียวเพราะร้านนี้ไม่เน้นมังสวิรัติ

 ข้าวสวยที่นี่เป็นข้าวบาสมาติ เมล็ดจึงเรียวยาวและสวยมาก
 แกงถั่วที่นี่มีการตกแต่งหน้าอาหารแบบกาแฟลาเต้ด้วย
 แกงไก่ไร้กระดูกอย่างอร่อย
ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น (จากกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน)
                 เสร็จแล้วพวกเราก็เดินช้อปปิ้งสักครู่ที่ห้างซิตี้มาร์ทซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับภัตตาคาร อันมีสัญลักษณ์หน้าห้างเป็นตัวสไปเดอร์แมนกำลังไต่ป้ายหน้าห้างอยู่ ใครเดินผ่านไปมาย่อมจำได้ด้วยว่าเปรียบเสมือนแลนด์มาร์คของย่านการค้าแห่งนี้เลยครับ เมื่อเข้าไปชมสินค้าภายในห้างพบว่าที่นี่จะมีสองชั้น แยกชั้นสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีอย่างชัดเจนเลยครับ โดยของผู้ชายจะอยู่ชั้นล่าง ของผู้หญิงอยู่ชั้นบน ราคาสินค้าที่นี่ต่อรองไม่ได้ครับแต่ก็ไม่ผิดหวังเลยครับ เพราะว่าราคาถูกกว่าตลาดข้างนอกด้วยซ้ำ หากรู้เช่นนี้เราคงไม่ต้องไปเดินเลือกร้านข้างนอกและต่อราคาให้เสียเวลาเลยครับ  พวกเราได้เลือกซื้อเสื้อผ้าสไตล์อินเดีย ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ และปลอกหมอนกลับมาเป็นที่ระลึกครับ ราคามิตรภาพจริงๆ

  พื้นที่บริเวณหน้าห้าง Citimart สินค้าราคามิตรภาพ มาง่ายให้สังเกตตัวสไปเดอร์แมน

บริเวณปากทางเข้าย่านการค้าสถานี Esplanade
ปลอกหมอนสไตล์อินเดียเหมาะแก่การซื้อเป็นของฝาก


               พอได้ช้อปปิ้งเป็นที่หอมปากหอมคอแล้ว พวกเราต้องเอาทั้งเสบียงอาหารมื้อค่ำและข้าวของไปเก็บที่โรงแรมก่อนครับ จากนั้นก็เดินเท้าเลี้ยวซ้ายออกไปด้านหลังที่พักอันเป็นที่ตั้งของ Indian Museum หรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอินเดียครับ  พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1814 โดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียครับ เต็มไปด้วยห้องจัดแสดงวัตถุมากกว่า 40ห้อง มีทั้งห้องแสดงซากพืช ซากสัตว์ โลกแมลง ห้องแร่และหิน ภูมิศาสตร์ อารายธรรมมนุษย์โบราณ ห้องแสดงหน้ากาก ผ้า ฯลฯ บรรยายไม่หมดครับ เอาเป็นว่าเหมาะสมกับเด็กมาทัศนศึกษามากกว่าผู้ใหญ่ครับ มีการจัดแสดงวัตถุแบบง่ายๆ ไม่มีลูกเล่นแบบพิพิธภัณฑ์มีชีวิตหรือ Live Museum นะครับ พิพิธภัณฑ์นี่ตั้งอยู่บนหัวถนน Sudder และ J.N. Road ครับ  เปิดให้บริการทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่ 10.00-17.00น. ครับ ค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติคนละ 150 รูปี มีพื้นที่สำหรับฝากสัมภาระด้านนอกด้วยครับ แน่นอนครับด้านในห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด แต่พวกเราก็แอบถ่ายมาอีกจนได้ครับ แต่ละห้องจัดแสดงนั้นกว้างใหญ่มาก เดินอย่างไรก็ไม่ทั่วและไม่ทันกับเวลาเพียง2ชั่วโมง เพราะที่นี่ปิด5โมงเย็น แอบประทับใจห้องแสดงหน้ากากที่จะต้องปีนขึ้นไปถึงชั้น6ครับ พอ5โมงปุ๊บ เสียงออดดังขึ้นแบบเสียงออดโรงเรียนเลิก ห้องจัดแสดงต่างๆเริ่มปิดตัวลง ทั้งที่ยังมีคนอินเดียเดินชมอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้คนก็เลยกรูลงมาออกันอยู่ข้างล่างอย่างแน่นเนือง บริเวณด้านล่างลานน้ำพุมีการเล่นดนตรีขับกล่อมผู้เข้าชมด้วยครับ
 ลานน้ำพุบริเวณชั้นล่างของ Indian Museum
จุดแสดงดนตรีสดขับกล่อมซึ่งเป็นเพลงบรรเลงล้วนๆ

         พวกเราเดินชมพิพิธภัณฑ์อยู่นานจนคอแห้งเป็นผง เราจะต้องออกมาเติมความสดชื่นกันหน่อย ด้านนอกพิพิธภัณฑ์มีของขายคล้ายกับเมื่อวาน เจ๊จัดแจงสั่งน้ำส้มเช้งคั้นมาดื่มแก้กระหายเห็นคนอินเดียต่อคิวซื้อกันยาวเชียว น้ำส้มคั้นสดราคาแก้วละ 20 รูปีครับ ดื่มแล้วจะต้องคืนแก้วเค้าด้วยนะครับ ผลไม้ที่นี่ขายกันแบบแปลกๆครับ เค้าจะหั่นทุกอย่างใส่ในจานไว้ให้คนซื้อทานกันสดๆ ไม่ขายแยกเป็นอย่างๆครับ เราเรียกรถแท็กซี่อีกครั้งเพื่อไปยังย่าน B.B.D. Bagh   ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า ถามใครก็ไม่มีใครรู้จักว่ามันอยู่ตรงไหน พวกเราต้องชี้จุดบนแผนที่ให้แท็กซี่ดู แต่สุดท้ายเค้าก็หลงทางพาพวกเราไปส่งที่ Nakhoda Mosque พวกเราเลยต้องลงเดินกันอานเลย ระหว่างทางก็ได้ถ่ายรูปรถรางซึ่งแล่นผ่านไปมา วันอาทิตย์รถยนต์ตามท้องถนนบางตาเมื่อเทียบกับวันเสาร์ นี่คงเป็นวันครอบครัวจริงๆ สำหรับชาวเมืองกัลกัตตา
 ดูจากเครื่องคั้นน้ำส้มแล้วน่าอร่อยจริงๆ
 หน่วยกล้าตายลองชิมน้ำส้มเช้งคั้นแล้ว
 ผลไม้ที่นี่เค้าจะหั่นแล้วคละรวมกันขายเป็นจานๆ 
 หลากสีสันของรถรางในเมืองกัลกัตตา
รถรางมีรอยชนตัวถังเหล็กยุบรอบคัน บ่งบอกอายุการใช้งาน
 หากมองเผินๆจะนึกว่าอยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
 รถออสตินถูกจัดฉากถ่ายรูปครั้งแล้วครั้งเล่า
 ระหว่างทางเดินไป B.B.D. Bagh
ขอแชะภาพกับรถตำรวจซักหน่อย

            B.B.D. Bagh เป็นย่านหรูใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยศูนย์ราชการต่างๆ และตึกเก่าๆสมัยยุคอาณานิคม แต่อาคารที่นี่ได้รับการบูรณะฟื้นฟูนะ ไม่ปล่อยให้เก่าคร่ำคร่าเหมือนกับบริเวณนอกเมือง กลุ่มอาคารย่านนี้มีทั้งที่ทำการไปรษณีย์  สำนักงานป่าไม้  โบสถ์ ธนาคารแห่งชาติอินเดีย และสถานที่ราชการอื่นๆอีกมาก ด้วยความที่พวกเราไปเยือนในเย็นวันอาทิตย์ สถานที่ราชการและย่านเมืองเหล่านั้นจึงถูกทิ้งเป็นเมืองร้าง ถนนใหญ่โล่งและสะอาดตา ไร้ซึ่งผู้คนเดินตามท้องถนน คงเหลือแต่พวกเราเท่านั้น และการ์ดที่ยืนอารักขาตามสถานที่สำคัญต่างๆ เลยจับมาถ่ายรูปด้วยกันเสียเลย บริเวณจุดศูนย์กลางจัตุรัส B.B.D. Bagh มีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นแลนด์มาร์คด้วย ว่าแต่คุณภาพของน้ำนั้นไม่ไหวแล้วครับ รถรางแล่นมาสุดสายบริเวณนี้พอดี ที่นี่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Dalhousi Square ครับ  พวกเราเดินอยู่ได้เพียงสักครู่ความมืดก็เข้าปกคลุมไปทั่ว ไม่เหลือผุ้ใดเดินถนนอีก ถนนสายนี้เป็นของพวกเราเท่านั้น รีบเดินครับ ควรรีบเดินไปยังที่สว่างและปลอดภัยมันเงียบเกินไปเสียแล้ว พวกเราเลยเดินไปสั่งน้ำส้มคั้นมาทานกันอีก และเรียกแท็กซี่บริเวณนั้นกลับไปที่ย่านเอสพลานาดในราคา 70รูปี
 ธนาคารแห่งชาติอินเดียและโบสถ์ St. Andrew

อาคารอะไรไม่ทราบรู้เพียงแต่ว่าสีสวยดี
 ถ่ายกับเหล่าการ์ดยามว่าง

 อาคารที่ทำการไปรษณีย์ยามพลบค่ำ
จัตุรัส B.B.D. Bagh (Dalihouse Square)
 น้ำส้ทเช้งคั้นสดเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดยามกระหาย
เดินกันไม่ไหวแล้วขอโบกแท็กซี่กลับซักหน่อย

ตอนต่อไปบทส่งท้ายชมกระบวนการปรุงอาหารอินเดียกันถึงก้นครัวเลยครับ อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อนนะครับ