วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ ตอนที่7 เที่ยวละไมเมืองกัลกัตตา แฉกลโกงแท็กซี่และสถานที่ท่องเที่ยว Nakhoda Mosque

                การประกอบสัมมาอาชีพใดๆบนโลกควรจะยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คดโกง หากคิดไม่ซื่อแล้ว นอกจากคุณจะได้คดโกงคนอื่นได้แค่ครั้งเดียวในชีวิตแล้ว คุณยังได้ทำลายชื่อเสียงประเทศของคุณย่อยยับด้วย เราไม่ตั้งใจที่จะขึ้นต้นเนื้อหาบทความในทางลบเช่นนี้ หากเราไม่เจอคนขับรถแท็กซี่ที่ขูดรีดและเรียกค่ารถเกินควรจากนักท่องเที่ยว
                พวกเราเดินออกมาเรียกรถแท็กซี่ตรงเชิงสะพาน Howrah เพื่อพาไปยังพระราชวังหินอ่อน หรือ Marble Palace เมื่อดูระยะทางจากแผนที่แล้วไม่ไกลเลย แค่ประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น คุณพี่แท็กซี่ย่านนั้นเขารวมตัวกันเป็นกลุ่ม เรียกราคาพวกเราซะ 350รูปี โอ้แม่เจ้า ราคานี้เท่ากับเหมาไปนอกเมืองเลยนะ แพงมากๆ เจ๊ไม่พอใจต่อราคาลงเหลือ 100 รูปี เอาล่ะสิคราวนี้แท็กซี่โวยวายใหญ่ มีพรรคพวกมาร่วมผสมโรงด้วยและบอกว่าราคานี้แหละดีที่สุดแล้ว พวกเราหัวเสียเป็นอย่างมากก่อนที่จะมีการวางมวยเกิดขึ้น พวกเราเลยขอความช่วยเหลือให้ตำรวจท่องเที่ยวช่วย ในที่สุดตำรวจก็เรียกแท็กซี่ให้1คันแล้วบอกเขาให้คิดราคาตามมิเตอร์เรื่องวุ่นวายจึงยุติลง รถพาขึ้นสะพาน Howrah Bridge ให้เราได้ชมทิวทัศน์แม่น้ำและผู้คนที่สัญจรบนสะพาน พอลงมาถึงตีนสะพานเท่านั้นแหละ การจราจรก็หยุดนิ่งสนิทเป็นเวลานานจนรถดับเครื่อง มิเตอร์ก็ยังไม่ขึ้นไปไหนยังคงอยู่ที่25รูปี จนถึงถนนสายหลักแท็กซี่เองก้ไม่รู้จัก Marble Palace ให้ดูในแผนที่ก็ยังไม่เข้าใจ จนใกล้จะถึงที่หมายแล้วรถติดมาก พวกเราจึงขอลงก่อนเพื่อเดินกางแผนที่หาดีกว่าพร้อมกับจ่ายค่าแท็กซี่ไป50รูปี ซึ่งในความเป็นจริงมิเตอร์ขึ้นมาแค่30รูปี เพราะอะไรน่ะหรือเพราะพวกเรารู้สึกเกรงใจที่ค่ารถตามมิเตอร์จริงนั้นถูกมากๆ ไม่คุ้มกับค่าเสียเวลาที่รถติดและค่าน้ำมันที่เกิดขึ้นจริงๆน่ะสิ  คิดแล้วชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ว่าทำไมเราต้องจ่ายในราคาที่แตกต่างกันถึง7 เท่าตัว
 เมื่อเรานำภาพวิถีชีวิตคนอินเดียมาทำเป็นซีเปีย
 อาคารสีเหลืองกับดงรถแท็กซี่อินเดีย
 ถ่ายกับดงกล้วยหอมเป็นที่ระลึก
 ร้านนี้ขายกล้วยหอมอย่างเดียวโดยเฉพาะ
หนุ่มคนนี้เห็นกล้องเป็นไม่ได้ ท่าทางเล่นกล้องของคนที่นี่แตกต่างจากบ้านเรา

             พวกเราเดินตามทางในแผนที่มาเรื่อยๆ ถามคนตามริมทางก็ไม่มีใครรู้จัก Marble Palace สักคน นี่คงไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญแน่ๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้นเมื่อพวกเราแลเห็นอาคารหินอ่อนขนาดไม่ใหญ่นักสีขาวโพลนตั้งอยู่ริมถนน Mukta Ram  คนเฝ้าสถานที่เก็บค่าเข้าคนละ 200รูปี พร้อมกำชับห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด แต่พอเราไปเจรจากลับอนุญาตแต่เสียค่านำกล้องเข้าไปด้วยอีกประมาณ200 รูปี เราเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าเลยประชุมกันว่าตกลงจะเข้าชมหรือไม่ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าหากเก็บค่าชมยิบย่อยทำหลายมาตรฐานก็ไม่ควรจะเข้าไปชมซะ เอาให้ขาดรายได้จากกลุ่มเราไปเลย ว่าแล้วพวกเราก็แชะภาพด้านหน้ากับอาคารร้างที่อยู่ด้านข้าง ก่อนไปก็กินน้ำมะพร้าวสดจากลูกให้ชื่นใจซักหน่อย
 อาคารหินอ่อน Marble Palace

 ซากปรักหักพังข้างๆ พระราชวังหินอ่อน
 สองหนุ่มกับหนึ่งสาวริมซากปรักหักพังใจกลางเมือง
 ดื่มน้ำมะพร้าวสดจากลูกแก้กระหายกันหน่อย
 อาคารสีแดงแบบนี้มีให้เห็นทั่วไปในกัลกัตตา
ตึกนี้ถ้าไปอยู่เมืองไทยคงขึ้นทะเบียนอาคารเก่าไปแล้ว

             เมื่อเติมพลังด้วยน้ำมะพร้าวแล้ว เราก็ออกเดินต่อจนมาพบกับถนนที่มีรถรางวิ่ง รถรางที่นี่เค้าใช้ระบบไฟฟ้าครับ เก่าคร่ำคร่าแล่นช้าแต่ก็ยังวิ่งได้อยู่และใช้ทางสัญจรทับกับถนน ดังนั้นบางครั้งรถรางก็ต้องหยุดหากมีรถหรือคนกีดขวางอยู่ด้านหน้า ระหว่างทางเดินไป Nakhoda Mosque ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายมีทั้งเสื้อผ้า ของกิน ของใช้ เครื่องประดับตกแต่ง รวมไปถึงเครื่องทองเหลือง มาอินเดียถ้าคุณไม่ได้ช้อปเครื่องทองเหลืองพวกตะเกียง เตาจุดกำยาน เตารีด ภาชนะต่างๆ ถือว่าคุณยังมาไม่ถึงนะ เพราะราคาถูกมากเป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นเองที่นี่ แต่ต้องระวังค่าระวางในการโหลดสัมภาระด้วยนะ เพราะแต่ละชิ้นก็หนักเอาการอยู่
 นักเรียนชาวกัลกัตตาคงจะเลิกเรียนพอดี
 อาคารทั้งแบบเก่าและใหม่ในย่านการค้า

 รถรางคันนี้จะจูบกับรถแท็กซี่ หากยังอุตริแล่นต่อไป
น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้ลองขึ้นไปนั่งรถรางกัน

ร้านขายเครื่องทองเหลืองของอินเดีย
             และแล้วก็คุ้มค่าการรอคอย เมื่อสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ อาคารตึกสีแดงสถาปัตยกรรมแบบอาหรับมียอดโดมเล็กๆ Nakhoda Mosque เป็นศูนย์รวมคนมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองกัลกัตตา ตั้องอยู่บนถนน Jacqueria สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1926 โดย Abdar Rahim Osman  ค่าสร้างในยุคนั้นประมาณ15ล้านรูปี อาคารสร้างจากหินทรายสีแดง มียอดโดมเล็กๆทั้งหมด 25ยอด แบบศิลปะโมกุล ภายในสามารถรองรับคนเข้ามาละหมาดได้มากกว่า10000 คน พวกเราเก็บภาพข้างนอกให้สมใจ เพราะด้านในห้ามถ่ายภาพแน่นอน แทนที่จะได้เดินชมด้านในพวกเรากลับนั่งกองกันอยู่ที่บันไดขึ้นลง ด้วยว่าที่นี่มีความเงียบสงบและร่มเย็นสมกับเป็นศาสนสถานพวกเราจึงนั่งพักให้หายเหนื่อยหายให้หายเมื่อย แล้วค่อยเดินทางกลับที่พัก
 อาคารสีแดงปลูกติดริมถนนถ้าไม่แหงนหน้ามองคงไม่เห็น
 Nakhoda Mosque
 ความยิ่งใหญ่และอลังการของศิลปะแบบโมกุล
มัสยิดขนาดเล็กในเมืองนี้มีให้เห็นทั่วไปเช่นกัน

                หนุ่มญี่ปุ่น เคอิตะ ขอตัวแยกทางกับพวกเราที่นี่ เค้ามีกำหนดที่จะต้องเดินทางต่อทางรถไฟไปเมืองคยา พวกเราอวยพรให้เค้าโชคดีและมีทริปที่ราบรื่นปลอดภัย พวกเราหอบสังขารเฮือกสุดท้ายเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน เดินกลับไปขึ้นรถใต้ดินที่สถานี
Central เราจะเดินทางไปลงที่สถานี Park Street
ซึ่งอยุ่ใกล้กับที่พักของพวกเรามากที่สุด ขอกล่าวถึงรถใต้ดินที่นี่สักนิด เค้ามีเวลาปิดเปิดนะครับ วันจันทร์ถึงวันเสาร์ เค้าจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 7.00 21.45 น. ถ้าเป็นวันอาทิตย์จะเปิดที่ 14.00 21.45 น.  ดังนั้นหากใครจะเที่ยวชมเมืองกัลกัตตาในวันอาทิตย์จะต้องวางแผนการเดินทางให้ดีก่อนนะครับ เช้าคุณอาจต้องเหมาแท็กซี่ยาว 
 รู้มั้ยว่ามันคืออะไร เฉลย ขี้วัวตากแห้งค้าบพี่น้อง
 ที่นี่เค้าจะผูกแพะไว้ริมถนนเสมอ
 เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ย เห็นของบรรทุกแล้วตกใจ
เมนูริมทางขึ้นชื่ออีกเมนูหนึ่ง เค้าจะเอามะเขือเทศถั่วบดและข้าวมาคลุกน้ำยำแล้วทาน

             เย็นวันเสาร์คนที่นี่เค้าก็ทำงานกันนะ ดังนั้นความแออัดของรถใต้ดินเที่ยวกลับไม่ต้องพูดถึงยิ่งกว่าโรงงานปลากระป๋อง และก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ผู้หญิงอินเดียหายไปไหนกันหมด? โชคดีมากที่คนเมืองนี้เค้าไม่มีกลิ่นตัวกันครับอาจเป็นเพราะทานมังสวิรัติ ไม่เช่นนั้นเราอาจต้องกลั้นหายใจมาจนถึงปลายทาง  เราขึ้นที่สถานี Park Street  ได้แวะช้อปของริมทางก่อนกลับที่พัก เป็นตลาดนัดเล็กๆ วางขายของบริเวณพิพิธภัณฑ์ Indian Museum มีทั้งเสื้อผ้าสไตล์อินเดีย ของกินของใช้จุกจิก และรองเท้าหนังแบบอินเดียคู่ละ 200 หนังแท้ๆ เลยครับ แต่ฟอกเสียจนนิ่มและบางเอาไว้ใช้งานฉาบฉวย  เรากลับไปที่พักเพื่อเอาของเก็บแล้วออกมาทานมื้อเย็นกันชุดใหญ่ นอกจากจะฟาดแซนวิชของร้าน Subway  แล้ว พวกเรายังแวะเข้า Maria Restaurant ที่อยู่ปากซอยโรงแรมที่พักสั่งหมี่ผัดและข้าวผัดมากินอีกด้วย ร้านนี้เค้าผัดออกสไตล์จีนครับแต่ทำโดยคนอินเดีย รสชาติก็เลยออกมาชอบกลครับ นอกจากนี้เรายังสั่งไก่ทอดและเกี๊ยวซ่ามาทานด้วย เนื่องด้วยทั้งวันมานี้พวกเรายังไม่ได้ทานเนื้อสัตว์กันเลยครับสนนราคามื้อนี้แค่ 110 รูปี ว่าแล้วก็ตบท้ายด้วยยอดข้าวก่อนนอนบนดาดฟ้าโรงแรมอีกตามเคยครับ

 อาหารอินเดียมักจะเสริฟมาในถาดหลุมแบบนี้เสมอ
อีกมื้อที่พอไหวกับข้าวผัด หมี่ผัด ไก่ทอดและเกี๊ยวซ่า
ตอนต่อไปพาชิมอาหารเช้าแบบอินเดียตอนเหนือที่อร่อยมากๆ และพาชมอนุสรณ์สถาน Victoria Memorial



2 ความคิดเห็น:

  1. มาที่นี่ทีไรได้ข้อมูลเยอะแยะเลย...อย่างนี้ต้องออกท่องโลกบ้างแล้ว...แม้ภาษาอังกฤษจะงู ๆ ปลา ๆ ก็เหอะ แต่ตอนนี้ขอลดความอ้วนก่อน..อิ อิ
    ตั้งไว้เป็ย Favorit link เลยนะ...
    อินดี้ติงลี่

    ตอบลบ
  2. การท่องเที่ยวเป็นกำไรชีวิตครับ คนพูดภาษาอังกฤษได้งูปลา ออกท่องโลกกว้างมีถมไปครับ ขอเพียงแต่เราอย่าไปกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคทั้งปวงครับ

    ตอบลบ