หลังจากหลับเต็มอิ่มด้วยฤทธิ์เบียร์สด บวกกับฝนตกพรำๆทั้งคืนยันเช้า ทำให้เราตื่นมาด้วยความสดชื่นและก็ไม่ลืมที่จะไปปลุกเพื่อนข้างห้องให้ตื่นกันด้วย เพราะว่าวันนี้เรามีนัดกันว่าจะไปตะลอนทัวร์กรุงย่างกุ้งให้หนำใจด้วยรถเช่าเหมาคัน มิต้องไปเดินแบกเป้เที่ยวขึ้นรถเมล์ผิดๆถูกๆ อีกต่อไป
เจดีย์โบตะทาวน์ในยามเช้าที่ฟ้าหม่น
พนักงานโรงแรมที่นี่เมื่อเห็นว่าเราตื่นแล้ว กุลีกุจอเข้ามาถามทันทีว่าต้องการให้ทำอาหารเช้าเลยหรือไม่ เพราะพักที่นี่มีอาหารเช้าให้บริการฟรี เราตอบว่าให้ทำมาเลยห้าที่ มื้อแรกของวันนี้ประเดิมด้วยหมี่ผัดแบบพม่าพร้อมกับผลไม้และน้ำชากาแฟ ทุกอย่างจัดวางใส่จานมาอย่างละนิดอย่างละหน่อยแต่ก็ทำให้เราอิ่มได้เช่นกัน
ชุดอาหารเช้ารวมอยู่ในค่าที่พัก บริการแบบจัดเต็ม
สามสาวสุดเฮี้ยวเธอวางแผนจะไปเที่ยวเมืองมัณฑะเลย์ต่อ วันนี้พวกเธอจะต้องไปซื้อตั๋วรถทัวร์ในเมือง ด้วยความที่ไม่อยากแบกกระเป๋าไปเยอะ เธอก็เลยยุบกระเป๋าและทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ฝากทางเกสต์เฮ้าส์ไว้ ซึ่งที่นี่ยินดีรับฝากสัมภาระหากคุณต้องการจะมาพักต่อที่นี่ ส่วนเราพักต่ออีกสองคืนเลยอาสาจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้
ริมถนนบริเวณที่พักของเรามีก๋วยเตี๋ยวพม่าแบบยองๆเหลาเปิดขายด้วย
คณะทัวร์ของเราพร้อมออกเดินทางแล้วค่ะ
รถตู้คันเดิมมารับพวกเราทั้งห้าแบบตรงเวลาเป๊ะ คนขับนุ่งโสร่งกับเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพ เชื้อเชิญพวกเราให้ขึ้นรถ โดยมีจุดหมายแรกคือไปชมวัดโบตะทาวน์ (Botataung Pagoda)ก่อน เพราะอยู่ใกล้กับที่พักที่สุด รถแล่นไปตามถนนสแตร๊นท์ (Strand Road) ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำย่างกุ้ง ถนนสายนี้มีความสำคัญเพราะเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการหลายแห่ง ทั้งที่ทำการไปรษณีย์กลาง กรมศุลกากร โรงแรมเก่า(Strand Hotel) ล้วนแต่เป็นอาคารในยุคอาณานิคมอังกฤษทั้งสิ้น ท้องถนนยามเช้าวันศุกร์รถเยอะแต่ก็ไม่ถึงกับติดขาดแล่นได้ตลอด
เจดีย์สุเลยามเช้าและอาคารกรมเจ้าท่า
อาคารที่ทำการไปรษณีย์เก่าแก่
อาคารกรมศุลกากร
สองแถวเป็นพาหนะอย่างหนึ่งสำหรับคนเมืองย่างกุ้ง
ถึงแล้วปากทางเข้าวัดเจดีย์โบตะทาวน์
บริเวณปากทางเข้าวัดโบตะทาวน์นั้นเต็มไปด้วยร้านค้าขายเครื่องสักการบูชามากมาย เมื่อรถเราจอดเหล่าบรรดาแม่ค้าทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาขายพวงมาลัยและเครื่องไหว้ทันที พวกเราในฐานะชาวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 2 ดอลล่าร์ และค่าธรรมเนียมสำหรับกล้องถ่ายรูปใหญ่อีกกล้องละ 1ดอลล่าร์
ของไหว้สักการะหน้าวัดล้วนใส่ตะกร้าและพานใหญ่โต
จุดเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
คนพื้นเมืองที่มาไหว้ก็จะแวะซื้อพวงมาลัยกับร้านที่อยู่นอกวัด
ดอกมะลิที่นี่ไม่ได้แช่น้ำยา ยามสายจึงบานแฉ่ง
อาคารแบบศิลปะพม่าสวยๆ หน้าวัดโบตะทาวน์
วัดโบตะทาวน์ (Botataung Pagoda) ตั้งอยู่บนถนนสแตรนท์ ริมแม่น้ำย่างกุ้งใกล้ท่าเรือสินค้าเมืองย่างกุ้ง “โบตะทาวน์” เป็นภาษาพม่าแปลว่า ทหาร1000นาย มีประวัติความเป็นมาเมื่อ 2000 ปีก่อน พระสงฆ์จำนวน 8รูป ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานที่นี่ก่อนจะนำไปบรรจุ ณ เจดีย์ชเวดากอง ซึ่งต้องใช้ทหารกว่า1000 นายอารักขาไว้
แผนผังแสดงส่วนประกอบต่างๆของเจดีย์โบตะทาวน์
ฝูงนกใหญ่หน้าวัดโบตะทาวน์
เจดีย์นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2496 เพื่อทดแทนเจดีย์องค์เดิมที่ถูกทำลายลงจากการทิ้งระเบิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เจดีย์โบตะทาวน์เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบลังกาสูง 140 เมตร ด้านในประดับด้วยกระจกสีประณีตงดงาม ภายในเจดีย์ใพระเกศาธาตุบรรจุภายในครอบด้วยแก้วใส ด้านในเจดีย์ทำช่องทางเดินให้พุทธศาสนิกชนได้เดินวนรอบและได้สักการะอย่างใกล้ชิด
พระเกศาของพระพุทธเจ้าได้ถูกบรรจุไว้ภายในครอบแก้ว และตู้นิรภัยอีกชั้น
คำอธิบายเกี่ยวกับเส้นพระเกศาอ่านได้ที่นี่
ด้านขวาของวิหารจะมีวงล้อเสี่ยงโชค โดยจะต้องทำบุญแล้วเค้าจะจัดธนบัตรจ๊าดพับมาเป็นรูปต่างๆ ให้เราโยนธนบัตรที่พับนั้นลงในบาตรพระซึ่งหมุนติ้วตลอดเวลาบนจานหมุนขนาดใหญ่ งานนี้ทีมงานเราสนุกสนานกันมากกับการปาเงินให้ลงบาตรพระ ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลอะไรเลยก็ตาม แต่ก็ได้รับความเพลิดเพลินเป็นรูปแบบใหม่อีกรูปแบบหนึ่งของการทำบุญที่วัดในพม่านี้
จานหมุนเสี่ยงโชคเสี่ยงบุญ การทำบุญในรูปแบบใหม่
ทุกท่านขณะเพลิดเพลินกับการโยนธนบัตรจ๊าดให้ลงบาตรแต่ละใบ
เหนื่อยนักนั่งพักหน่อยก่อนไปไหว้เทพทันใจที่ศาลากลางบ่อเต่า
ด้านซ้ายของวิหารจะมีบ่อเต่าและมีอาหารเต่าสำหรับผู้ใจบุญได้ให้อาหาร และมีศาลากลางน้ำซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทพทันใจ หรือนัตโบโบยี ซึ่งชาวพม่านิยมมากราบไหว้ขอพร และเชื่อว่าถ้าอธิษฐานขออะไรก็จะได้สิ่งนั้นตามปรารถนารวดเร็วทันใจ ซึ่งวิธีสักการะเทพทันใจนั้นก็แสนง่าย ให้เริ่มเอาดอกไม้และผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมะพร้าวอ่อนและกล้วยและผ้าแพรหลากสี จากนั้นให้นำเงินสกุลใดๆก็ได้มาม้วนๆ แล้วใส่มือขององค์รูปปั้น2ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึงกลับมา1ใบเพื่อเก็บไว้ จากนั้นให้เอาหน้าผากของเราไปจรดกับนิ้วชี้ของเทพทันใจ เท่านี้ก็สำเร็จผล ภายในศาลาจะมีคุณลุงท่านหนึ่งคอยอำนวยการทำพิธีสวดให้พวกเราด้วยขณะถวายดอกไม้และผลไม้ เมื่อทำพิธีเสร็จแกก็จะมอบยอดกิ่งไม้มงคลคนละ1กิ่ง ไว้ให้พวกเราทุกคนเก็บไว้ในกระเป๋าจนกว่าจะเดินทางกลับบ้าน พวกเราคงจะเก็บกิ่งไม้นั้นจนแห้งแน่ๆ
จานผักบุ้งสำหรับทำบุญให้อาหารเต่า
เทพทันใจประดิษฐานอยู่ที่ศาลากลางน้ำซึ่งจะต้องข้ามบ่อเต่าก่อน
การสักการะจะต้องนำหน้าผากไปจรดที่นิ้วชี้แล้วขอพร จากนั้นห่มผ้าให้ท่าน
ดูอีกภาพชัดๆ นิ้วชี้ท่านจะต้องจิ้มกลางหน้าผากพอดี
พระสุรัสวดีและคุณลุงผู้ทำพิธีประสาทพรกับยอดไม้มงคลที่จะให้นำติดตัวกลับบ้าน
เดินออกจากวัดฝั่งตรงข้ามมีร้านข้าวแกงพื้นเมือง และร้านขายชาร้อนกาแฟร้อนน่านั่งเชียว ชากาแฟที่นี่จะเสริฟ์มาเป็นจอกเล็กๆ ขนาดพอดีหอมกลิ่นใบชาและเครื่องเทศ รสชาติคล้ายกับชาของอินเดีย เดินเลยไปอีกจนสุดทางจะเป็นท่าเรือ ติดกับแม่น้ำย่างกุ้ง (
ซุ้มอาหารข้าวแกงพม่าและชานมแก้วเล็กกะทัดรัด
สองแม่ลูกผูกพันนั่งป้อนอาหารเช้า
วิถีชีวิตของคนพื้นเมืองยามเช้าไม่รีบเร่งจนเกินไปจึงค่อยๆละเลียดทาน
ท่าเรือตันเลียนบริเวณที่เป็นจุดข้ามฟาก
อีกสะพานหนึ่งจะเป็นจุดขนถ่ายสินค้าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าว
ขอถ่ายรูปกับนายห้างผู้จัดระบบการขนส่งโดยมีไม้จัดคิว
สาวพม่านั่งพับหมากขายให้กับเหล่าบรรดาผู้ใช้แรงงานและคนสัญจร
บริเวณท่าเรือนี้นกพิราบฝูงใหญ่มารอจิกกินข้าวเปลือกที่รั่วมาจากกระสอบ
ล้อหมุนออกจากวัด ผ่านความวุ่นวายในตัวเมืองย่างกุ้ง จุดหมายต่อไปคือพาสามสาวไปซื้อตั๋วรถโดยสารแบบค้างคืนไปยังเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งจะต้องเดินทางภายในเย็นนี้แล้วไปถึงที่นั่นตอนเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 12-14 ชั่วโมง เรียกได้ว่านอนค้างคืนบนรถเหมือนรถไปภาคเหนือของบ้านเราเลย คนขับพาวนมาที่บริษัทเอเยนซี่ขายตั๋วรถซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับตึกสถานีรถไฟเมืองย่างกุ้ง บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทขายตั๋วหลายที่ ราคาตั๋วนั้นต่อรองไม่ได้แต่เปลี่ยนรอบรถได้ สามสาวได้ตั๋วรถไปมัณฑะเลย์สมใจรอบหกโมงเย็น เสร็จธุระแล้วเราก็ไปชมความงามของวัดต่างๆ ในกรุงย่างกุ้งกันต่อ
สาวเหลือน้อยชาวย่างกุ้งยืนแอ๊คท่าให้ถ่ายรูปหน้าวัด
ร้านอาหารพื้นเมืองยามเช้าแน่นขนัดไปด้วยคนวัยทำงาน
ท่าทางคู่นี้จะมีปัญหากันแล้ว เถียงกันดังลั่นถนนเชียว
ด้านหลังของสถานีรถไฟคือที่ตั้งของบริษัทขายตั๋วรถทัวร์
แต่ละป้ายอ่านไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินทางไปไหนได้บ้าง
ด้านหน้าของบริษัทขายตั๋วรถทัวร์
เจ้าหน้าที่กำลังขายตั๋วให้กับคนพื้นเมืองที่มาซื้อ
ตอนต่อไปชมพระนอนตาหวาน วัดเจดีย์กะบ่าเอ และลิ้มรสอาหารพม่าแบบพื้นเมือง