วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แบกเป้เที่ยวย่างกุ้งตอนที่1 เย็นย่ำเจดีย์สุเล (Sule Pagoda) เสเพลร้านอาหารพม่าพื้นเมือง

                เรากลับมาที่พม่าอีกครั้งด้วยหัวใจที่เรียกร้องอยากมาเยือนอีกครั้ง หลังจากที่หลงเสน่ห์ประทับใจในผู้คนและวิถีชีวิตเมืองเชียงตุง มาคราวนี้จึงมุ่งไปเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงของพม่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ถึงแม้ปัจจุบันจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงเนปีย์ดอว์แล้วก็ตาม งานนี้ขอขอบคุณแอร์เอเชียที่ปล่อยโปรโมชั่น 100 บาท ถึงแม้จะจองแล้วเดินทางข้ามเป็นปีก็ตาม ด้วยราคาที่ถูกแสนถูกเพียง 1,320 บาท รวมทุกอย่างแล้ว เราซื้อเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วและเพิ่งได้เดินทางในเดือนมิถุนายนปีนี้ และค่าทำวีซ่าเข้าประเทศพม่าอีก 810 บาท ซึ่งนับว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราจะไปชมในครั้งต่อไป
                เวลาบ่ายสามท่ามกลางความวุ่นวายของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับช่องด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวขาออก ทำให้หลายคนโดยเฉพาะชาวต่างชาติต้องหัวเสียกับความล่าช้าของการตรวจตรา กว่าเราจะมาถึงประตูทางออกขึ้นเครื่องอีกครั้งก็ปาเข้าไปใกล้จะสี่โมงแล้ว กำหนดเครื่องออกประมาณสี่โมงครึ่ง แบกเป้เที่ยวพม่าคราวนี้มีแค่เราสองคนที่พักก็ยังไม่ได้หา กะว่าจะไปเดินย่ำแถวบริเวณเจดีย์สุเล Sule Pagoda กรุงย่างกุ้ง เพราะอ่านมาจากในเว็บไซต์ที่แนะนำ แต่เราก็มีที่พักในดวงใจบ้างแหละ
             การเดินทางจากสุวรรณภูมิไปย่างกุ้งใช้เวลาในการบินเพียง40นาที ใกล้กว่าบินไปเชียงใหม่อีก ขาไปมีเอกสารให้กรอกเป็นบัตรขาเข้า เราต้องกรอกให้ครบ และระบุย่านที่พักลงไปด้วย  และเป็นไปได้ไม่ควรมีการสำแดงสิ่งของต้องห้ามให้กับทางตรวจคนเข้าเมือง มิฉะนั้นเรื่องอาจยาว ระหว่างที่เราเก็บภาพบัตรขาเข้าอยู่นั้นก็มีเสียงทักขึ้นมาว่า โทษนะคะ คนไทยใช่ไหมคะ  เราตอบว่า ครับ แล้วมาคนเดียวรึเปล่าคะ คนถามเป็นสาวสามคนมาด้วยกัน ท่าทางเป็นขาลุย ชอบถ่ายภาพเหมือนกัน เลยคุยกันถูกคอบนเครื่อง เราต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างและพักกันที่ไหน
 บัตรขาเข้าต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนนะ

                กัปตันประกาศว่าเครื่องจะลงจอดแล้ว และขอให้ทุกท่านปรับเวลาให้ช้าลงครึ่งชั่วโมง เพราะเวลาที่ประเทศพม่าช้ากว่าประเทศไทย เรามาถึงสนามบินนานชาติย่างกุ้งตอนห้าโมงกว่า ตอนนี้พวกเรามีกัน5คนแล้ว จากการที่คุยกันถูกคอบนเครื่อง พวกเธอจะพาพวกเราเข้าพักที่ Okinawa Guesthouse ซึ่งอยู่บริเวณเจดีย์สุเล  ต้องขอบอกว่าท่าอากาศยานกรุงย่างกุ้งนั้นใหม่มาก และสะอาดกว่าสนามบินสุวรรณภูมิอีก เรานักแบกเป้ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าคงเป็นสนามบินที่มีความสะอาดมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ทีมงานแบกเป้พร้อมใจสวมเสื้อส้มกับคนพื้นเมืองที่สนามบินกรุงย่างกุ้ง
 ตัวช่วยในการเดินทางแบกเป้คือแผนที่นั่นเอง
แผนที่เมืองย่างกุ้งมีแจกที่สนามบินฟรี

                พิธีการเข้าเมืองพม่านั้นไม่ยุ่งยากเลย เพียงแต่ว่าช่องต่อแถวสำหรับชาวต่างชาตินั้นยาวไปนิด เจ้าหน้าที่ที่นี่สามารถพูดทักทายพวกเราเป็นภาษาไทยได้ เมื่อออกมาด้านหน้าสนามบินก็พบคนพม่าออกมารอรับญาติรวมไปถึงรถรับจ้างด้วย เจ้าหน้าที่สนามบินผู้ชายจะสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว นุ่งผ้าโสร่งยาวสีเข้มที่เรียกว่า โลงจี ส่วนผู้หญิงจะนุ่งโสร่งลายสีสันสวยงาม และเสื้อแขนยาวแบบสุภาพ ผมยาวรวบเก็บเรียบร้อย
ชุดยูนิฟอร์มของแม่บ้านทำความสะอาดสนามบินที่นี่
พวกเราทีมเสื้อส้มกำลังเจรจาต่อรองกับค่ารถแท็กซี่
และนี่คือรถตู้คันเดียวที่พวกเราจะโดยสารไปทุกที่ในทริปพม่าครั้งนี้

          พวกเราชาวแบกเป้ทั้งห้าเดินหน้าออกมาเรียกรถแท็กซี่หน้าสนามบิน รถที่จะพาเราไปส่งที่พักเป็นรถตู้เจ็ดที่นั่งสภาพค่อนข้างเก่า เขาคิดราคาไปส่งที่พักเพียง 8 ดอลลาร์เท่านั้น พวกเราให้ค่าทิปไปอีก2ดอลล่าร์  สภาพกรุงย่างกุ้งตอนเย็นรถคับคั่งแต่ก็ไม่ได้ติดขัดหยุดนิ่ง ฝนลงพรำๆมาต้อนรับพวกเรา อากาศนั้นเย็นสบาย ที่พักนั้นอยู่ไกลจากสนามบินพอควร รถแล่นผ่านสวนสาธารณะกันดอจี เจดีย์ชเวดากอง ก็ยังไม่ถึงทีพัก จนรถผ่านย่านการค้าที่เต็มไปด้วยตึกใหญ่ๆ และมีวงเวียนเจดีย์ขนาดย่อมอยู่กลางถนนนั่นแหละ ถึงได้ทราบทีหลังว่านี่คือเจดีย์สุเล ซึ่งบริเวณนี้มีที่พักราคาประหยัดสำหรับนักท่องเที่ยวเยอะมาก
พวกเราทีมเสื้อส้มพร้อมออกเดินทางแล้วค่ะ
ผู้คนในกรุงย่างกุ้งกับชุดแต่งกายพื้นเมือง
บริเวณเจดีย์สุเลยามใกล้พลบค่ำ
          พวกเราตัดสินใจจ้างรถพร้อมคนขับคันนี้ต่อ ด้วยความที่เขาอธิบายสภาพบ้านเมืองให้เราได้เข้าใจและท่าทางเป็นมิตร โดยได้เสนอราคาเช่าเหมาเที่ยวชมเมืองย่างกุ้งทั้งวันในราคาเพียง 60ดอลลาร์ ประมาณ 1800 บาท รวมค่าน้ำมันแล้ว นับว่าราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับการเช่ารถตู้ในเมืองไทย  ซึ่งพรุ่งนี้เขาจะมารับพวกเราตอนเวลาแปดโมงเช้า  เกสต์เฮ้าส์ที่เราจะเข้าพักนั้นน่ารักมากเป็นตึกคูหาเดียวสูงประมาณสองชั้นครึ่ง มีชื่อว่า โอกินาว่าเกสต์เฮ้าส์ (Okinawa Guesthouse) ออกแบบตกแต่งได้น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม ภายในตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้สไตล์พม่า ราคาห้องพักสำหรับห้องเตียงคู่แอร์จะอยู่ที่ 20 ดอลล่าร์ ห้องเตียงเดี่ยวไม่มีแอร์ห้องน้ำรวม อยู่ที่ 10ดอลล่าร์ และห้องพักแบบเตียงรวมDorm อยู่ที่5ดอลล่าร์เท่านั้น แถมมีแอร์ด้วย เพราะอย่างนี้เองถึงได้เป็นทีพักในดวงใจของนักแบกเป้หลายต่อหลายคน โด่งดังถึงขนาดลงเว็บทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าหากจะเดินทางมาย่างกุ้งด้วยงบประมาณที่จำกัดให้พักที่นี่เลย ทั้งด้านความสะอาด ความใหม่ และราคาไม่แพง พนักงานดูแลเป็นกันเอง และมีบริการอาหารเช้าอีกด้วยคุ้มแสนคุ้ม 

ถนนบริเวณด้านหน้าโอกินาว่าเกสต์เฮ้าส์

 พวกเราขณะเจรจาขอเปิดห้องเตียงเสริม
 มุมห้องสมุดบริเวณชั้นสอง มีหนังสือท่องเที่ยวให้บริการแขกที่เข้าพัก
 นกการะเวกจำลองนำมาตกแต่งบริเวณเคาน์เตอร์
 ห้องนอนเตียงเดี่ยวคืนละ 10 ดอลล่าร์ ใช้ห้องน้ำรวม
ห้องนอนเตียงคู่ราคาคืนละ 20 ดอลล่าร์ 

            เราโชคดีมากที่ถึงแม้จะไม่ได้จองที่พักมาแต่ห้องก็ยังเหลือ ส่วนเพื่อนอีกสามคนได้จองมาล่วงหน้าแล้ว สรุปว่าคืนนั้นเปิดทั้งหมด3ห้อง ห้องเตียงคู่2ห้อง และเตียงเดี่ยว1ห้อง เพราะว่าหากเพิ่มเตียงเสริมเค้าจะคิดอีก10ดอลล่าร์ ดังนั้นเปิดห้องใหม่จึงคุ้มค่ากว่า พนักงานโรงแรมได้ฉีดดีดีทีที่ห้องให้เห็นกันจะจะก่อนพวกเราเอากระเป๋าเก็บ โอ้แม่เจ้ากะจะฆ่าพวกเราทั้งเป็น เค้าบอกว่าที่นี่ยุงเยอะเลยต้องฉีด เราเห็นเช่นนั้นเลยลงความเห็นกันว่า ควรจะไปไหว้พระที่เจดีย์สุเล และไปทานข้าวมื้อเย็นให้หนำใจก่อนที่จะกลับเข้าห้องพัก ถ้าดึกแล้วกลิ่นคงจะจางลงบ้าง โดยก่อนไปได้แลกเงินกับฝรั่งที่มาพักที่นี่เป็นคืนสุดท้ายและไม่ต้องการใช้เงินสกุลจ๊าด (Kyatt) อีก เค้าเลยยอมแลกกับเราในอัตรา 750จ๊าด ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ เราเลยแลกเงินมาใช้ก่อนเป็นจำนวน 15,000 จ๊าด ซึ่งมีค่าเท่ากับ 20 ดอลล่าร์ อัตราแลกเปลี่ยนนี้ราคาดีกว่าไปแลกตามท้องตลาดมากมาย หากไม่แลกที่นี่ก็จะต้องไปแลกตามธนาคารหรือไม่ก็ที่ตลาดโบซกอองซาน
โฉมหน้าเจดีย์สุเลยามค่ำคืน สีทองของเจดีย์ช่วยขับให้ค่ำคืนสว่างไสว
            เจดีย์สุเล (Sule Pagoda) เป็นเจดีย์ที่สร้างอยู่บริเวณวงเวียนกลางถนนสุเล สร้างขึ้นราว 2000ปีมาแล้ว ออกแบบเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม ภายในบรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า                   จริงแล้วนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะเสียค่าเข้าชมคนละ 2 ดอลล่าร์ แต่วันที่เราไปนั้นดึกแล้วจึงไม่มีใครอยู่คอยเก็บเงิน รองเท้าและถุงเท้าต้องถอดตั้งแต่บันไดชั้นล่างนั่นเลย บริเวณพื้นด้านบนเจดีย์ต้องเดินเท้าเปล่าเท่านั้น การสักการบูชานั้นเค้าจะมีชุดธูปเทียนและดอกไม้จำหน่ายบริเวณทางเข้าเจดีย์ สนนราคาไม่แพงเพียงชุดละ 1000 จ๊าด แบกเป้เที่ยวพม่าคราวนี้ เรามีภารกิจต้องนำเงินทำบุญที่หลายต่อหลายคนฝากใส่ซองมามากกว่า 3000 บาท กระจายทำบุญให้ทั่วถึงกันทุกวัด โดยเฉพาะเจดีย์ชเวดากองนั้นมีผู้ฝากทำบุญมากที่สุด เนื่องจากภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และเป็นเจดีย์ประจำปีนักษัตรของปีมะเมีย
เจดีย์สุเลเปิดให้เข้าไปไหว้พระขอพรถึงสามทุ่ม

แม้จะค่ำมืดและฝนตกพรำๆ ผู้คนก็ยังคงมาไหว้พระกันอย่างไม่ขาดสาย
           การไหว้พระประจำวันเกิดของเจดีย์แต่ละแห่งนับว่ามีความสำคัญยิ่ง แต่ละมุมของเจดีย์จะมีซุ้มสัญลักษณ์เป็นรูปสัตว์ประเภทต่างๆ เพื่อให้คนที่เกิดในแต่ละวันไปไหว้ ซึ่งมีทั้งม้า เสือ หมู หนู ฯลฯ นอกจากนี้ยังได้มีการแบ่งตามปีนักษัตรอีกด้วย ทุกซุ้มเขียนด้วยอักษรพม่า มีก๊อกน้ำ โอ่งและขัน ไว้สำหรับให้รดน้ำ ขั้นตอนนี้แหละห้ามพลาดเพราะสำคัญมาก นอกจากเราจะต้องไหว้ให้ถูกซุ้มตามวันที่เกิดแล้ว เราไหว้ขอพรเสร็จจะต้องรดน้ำที่องค์พระประจำวันเกิดตามจำนวนอายุของเราอีกด้วย คราวนี้รู้กันหมดว่าหากใครยืนรดน้ำนาน คนนั้นคือผู้สูงวัยนั่นเอง ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าพวกเราเลยต้องยืนตากฝนเพื่อรดน้ำให้ได้ตามจำนวนอายุของแต่ละคน เล่นเอาหนาวสั่นกันไปทีเดียว
 ทุกซุ้มจะมีขันน้ำไว้ตักเพื่อสรงน้ำพระตามอายุผู้ขอพร
กว่าจะรดน้ำครบรอบตามอายุก็เล่นเอาเมื่อยและเปียกปอนไปตามกัน
            ขอหลบฝนมานั่งตรงจุดกราบพระในร่มสักนิด ด้านหน้ามีพุทธศาสนิกชนชาวพม่าบางท่านนั่งสมาธินับลูกประคำ บางท่านไหว้อธิษฐานขอพร ตู้บริจาคเงินด้านหน้าล้วนเขียนด้วยอักษรพม่าทั้งหมด ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตู้ไหนจะนำเงินทำบุญไปสร้างอะไร หรือบริจาคให้ใคร แต่เอาเถิดหากเรามีความตั้งมั่นที่จะทำบุญแล้ว หยอดเงินใส่ตู้ไหนก็ย่อมนำผลบุญย้อนกลับมาสู่ตัวเราได้เช่นกัน
ที่เห็นเป็นหน้ากากคล้ายคนนั้น ที่นี่เขาเรียกว่า "นัต" ซึ่งเป็นเทวดาที่ปกปักรักษาและคุ้มครองวัด

          ไหว้พระขอพรเสร็จขออนุญาตทำบาปสักนิดด้วยการแวะมากินดื่มที่ร้านอาหารพื้นเมืองแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ติดกับเจดีย์สุเลเลย และเป็นซอยเดียวกันกับที่พักของพวกเรา แก๊งสามสาวเธอแนะนำว่าปีที่แล้วที่พวกเธอเดินทางมาพม่า พวกเธอแวะดื่มร้านนี้กันและสั่งกับแกล้มมาปรากฏว่าอร่อยทุกอย่าง พวกเราได้บรรยากาศแห่งการร่ำสุราลอยมาแตะจมูกทั้งเหล้าและบุหรี่ ในร้านมีแต่ผู้ชายนั่งไร้ซึ่งสตรี ทุกคนล้วนเป็นคนพื้นเมือง ภายหลังได้มีฝรั่งมานั่งเพิ่มด้วย เมนูอาหารมีทั้งภาษาพม่าและภาษาอังกฤษ อาหารจะหนักไปทางของทอดและของผัดซึ่งอุดมไปด้วยน้ำมันตามประสาอาหารพื้นเมืองพม่า สนนราคาต่อจานก็ไม่แพงเกินไป 
 บรรยากาศการร่ำสุราภายในร้านโดยคนพื้นเมืองย่างกุ้ง
ถึงร้านจะแลดูคับแคบแต่ก็นั่งได้สบายไม่อึดอัด
เบียร์พื้นเมืองของพม่าน่าชวนให้ลองชิม
       พวกเรานั่งมองหน้ากันนึกไม่ออกว่าจะสั่งอะไรกันดี สายตาเหลือบไปเห็นโต๊ะข้างๆสั่งอาหารมาทานกันอย่างอร่อย ได้การแล้วสั่งอาหารให้เหมือนโต๊ะข้างๆกันดีกว่า บนโต๊ะเราจึงมีทั้งยำไข่เยี่ยวม้า ตับหมูผัดผัก ผัดผักรวมมิตร และต้มยำรวมมิตร สั่งมาทานกับข้าวสวยร้อนๆ และพลาดไม่ได้กับเบียร์สดแบรนด์เมียนม่าร์ที่พวกเราสั่งกันมาถึงสองเหยือกให้หัวหมุน
 ยำไข่เยี่ยวม้า ไม่เผ็ดแต่น้ำมันท่วมจาน
 ต้มยำซึ่งรสชาติจะออกเปรี้ยวมากกว่าเผ็ด กับผัดผักรวมมิตรซึ่งน้ำมันก็ท่วมจานเช่นกัน
ผัดตับหมู จานนี้แหละที่อร่อยถูกปากที่สุดของมื้อนี้
รายการอาหารที่มีทั้งภาษาพม่าและภาษาอังกฤษ
        ท่ามกลางบรรยากาศการร่ำสุรามีทั้งเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ โต๊ะของเราก็ไม่แพ้กันสามารถคุยทุกเรื่องให้สนุกได้ยามที่แอลกอฮอล์ลงคอไปมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ โต๊ะหนุ่มๆชาวพม่าข้างๆเริ่มเข้ามาทักทายชนแก้ว ดวลกันหมัดต่อหมัด และสุดท้ายพวกเขาต้องยอมแพ้สิโรราบกลับบ้านก่อน ด้วยว่าคนไทยนั้นคอแข็งกว่าเยอะ คนพม่าเวลาเมาก็ดูน่ารักดีเดินกอดคอกันกลับบ้านลากพยุงกันไป ไม่มีมารุ่มร่ามหรือระรานโต๊ะอื่นเลย  พวกเราเองก็เช่นกันขากับก็แทบจะคลานกันกลับโรงแรม มื้อนี้รวมกันแล้วค่าเสียหายทั้งหมด 22,100 จ๊าดเท่านั้น  แล้วแยกย้ายกันพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางกันต่อ


 มื้อนี้จะขาดสีสันหากขาดเจ้าเหยือกนี้
ทีมเสื้อส้มคือโต๊ะสาวๆ กลุ่มเดียวที่อาจหาญนั่งอยู่ท่ามกลางโต๊ะหนุ่มๆ

ตอนต่อไปพาไปไหว้วัดเจดีย์โบตะทาวน์ เจดีย์กะบ่าเอ และชมพระนอนตาหวาน เจ๊าทัตจี







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น