วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ตอนที่ 8 เรียนรู้อารยธรรมอินโดฯที่ Museum of North Sumatra และพาชมห้างใหญ่ก่อนปิดท้ายถนนสายอาหาร Merdeka Walk

        “ผรั่งเข้ามิวเซียม คนไทยเดินห้าง คำครหาเช่นนี้ได้ยินกันมาแต่ช้านานและมันก็เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนยอมรับ แต่วันนี้เราคนไทยจะเข้าชมทั้งมิวเซียม และเดินห้างด้วยภายในวันเดียวกัน หากเราเดินทางท่องเที่ยวไปประเทศไหนถ้าอยากเรียนรู้วัฒนธรรมและประวัติความเป็นมาของประเทศนั้นๆ ให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นคลังความรู้ให้กับผู้คนทุกเพศทุกวัย ซึ่งพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งนั้นก็มีแนวทางในการนำเสนอที่แตกต่างกัน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว Live Museum หรือพิพิธภัณฑ์มีชีวิตนั้นน่าสนใจเป็นที่สุด
Museum of North Sumatra

             จากห้างเดินไปพิพิธภัณฑ์นั้นไกลใช้ได้เลยทีเดียว แถมยังไม่มีป้ายบอกทางหรือแม้แต่ชื่อถนนตามหัวมุมอีกต่างหาก คนเมืองเมดานเขาไม่ค่อยเดินถนนกัน ส่วนใหญ่จะขับรถ ดังนั้นบนถนนจึงมีแค่เราสองคนเดินอยู่ เราเลยต้องเก็บกล้องลงเป้ไปโดยปริยายเพราะนึกถึงที่กรุงมะนิลาขึ้นมาทันใด จากสี่แยกเดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนH.M. Joni พอสมควรกว่าจะถึง Museum of North Sumatra ก็เล่นเอาหอบแฮ่กได้เหมือนกัน พิพิธภัณฑ์ที่นี่เป็นที่จัดแสดงอารายธรรมของมนุษย์บนเกาะสุมาตราตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ยันยุคปัจจุบัน ดังนั้นในแต่ละห้องจึงมีการแสดงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องมือต่างๆ และงานฝีมือท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 ยังมีห้องจัดแสดงวัฒนธรรมไทยโดยเฉพาะด้วยนะ ค่าเข้าชมเพียงคนละ 750รูเปีย เท่านั้นวันที่เราไปเป็นวันธรรมดา ดังนั้นพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยคณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ราวกับผึ้งแตกรัง เด็กๆที่ไหนก็เหมือนกันทั้งโลกที่น่าสงสารคือครูจะต้องคอยส่งเสียงดังเพื่อคุมเด็กให้อยู่ในกติกา
 ห้องการแสดงเผ่าพันธุ์มนุษย์
 โลงศพมนุษย์ยุคโบราณ
 ส่วนหนึ่งของงานปั้นและแกะสลักที่ตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์

 ห้องแสดงวัฒนธรรมของคนอินเดียที่ได้ย้ายเข้ามาในเกาะสุมาตรา
 นี่ก็เป็นห้องจำลองชุมชนย่านการค้าของคนจีนบนเกาะสุมาตรา
คุณครูกำลังง่วนอยู่กับการจัดระเบียบนักเรียน

            บ่ายสามแล้วเพื่อนเราอยากไปเดินห้างใหญ่ประจำเมืองเมดานซึ่งคือห้าง ซันพลาซ่า (Sun Plaza) ซึ่งแต่ก่อนจะมีการผนึกเอาห้างโซโก้ Sogo จากแดนอาทิตย์อุทัยผนวกเข้าไปด้วย แต่ว่าตอนนี้ห้างโซโก้ได้ล้มละลายไปแล้ว พวกเราเลยไปถามคุณครูที่พาเด็กเที่ยวว่ามีรถสายใดบ้างที่จะพาไปยังห้างซันพลาซ่า ครูไม่แนะนำให้ไปรถเมล์เพราะอาจหลงได้ แต่แนะให้ขึ้นรถสามล้อไปแทน แกเดินออกไปเรียกรถให้และต่อรองราคาคนขับให้เสร็จสรรพอยู่ที่ 15,000 รูเปีย   พร้อมกับกำชับสารถีเสร็จสรรพเลยว่าห้ามขอเกินราคานี้ แหมเราขอบคุณในความมีน้ำใจไมตรีของคนที่นี่จริงๆ แต่เจ้าสารถีนี่สิหน้าตาบอกบุญไม่รับตั้งแต่ขึ้นรถ แถมตอนบ่ายวันศุกร์รถยิ่งติดเป็นทวีคูณหน้าพี่แกเลยยิ่งหงิกไปกว่าเดิม กว่าจะถึงห้างซันพลาซ่า ที่ตั้งอยู่บนถนน K.H. Zainul Arifin พวกเราเหนื่อยล้าจนแทบหมดพลังทั้งฝุ่นควันรถทั้งอากาศร้อน ว่าแล้วเข้าไปเดินดูของข้างในให้หายร้อนกันดีกว่า
 ห้างซันพลาซ่าและโซโก้อยู่ในอาคารเดียวกัน

และแล้วโลกก็กลมกิ๊ก เหมือนยกเมืองไทยมาไว้ ณ ห้างซันพลาซ่า เมื่อเราไปจ๊ะเอ๋กับคณะสาวๆที่แยกกันท่องเที่ยวอิสระกันในวันนี้ และเจอกับคณะทัวร์คนไทยกลุ่มใหญ่ แถมยังเจอเพื่อนในกลุ่มทัวร์นั้นด้วย ถึงว่าเดินทางไปเที่ยวที่ไหนในช่วงสงกรานต์จึงมักจะเจอแต่คนรู้จัก
                ด้วยความร้อนบวกทั้งความเหนื่อยและหิว ทำให้พวกเราไม่ค่อยสนใจที่จะเดินช้อปปิ้งมากนัก แต่นั่งทานขนมของว่างกันเป็นหลักเลยทีเดียว มีสมาชิกในกลุ่มอีก 4 ท่าน พากันแยกไปเดินซื้อเสื้อผ้าและรองเท้า เห็นว่ารองเท้ายางที่นี่ราคาจะถูกกว่าเมืองไทยพอประมาณ ทั้งนี้เพราะค่าแรงและวัตถุดิบถูกกว่านั่นเอง พวกเรานั่งทานโดนัทและของหวานกันที่ร้าน J.Co. และ Rotiboy ซึ่งเป็นขนมหวานสัญชาติมาเลเซียที่อร่อยและไม่มีสาขาในเมืองไทยแล้วโดยเฉพาะเจ้าหลังได้ม้วนเสื่อกลับบ้านไปเรียบร้อย แต่ J.Co. โดนัทนี่สิ ถ้าใครได้ทำธุรกิจนำเข้ามาขายแข่งกับโดนัทหลากยี่ห้อชื่อดังๆ งานนี้เชื่อขนมกินได้ว่าตีตลาดโดนัทกระจุยแน่นอน ก็เพราะทั้งแป้งและตัวหน้าช็อคโกแลตเค้าจะทำถึงเครื่องมากกว่าของไทยเยอะเลยครับ สนนราคา โดนัทราคา 6,000 รูเปียห์ และช็อคโกแลตเย็นแก้วละ 27,000 รูเปียห์ โยเกิร์ตถ้วยละ 15,000 รูเปียห์
 บรรยากาศร้านโดนัทชื่อดังสัญชาติมาเลเซีย
 พรีเซ็นเตอร์ J. Cool Yoghurt
 โดนัทวงๆ นี่หน้าตาเหมือน พอนเดอริง บ้านเราเลย
 โดนัทหน้าโรยเกล็ดช็อคโกแลตแบบจัดเต็ม
 ฟากนี้ถึงจะเป็นโดนัทหน้าครีมและแบบรสธรรมชาติ
 สารพันขนมหวานกองเต็มโต๊ะทานให้หายเหนื่อย
 นี่ก็ โรตีบอย ขนมอบสัญชาติมาเลเซียที่เคยโด่งดังในประเทศไทย
 ไอศครีม "มะม่วงแดง" ที่นี่ก็มีนะ
ร้านขนมปังสังขยาชื่อดังแห่งสิงคโปร์ก็มาเปิดสาขาที่นี่

                พวกเราเดินเตร่ในห้างกันจนเย็น แต่ต้องแยกกันกลับ เพราะจะต้องมาเจอกันที่โรงแรมตอนเย็นเพื่อที่จะได้ไปทานมื้อเย็นกันให้อิ่มหนำสำราญ ก่อนกลับเลยแวะไปเดินเล่นที่วัดแขกแห่งเดียวในเมืองเมดาน วัดนี้มีชื่อว่า Shri Mariamman Temple แปลเป็นไทยอาจมีชื่อว่าวัดพระแม่อุมาเทวี เป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเมดาน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1884 วัดนี้ตั้งอยู่เยื้องกับห้างซันพลาซ่าเลย ภายในเต็มไปด้วยชาวฮินดูที่แวะเข้ามาสักการบูชาพระแม่ไม่ขาดสาย ซึ่งตอนเย็นถนนหน้าห้างนั้นก็เป็นลานจอดรถชั้นดีเลย ทุกสิ่งอันนิ่งสนิท พวกเราเลยต้องเดินให้พ้นจุดที่รถติด อย่างน้อยก็คงดีกว่านั่งแช่ในรถแล้วสูดดมควัน ทั้งที่ในเมืองเมดานนั้นคนที่นี่เค้าไม่ยอมออกมาเดินถนนกันเลย
Shri Mariamman Temple

         พวกเราเดินกันออกมาไกลพอสมควรจนพ้นรถติดแล้ว ไม่ไหวแล้วขอนั่งไปสามล้อ Becak กลับโรงแรมดีกว่า เราต้องต่อราคาเค้าจาก 30,000 รูเปีย ให้เหลือ 15,000 รูเปียให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดพี่แกก็ไม่ยอม ยืนกรานอยู่ที่ 20,000 รูเปียขาดตัว ก็เพราะมีเหล่าเพื่อนสมัชชาสามล้ออยู่ด้วย จากจุดนั้นมาโรงแรมใช้เวลาแค่15นาทีเอง ไม่ไกลเลย แต่ก็ให้เค้าไปเถอะ ถือเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนก็แล้วกัน
 My Hotel ประหยัดพื้นที่ด้วยการติดตั้งทีวีติดผนัง
สภาพห้องพักของโรงแรม My Hotel

            กลับมานอนที่เดิมอีกครั้งที่ My Hotel เติมความสดชื่นอีกครั้งด้วยการอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อออกไป Dining out กันที่ย่าน Merdeka Walk ที่ลักษณะจะคล้ายกับพลาซ่ามอลล์ขนาดใหญ่ เป็นถนนสายอาหาร มีให้เลือกรับประทานทุกเชื้อชาติ พวกเราเดินออกไปเวลาเกือบสองทุ่ม ไฟตามท้องถนนเปิดน้อยมาก เดินเกาะกลุ่มกันนั่นแหละดีที่สุด มีแต่พวกเรา 7 คน เท่านั้นที่ยังคงเดินเตร็ดเตร่ริมถนน คนเมืองนี้เค้าไม่เดินกันเลย เราเลือกเดินทางที่มีไฟส่องสว่างมากที่สุด เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่อยากจะลงบันทึกแฟ้มอาชญากรรมที่นี่แหละน่า
 ภัตตาคารพื้นเมืองระดับขึ้นชื่อของเมืองเมดาน Tip Top Restaurant
 ตามท้องถนนยามค่ำคืนร้านรวงส่วนใหญ่จะปิดทั้งหมด

 ธนาคารแห่งชาติอินโดนีเซีย
ถึงแล้วทางเข้า Merdeka Walk

  เราใช้เวลาเดินกว่า20นาที จึงจะมาถึงย่าน Merdeka Walk ในคืนวันศุกร์คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานตอนต้นมา Hang out กัน เพราะที่นี่เป็นแหล่งศูนย์รวมอาหารนานาชาติ มีทั้งฟาสต์ฟู้ด อาหารจีน ญี่ปุ่น และอาหารพื้นเมือง รวมไปถึงร้านนั่งกินดื่ม ที่เราสามารถนั่งได้ยันดึกจนร้านปิด
 ร้านอาหารสัญชาติอื่นๆ มีให้เลือกเพียบบนถนนสายนี้
 หากใครมากันเป็นครอบครัวไม่ต้องกลัวว่าเด็กจะเหงา

อาหารญี่ปุ่นในเมืองเมดานก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน

                พวกเราเดินดูจนทั่ว คราวนี้ต้องใช้เกณฑ์การตัดสินเลือกร้านเพื่อปักหมุดล่ะ เวลาที่แบกเป้เที่ยวไปไหนก็ตามต้องเลือกร้านที่มีคนเยอะที่สุด และแล้วเราก็พบว่าร้านอาหาร Nelayu Tenda ที่เป็นร้านพื้นเมืองอินโดนีเซีย เป็นร้านที่มีคนนั่งมากที่สุด มติเลยเป็นเอกฉันท์ ด้วยความหิวพวกเราเลยสั่ง สั่งและสั่ง ผลลัพธ์ก็เลยออกมาเต็มโต๊ะอย่างที่เห็น มีทั้งแกงส้ม ผัดเผ็ดปลาหมึก กุ้งผัดเผ็ด แกงกะหรี่ไก่ ฯลฯ แถมพวกเราสั่งเบียร์บินตัง (Bintang) ราคาขวดละ 30,000 รูเปียห์ออกมารับประทานกันอีก 4ขวด เบ็ดเสร็จมื้อนี้ประมาณ 4แสน รูเปียห์ เมื่อหารกันออกมามื้อนี้เราทานไปกว่า 5หมื่นเลยทีเดียว อย่าลืมว่าค่าอาหารที่นี่เค้าจะบวกภาษีในบิลเข้าไปอีก 10% นะครับ ไม่มี VAT
 Tenda Nelayu Indonesian Restaurant
 หลากรสสำรับอินโดนีเซียกับแกล้มเบียร์ จานนี้เป็นกุ้งผัดเผ็ด
 กับข้าว Seafood อินโดนีเซียแบบจัดเต็ม หน้าตาคล้ายกับอาหารไทย
พรีเซ็นเตอร์น้ำผลไม้ปั่นและเบียร์บินตังตัวจริง

ขากลับคณะทัวร์ลูกเป็ดทุกท่านแทบจะคลานกลับ แต่ไม่ได้สิกินอิ่มแล้วต้องเดิน ห้าทุ่มกว่าท้องถนนเงียบกว่าตอนขามามาก ไม่มีใครเดินเป็นเพื่อนเลยนอกจากคนจร แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ เพราะตามหน้าอาคารสถานที่ต่างๆ ยังมียามนั่งเฝ้าสถานที่และคอยถามไถ่ว่าพวกเราจะไปไหนกัน ไยจึงมาเดินถนนกันดึกดื่นป่านนี้ ยิ่งทำให้พวกเราต้องเดินจ้ำเร็วขึ้นไปอีก กว่าจะกลับเข้าถึงห้องก็แทบคลานกันเลยทีเดียว

ตอนต่อไปบทปิดท้ายเมืองเมดานด้วยการพาชมคฤหาสน์ท่านเจ้าสัวคนแรกแห่งเมืองเมดาน และพาช็อปปิ้งเสื้อผ้าพื้นเมือง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น