วันสุดท้ายแล้วสินะที่เราจะได้เดินแบกเป้ท่องเที่ยวอินเดียในระยะเวลาอันสั้น น่าเสียดายที่เวลาเรามีจำกัด หากคุณตั้งใจที่จะแบกเป้เดินทางท่องเที่ยวอินเดียด้วยตัวคุณเอง คุณควรมีเวลาไม่น้อยกว่า 1เดือนจึงจะเที่ยวได้ทั่ว เช้านี้เราเลยออกจากโรงแรมตั้งแต่หมอกยังไม่จางเพื่อไปเก็บเกี่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่เหลือในกรุงนิวเดลีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตัวช่วยในการท่องเที่ยวกรุงเดลีคือแผนที่ (Dehli Map)
เช้านี้หลังจากเช็คเอ๊าท์เราต้องฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมอีกเพราะเที่ยวบินขากลับเราออกตอนหัวค่ำ โรงแรมได้คิดเงินเพิ่มอีก 40 รูปี เป็นค่าฝากสัมภาระ ฝากเสร็จแล้วเราก็ออกไปเติมพลังด้วยอาหารเช้าที่ร้านอาหารตรงข้ามกับสถานีรถไฟนิวเดลี สั่งแกงไข่ (Anda Curry) มาทานกับจาปาตีและชาร้อน ในราคาทั้งชุด 52 รูปี
มาแล้วแกงไข่ที่นี่เรียกว่า Anda Curry
วันนี้เราจะใช้บริการขนส่งมวลชนของอินเดียให้คุ้มค่า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรที่ติดขัดในวันทำงาน ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวที่เราเลือกจะไปในวันนี้จะต้องอยู่ในเส้นทางของรถไฟฟ้า India Metro เท่านั้น หรือไม่ก็อาจอยู่ใกล้ๆ กับสถานีใดสถานีหนึ่ง เพื่อประหยัดเวลาในการแบกเป้เที่ยวเดลีนั่นเอง
สถานีปลายทางนั่งตั้งแต่รถใต้ดินออกนอกเมืองจนกลายเป็นลอยฟ้า
แอบถ่ายรถไฟฟ้าอินเดีย ที่จริงแล้วเค้าห้ามถ่ายรูป
เป้าหมายแรกของเราวันนี้คือการเดินทางไปชมวัดดอกบัว (Lotus Temple ) ถ้าชื่ออย่างเป็นทางการคือ “สักการะสถานบาไฮ” The Baha’i House of Worship เป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่ชานกรุงเดลีลงไปทางทิศใต้ ต้องอยู่ในย่านบาฮาเพอร์ (Bahapur) สถานีรถใต้ดินที่เราลงไปคือสถานีนิวเดลี โดยสถานีปลายทางจะโผล่พ้นดินเราต้องไปลงที่สถานีกัลกาจี มันดีร์ (Kalkaji Mandir) ค่าโดยสารประมาณ 18 รูปี ถูกกว่ารถเมล์แอร์บ้านเราเสียอีก ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร
ถนนสายนี้มุ่งตรงสู่วัดดอกบัว
เมื่อลงจากสถานีรถไฟฟ้าแล้วให้เดินออกมาแล้วเลี้ยวขวาขึ้นเนินไปตามถนนประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงวัดดอกบัว อันสักการะสถานบาไฮนี้เป็นของศาสนาบาไฮโดยตรง ซึ่งเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ มีศาสนสถานเกิดขึ้นแล้วทั่วโลกเพียง 7แห่งเท่านั้น ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาอิสระมีคำสอนที่เปิดกว้าง มีความเป็นศาสตร์และมนุษยธรรมในหลักการและมีอิทธิพลที่ไม่หยุดนิ่งที่มีต่อหัวใจและจิตใจของมนุษย์ เทิดทูนความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า ยอมรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติทั้งมวล ผู้ก่อตั้งเป็นชาวเปอร์เซีย ชื่อพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮา ราวๆปี พ.ศ. 2387
สักการะสถานบาไฮ เมื่อมองจากรั้วภายนอก
การออกแบบสักการะสถานบาไฮในกรุงนิวเดลีได้รับแรงบันดาลใจมาจากดอกบัว ซึ่งเป็นดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์และความงามมีความเกี่ยวพันกับการใช้บูชาในประเทศอินเดีย จึงออกแบบให้เป็นฐานดอกบัว 9 ด้าน ล้อมรอบด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ 9 สระ ใช้ที่ดินทั้งหมด 26.6 เอเคอร์ เริ่มก่อสร้างปี พ.ศ. 2523 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2529 จำนวนกลีบบัวทั้งหมด 27 กลีบ กลีบดอกบัวสร้างด้วยคอนกรีตสีขาว ผิวนอกปูด้วยหินอ่อนแผ่นสีขาวจากประเทศกรีซ ความสูงของโบสถ์ 34 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 70 เมตร ภายในหอสวดมนต์ห้ามถ่ายรูปจุคนได้ถึง 1,300 คน สามารถเข้าไปนั่งสมาธิได้ ภายในหอสงบร่มเย็นเพราะเพดานห้องสูงมาก มีแม่ชีและพระซึ่งมีทั้งชาวอินเดียและชาวตะวันตกคอยอำนวยความสะดวกอยู่ด้านใน
วัดดอกบัวไม่ว่าจะมองมุมใกล้หรือไกลก็ยังสวย
ภายในโบสถ์หลักคือหอสวดมนต์ที่จุคนได้ถึง 1,300 คน
ด้านนอกอาคารหลักยังมีอาคารสำนักงาน ห้องสมุด หอประชุมไว้ให้บริการศาสนิกชนด้วย พอเริ่มสายคนอินเดียเริ่มเข้ามาท่องเที่ยว บางส่วนก็เข้ามานั่งสมาธิภายในวัดแห่งนี้ วัดดอกบัวเปิดให้บริการทุกวัน เว้นวันจันทร์ ตั้งแต่ 9.00 – 17.30 น.
สถานีรถไฟฟ้าที่มุ่งตรงสู่วัดดอกบัว Kalkaji Mandir
พอสายหมอกเริ่มจางเลนส์กล้องก็น่าจะชัดขึ้นบ้าง เราตัดสินใจเดินทางกันต่อไปที่ย่านสถานที่ราชการ และกลุ่มอาคารรัฐสภา ทำเนียบประธานาธิบดี การเดินทางก็ขึ้นรถที่สถานี Kalkaji Mandir นั่นแหละ แล้วไปลงที่สถานีปลายทาง Central Secretariat ซึ่งมุ่งตรงสู่ย่านสถานที่ราชการ ในราคาเพียง 16 รูปี เท่านั้น เมื่อโผล่จากสถานีใต้ดินแล้วให้เลี้ยวขวาเดินไปตามถนน จนถึงสี่แยก เมื่อถึงสี่แยกให้เดินเลี้ยวขวาเข้าถนนราชภัฎ (Raj Path) จะเป็นถนนที่กว้างมากและไม่ค่อยมีรถวิ่ง กว้างแบบถนนราชดำเนินนอกบ้านเราเลย
บริเวณสถานีรถใต้ดิน Central Secretariat
ถนนสายหลักสู่ทำเนียบประธานาธิบดี Raj Path
Parliament House อาคารรัฐสภา
เดินตามถนนราชพาทขึ้นไปประมาณ 1กิโลเมตร ก็จะพบกับสี่แยกใหญ่ๆ แยกออกไปด้านขวามือคือถนนที่พาไปสู่รัฐสภา และตรงไปจะเป็นอาคารกระทรวง ทบวงกรมต่างๆ กลุ่มอาคารเหล่านี้สร้างด้วยหินทรายสีแดง สถาปัตยกรรมเป็นแบบสไตล์ตะวันตก ถ้าเดินขึ้นไปจนสุดทางก็จะเป็นทำเนียบประธานาธิบดี (Rashtrapati Bhawan) อ่านว่า “ราษฎร์ปาติ บาวัน” ถนนบลํอกสุดท้ายนี้มีการอารักขาอย่างแน่นหนา เค็มไปด้วยทหารที่มีหน้าที่ตรวจค้นท้ายรถยนต์ทุกคันที่เข้าไปติดต่อราชการ
เส้นทางสู่ทำเนียบประธานาธิบดี
ไม่มีทางเท้ามีแต่พื้นทรายและอาคารสถานที่ราชการ
สถาปัตยกรรมยอดโดมสไตล์อังกฤษ สร้างขึ้นในยุคอาณานิคมอังกฤษ
รถยนต์ของศูนย์ราชการที่นี่ใช้รถออสตินเข้ากับบรรยกาศดีแท้ๆ
สุดทางทำเนียบประธานาธิบดีที่ประตูรั้วปิดอย่างแน่นหนา ด้านหน้ามีปืนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่น่าเกรงขาม มีคนอินเดียเข้ามาท่องเที่ยวและถ่ายรูปบ้างประปราย เราต้องการที่จะไปชมประตูชัย (India Gate) ต่อ ซึ่งระยะทางจากทำเนียบประธานาธิบดีไปสู่ประตูชัยนั้น เห็นประตูชัยอยู่ใกล้ๆ แต่แท้จริงแล้วตั้งอยู่ห่างออกไป 4 กิโลเมตรโน่น โชคดีของนักแบกเป้ที่มีรถตุ๊กๆมาส่งนักท่องเที่ยวพอดี เราเลยเรียกใช้บริการต่อให้ไปส่งที่หน้าประตูชัย เขาคิดราคา 40 รูปี รถแล่นผ่านพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอินเดีย (India National Museum ) เราไม่ได้แวะชม เนื่องจากเวลาจำกัด ที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมประวัติศาสตร์ และโบราณวัตถุมากกว่าล้านชิ้น ค่าเข้าชมคุ้มค่าเพียง 300 รูปี เท่านั้น
ทหารถือปืนอารักขาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
นี่แหละทำเนียบประธานาธิบดีแห่งอินเดีย (Rashtrapati Bhavan)
ปืนใหญ่กับเสารั้วทำเนียบรูปช้างสัตว์คู่บ้านคู่เมือง
รถของหน่วยงานราชการเน้นใช้รถสีขาวเป็นหลัก
ประตูชัย หรือ อินเดียเกท (India Gate) นั้นเป็นอนุสรณ์ของเหล่าทหารหาญ เป็นสัญลักษณ์หรือ Landmark หนึ่งของกรุงเดลีทีเดียว สถาปัตยกรรมคล้ายประตูชัยของกรุงปารีสและนครเวียงจันทน์ ประตูชัยมีความสูง 42 เมตร สร้างขึ้นจากหินทรายในปี ค.ศ. 1931 เพื่อรำลึกถึงทหารอินเดีย 90,000 คนที่เสียชีวิตจากการร่วมรบกับอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามอัฟกานิสถานด้วย
รถตุ๊กๆที่เรานั่งไปสู่ประตูชัยเมืองนิวเดลี
India Gate ประตูชัยแห่งกรุงนิวเดลี
ตามกำแพงของประตูชัยมีรายชื่อทหารหาญที่สละชีพสลักไว้ ด้านล่างของโค้งประตูจะมีคบไฟที่ไม่เคยดับ จุดไว้ตลอดยิ่งกว่าคบเพลิงโอลิมปิก ทั้งนี้เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงครามอินเดีย-ปากีสถาน ในปี ค.ศ. 1971 มีทหารยามเฝ้าบริเวณประตูชัยตลอดเพื่อป้องกันการก่อวินาศกรรม บริเวณลานรอบประตูชัยจะเป็นสวนสาธารณะ มีพ่อค้านำของขบเคี้ยว น้ำดื่มและของที่ระลึกมาเดินเร่ขายกันมาก และยังมีรถรับจ้างรอรับนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด เพราะบริเวณประตูชัยเป็นทางแยกจุดตัดที่มีถนนมาบรรจบกัน 12 สายนั่นเอง
บริเวณประตูชัยจะมีทหารยืนเฝ้าและกระถางจุดเพลิงที่ไม่มีวันดับ
เบื่อจากการชมประตูชัยเสร็จก็ได้เวลาเรียกรถตุ๊กๆ เพื่อกลับไปยังสถานีรถใต้ดิน Central Secretariat ตามเดิมในราคา 50 รูปี เพื่อนั่งรถใต้ดินไปยังสถานี Jor Bagh สองสถานีราคา 10 รูปี คราวนี้เราจะไปยังสุสาน Saffdarjung’s Tomb ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางรถใต้ดินอีกแห่ง
ตอนหน้าปิดท้ายทริปอินเดียด้วยโบราณสถานกุตับคอมเพลกซ์ (Qutab Complex)