วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บินเดี่ยวเที่ยวอินเดียตอนที่ 9 แบกเป้เที่ยวเมืองฟาเตห์ปูสิครี ชมความงามของพระราชวังร้าง (Fatehpur Sikri)


เราตื่นแต่เช้าเพราะเสียงดังมาจากหออะซานข้างที่พักประกาศเพื่อให้ชาวมุสลิมเตรียมตัวละหมาดกัน อากาศที่เมืองอักรายามเช้าไม่หนาวเท่ากับกรุงเดลี กว่าคุณตาฮีร์จะมารับก็เก้าโมงเช้า เรายังมีเวลาเหลือที่จะเดินไปสำรวจย่านใกล้ๆกันกับที่พัก แต่ต้องเติมพลังด้วยอาหารเช้าก่อน ทานอย่างง่ายๆที่โรงแรม เราสั่งเซ็ทอาหารเช้าขนมปังกับไข่ออมเล็ทมะเขือเทศ (Omelet Tomato) ทานคู่กับชานมร้อน ในราคาเพียงชุดละ 50 รูปี
อาหารเช้าแบบฝรั่งของเรา

ทานเสร็จแล้วเราเช็คเอ๊าท์ออกมาเลยโดยฝากกระเป๋าไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรม ที่โรงแรมซากุระนี่รับฝากกระเป๋าฟรี ไม่คิดค่าบริการเพิ่มแต่อย่างใด เช้านี้ขอเดินเที่ยวชมเมืองอักราเสียหน่อย เมื่อเราเดินออกมานอกโรงแรมผ่านหน้าสถานีขนส่งอิดกาห์ออกไปตามย่านชุมชนโดยสะพายกล้องตัวใหญ่ไปด้วย เราจะเป็นจุดสนใจทันที เพราะมีแต่ชาวอินเดียมาขอให้เราถ่ายรูปให้หน่อย อยากมีส่วนร่วมมากๆ คนอินเดียบ้ากล้องมากๆ แต่ไม่ทุกคน ถ้าใครที่ไม่อยากให้ถ่ายแล้วเราไปถ่ายเค้า อันนั้นถึงขั้นด่าทอกันเลยนะ จุดนี้ต้องระวังให้ดี หากอยากถ่ายรูปกับคนอินเดียโดยที่เค้าไม่เสนอตัวมาให้ ควรจะขออนุญาตดีดีก่อน
หนุ่มๆเมืองอักรากับพาหนะคู่ใจ 
เขาขอให้เราถ่ายรูปให้พวกเขาหน่อย แต่เขาก็ไม่ขอดูรูปนะ 
รถออสตินนอกจากเมืองโกลกาตาแล้วก็ยังมีที่นี่ 

ในเมืองอักราก็ยังคงรักษามาตรฐานเดิมของประเทศอินเดีย นั่นคือยังมีการทำปศุสัตว์กันข้างถนนเหมือนเดิม ทั้งวัวทั้งแพะเดินกันขวักไขว่ ต่างกันแค่ไม่มีอูฐเหมือนเมืองจัยปูร์ที่อยู่ใกล้ทะเลทราย เราแวะซื้อขนมอินเดียอีกเพื่อนำไปทานเองระหว่างทางและฝากคนขับรถด้วย มีทั้งถั่วเนยกวน และแป้งหวานๆ ไม่ทราบเรียกว่าอะไรสองอย่างในราคาเพียง 40รูปี การขายก็เป็นแบบชั่งกิโลเหมือนเดิม
นี่แหละอินเดียขนานแท้ เลี้ยงวัวข้างถนน 
เจ้าตัวนี้ท่าทางจะกลัวกล้อง ฉี่ราดเลย 
ขนมหวานอินเดียนานาชนิด เห็นแล้วก็อดใจไม่อยู่

คุณตาฮีร์มารับเราตรงเวลาพอดี การเดินทางไปยังเมืองฟาเตห์ปูร์สิครี (Fatehpur Sikri) ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก ไกลจากตัวเมืองอักราไปประมาณ 45 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ที่ช้าขนาดนั้นก็เพราะต้องฝ่าการจราจรที่ติดขัดของเมืองอักรา และถูกจำกัดความเร็วบนเส้นทางหลวงด้วย
ชายไร้บ้านนอนอย่างไม่สนใจใคร 
ป้ายโฆษณาเครื่องเพชรพลอยพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองอักรา

การเดินทางบนเส้นทางหลวงนั้นจะต้องมีค่าผ่านทางในแต่ละด่านด้วย คล้ายกับมอเตอร์เวย์บ้านเรา ในกรณีที่เราเหมารถแท็กซี่ ผู้โดยสารจะต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย สองข้างทางถนนเต็มไปด้วยทุ่งนาที่แห้งแล้ง ขนมอินเดียที่ซื้อเมื่อเช้าเริ่มนำออกมาวางและหมดไปทีละชิ้น แต่ก็ไม่มากเพราะรสชาติมันหวานมาก
ถึงแล้วเมืองฟาเตห์ปูร์สิครี
ทางขึ้นไปชมพระราชวังฟาเตห์ปูร์สิครี

พระราชวังฟาเตห์ปูร์สิครี (Fatehpur Sikri Palace) เป็นพระราชวังโบราณที่สร้างขึ้นมาแล้วถูกทิ้งร้างให้กลายเป็นพระราชวังร้าง สร้างอยู่บนเนินเขาสูงมองเห็นบ้านเมืองได้ทั่ว เดิมนั้นเมืองนี้มีชื่อว่าเมืองสิครี (Sikri) ต่อมาหลังจากพระจักรพรรดิอัคบาร์ ตีเมืองนี้ได้ในปี ค.ศ. 1572 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ฟาเตห์ปูร์สิครี (Fatehpur Sikri) ซึ่งแปลว่าเมืองแห่งชัยชนะนั่นเอง
แผนผังโบราณสถานร้างฟาเตห์ปูร์สิครี 
แลเห็นป้อมปราการอยู่ลิบๆ สูงมาก

ต่อมาภายหลังพระราชวังแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้าง หลังจากที่จักรพรรดิได้ย้ายฐานที่มั่นไปเมืองอื่น พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1569 ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 5ปีเท่านั้น เพราะวัสดุก่อสร้างคือหินทรายที่สามารถหาได้แถวนั้นอยู่แล้ว และพระราชวังก็ถูกใช้เป็นที่ประทับเพียง 14ปีเท่านั้น
เราเดินขึ้นเนินตามทางเรื่อยๆ ประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร ไม่ได้ขึ้นรถบริการรับส่ง ไม่ทันไรมีเด็กเข้ามาตีสนิทอ้างตนว่าเป็นนักเรียนต้องการจะฝึกภาษาอังกฤษจึงขออนุญาตบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว เอาแล้วสิพูดได้คล่องปร๋อขนาดนี้ ไม่ต้องมาฝึกภาษากับพี่ก็ได้ พี่พูดได้แย่กว่าน้องอีก
เบื้องล่างคือเมืองสิครี (Sikri) เป็นมุสลิมกันทั้งเมือง

ถึงแล้วประตูทางเข้ามัสยิดจามิ

เรามาหยุดอยู่ตรงหน้ามัสยิด ที่มีชื่อว่า มัสยิดจามิ Jami Masjid เป็นสิ่งก่อสร้างแรกในเขตพระราชฐานที่สร้างขึ้น มีขนาดใหญ่โตและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก สร้างขึ้นเป็นเกียรติให้กับ Sheikh Salim Chrishti ซึ่งเป็นอิหม่ามที่ดูดวงได้แม่นมาก ด้านหน้าสุดของมัสยิดเป็นประตูขนาดใหญ่มาก สูงถึง 40 เมตร มีชื่อว่า บุลานด์ ดาร์วาซ่า Buland Darwaza ประตูนี้สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะให้กับจักรพรรดิอัคบาร์ หลังจากยึดแคว้นกุจราชได้ (Gujrat) ในปี ค.ศ. 1572
ไกด์เด็กผีพาเราเที่ยวชมพระราชวังฟาเตห์ปูร์สิครี 
ลวดลายบนหินทรายที่ใช้ก่อสร้างกับบานประตูฝังเกือกม้าสัญลักษณ์นำโชค 

บนยอดของประตูมีผึ้งทำรังขนาดใหญ่หลายรังทีเดียว

รอบข้างมัสยิดเป็นกำแพงหินทรายสีแดงที่ดูมั่นคงและแข็งแรงมากๆ ประดับด้วยยอดโดมแบบฮินดูที่เรียกว่า ฉัตตรี ด้านในมีภาพวาดปูนเปียกบนฝาผนัง ศิลปะภายในเป็นแบบผสมผสานระหว่างมุสลิม ฮินดู และคริสเตียน เหตุผลที่ผสมผสานก็คือ จักรพรรดิอัคบาร์ทรงมีพระชายาหลายพระองค์และต่างศาสนากัน แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันตินั่นเอง
สถาปัตยกรรมแบบฮินดูคือยอดฉัตตรีรายรอบเขตมัสยิด 
ลวดลายภาพวาดภายในมัสยิดสีค่อนข้างซีดจาง 
ศิลปะผสมผสานหลายศาสนาอย่างกลมกลืน 

ยอดฉัตตรีแบบฮินดูเรียงรายอย่างสวยงาม
ด้านขวาของมัสยิดเป็นสุสานหินอ่อนเพียงแห่งเดียวที่สร้างจากหินอ่อน สร้างขึ้นสำหรับ Sheikh Salim Chrishti การเข้าไปเยี่ยมชมด้านในสตรีจะต้องคลุมผ้าฮิญาบและบุรุษจะต้องสวมหมวกกะปิเยาะห์  ด้านในมีลวดลายฉลุหน้าต่างซึ่งแกะจากหินอ่อน ที่เรียกว่า Jalis ภายในมีอิหม่ามทำพิธีทางศาสนาให้กับผู้เยี่ยมชมทุกคน
มัสยิดหินอ่อนเด่นสง่าท่ามกลางอาคารหินทรายสีแดง 
ภายในมัสยิดมีคนนั่งสวดมนต์ด้วย 
การฝังหินมีค่าลงบนหินอ่อนและลวดลายฉลุหินอ่อน 

ภายในมัสยิดเป็นสุสานฝังศพบุคคลสำคัญในสมัยนั้น 
บริเวณกลางลานมีการแสดงดนตรีพื้นเมืองของชาวอินเดียมุสลิมเพื่อเรี่ยไรเงิน แต่ไม่ทราบว่าจะเข้ากระเป๋าใคร  เดินชมมัสยิดจามิ (Jami Masjid) เพลินจนได้เวลาที่นัดกับคุณตาฮีร์ไว้ตอนใกล้เที่ยงว่าจะต้องกลับไปยังเมืองอักรา จนลืมไปเลยว่ายังไม่ได้เข้าชมพระราชวังฟาเตห์ปูร์สิครี เพราะไกด์ผีมัวแต่พาชมมัสยิดอย่างละเอียดและบรรยายอย่างละเอียด และทางออกของตัวมัสยิดก็ไม่ได้เชื่อมกับประตูทางเข้าพระราชวังที่ต้องเสียเงิน ไกด์ตัวน้อยชวนไปชมสินค้าหัตถกรรมที่หมู่บ้านสิครีที่อยู่ตีนเขาด้านล่าง แต่เราปฏิเสธไปเดี๋ยวรถเราจะรอนาน เขาก็เดินตามตื๊ออยู่นั่นแหละ  บอกว่าที่บ้านเขาทำงานแกะสลักหิน สินค้าสวยมาก เจอไกด์ผีแบบนี้วิธีตัดตอนต้องให้เงินค่าเหนื่อยไปแต่ต้องไม่เยอะจนเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นอีก เราเลยให้ไปแค่ 50 รูปี พร้อมกับไล่ให้เดินไปไกลๆ
ดนตรีกลางลาน กับมุมหนึ่งของพระราชวังฟาเตห์ปูร์สิครี

การฝังหินอ่อนลงบนหินทราย บางส่วนก็หลุดร่อนออก

กำแพงมัสยิดที่สูงตระหง่านและมั่นคง
รถแท็กซี่ออกจากเขตหมู่บ้านสิครีไปได้สักครู่ หยิบหนังสือแบกเป้เที่ยวอินเดียมาดู ตายแล้วเราลืมเข้าชมพระราชวังฟาเตห์ปูร์สิครีไปเสียสนิทเลย เพราะทางเข้าพระราชวังอยู่คนละทิศกับมัสยิดที่เราเดินขึ้นไปนั่นเอง งานนี้ต้องโทษตัวเองเท่านั้นที่ไม่ศึกษาเส้นทางทำการบ้านมาให้ดีก่อน แล้วต้องมาเจ็บใจทีหลัง
ขับรถผ่านพระราชวังฟาเตห์ปูร์สิครีไปเสียฉิบ
ขากลับรถใช้เวลาแค่ 45 นาที สงสัยเค้าคงหิว ก่อนที่จะไปซื้อตั๋วรถไฟกลับเข้ากรุงเดลีและไปเที่ยวป้อมอักราต่อ เราเลยอาสาที่จะเลี้ยงมื้อกลางวันเขาสักมื้อเป็นค่าตอบแทน ขอให้เขาพาไปร้านอาหารอินเดียอร่อยๆในเมืองอักราสักร้านด้วย ตาฮีร์ตอบตกลงจะพาไปร้านอาหารแบบ Non-veg แบบมุสลิมให้ ร้านที่เขาพาไปเป็นร้านสไตล์มุกไลห์ (Mughlai Food) ชื่อร้าน เดลลี ดาบาร์ (Dehli Darbar) เต็มไปด้วยเมนูเนื้อสัตว์ย่างและแกง ตาฮีร์ทานได้ไม่เยอะ เราเลยสั่งแค่แกงแพะ (Mutton Curry) และแกงไก่ (Chicken Mughlai) มากินกับนานกระเทียม แค่สองอย่างหมดไป 750 รูปี กินกันจนพุงกาง
ร้านอาหารเดลลี ดาร์บาร์ ที่เราพาคุณตาฮีร์มาเลี้ยงมื้อกลางวัน 

ในร้านค่อนข้างมืดสลัวกับอาหารอินเดียสไตล์มุกไลห์ (Mughlai Food)
หลังจากนั้นเราก็ไปซื้อตั๋วรถไฟเข้ากรุงเดลีกันต่อ เราไปกันที่สถานีรถไฟอักราคันต์ โชคร้ายที่รถไฟเที่ยวที่เราอยากกลับที่นั่งเต็มหมดแล้ว รถไฟสายนี้มีชื่อว่า ชาตาบาติ เอ็กซ์เพรส (Shatabati Express) สายนี้ใช้เวลาเดินทางเพียง 2ชั่วโมง เหลือแต่สาย ทาชเอ็กซ์เพรส (Taj Express) เดินทางออกเวลา 18.55 น. ไปถึงกรุงเดลี 22.30น. ราคาตั๋วโดยสารปรับอากาศชั้นสองเพียง 263 รูปี
ตั๋วรถไฟสาย Taj Express จากเมืองอักราสู่เดลลี

ภารกิจทัวร์แบกเป้เที่ยวอักรายังไม่จบลงแค่นี้ ยังเหลือป้อมอักรา (Agra Fort) ที่บรรจุไว้ในแพคเกจทัวร์เหมารถแท็กซี่อีกรายการหนึ่ง แต่คุณตาฮีร์บอกว่าจะพาเราไปชมร้านขายหินอ่อนแกะสลักก่อน เอาล่ะคราวนี้มาดูกันว่าเราจะโดนฟันหัวแบะหรือว่าเค้าจะมึนงงกับนักแบกเป้ถังแตกกันแน่

ตอนหน้าอย่าพลาดฉากปิดท้ายของเมืองอักราก่อนโบกมือลานั่งรถไฟกลับพระนครเดลลี






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น