วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แบกเป้เที่ยวเกียวโต แวะสักการะวัดและศาลเจ้าชื่อดัง (Kiyomizu-dera Temple & Fushimi Inari Taisha Shrine)

           ครั้งที่แล้วยังกล่าวถึงที่เที่ยวเกียวโตไม่หมด กลับมาคราวนี้เราจะขอลงให้หมดไม่มีกั๊กแม้แต่ที่เดียวเลย  ด้วยความที่เกียวโตเป็นเมืองเก่าแก่ จึงมีแต่วัดและวังกับศาลเจ้ากระจายอยู่ทั่วเมืองเต็มไปหมด บางที่ก็ต้องนั่งรถไฟออกไปนอกเมืองเพื่อแวะสักการะกันด้วย
บัตร JR Kansai Pass วันหมดซะแล้ว เราเลยแวะซื้อบัตรเพิ่มจ้า
ยืนรอรถที่ชานชาลาแป๊บเดียวรถก็มาแล้ว


        สถานที่หนึ่งที่ห้ามพลาดเลยคือ วัดน้ำสามสาย หรือที่คนไทยเรียกเพี้ยนมาเป็นวัดน้ำใส มีชื่อจริงเรียกว่า วัดคิโยมิซึเดระ (Kiyomitsu-dera Temple) ที่เรียกกันติดปากว่าวัดน้ำสามสายก็เพราะว่าข้างในวัดจะมีน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลลงมาสามสายให้คนได้ขอพรกันนั่นเอง วัดนี้เป็นมรดกโลกอันเก่าแก่กว่า 1500 ปี โดยสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 788 เพื่อถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 
บ้านสวยระหว่างทางเดินไปวัดน้ำสามสาย

เริ่มเห็นคนใส่ชุดกิโมโนเดินไปวัดกันแล้ว
ถึงแล้วทางเข้าวัดน้ำสามสาย

      เมื่อลงรถเมล์แล้วทางเข้าวัดจะมีถนนใหญ่ให้เดินเข้าไปอีกที ไกลพอสมควร ระหว่างทางจะมีร้านค้าของที่ระลึก ร้านอาหารไว้คอยละลายทรัพย์เรา แถมที่นี่ยังมีบริการให้เช่าชุดยุกาตะ ชุดกิโมโนให้แต่งเดินเล่นชมเมืองด้วยนะ พร้อมช่างทำผมแต่งหน้าเสร็จสรรพ แต่กำหนดคืนจะต้องคืนวันต่อวัน สนนราคาเช่าชุด 10000 เยน ขึ้นไป 
ร้านค้าของที่ระลึก ร้านอาหารเยอะมากที่นี่

คนสวยพร้อมถ่ายทำในชุดกิโมโนแล้วค่ะ

การเช่าชุดต้องระวังอย่าทำอาหารเลอะชุดนะคะ

             การเดินในวัดขอให้เผื่อเวลาไว้บ้างก็ดี เนื่องจากมีพื้นที่กว้างมากและเป็นทางบังคับให้เดินในหลายจุด เริ่มจากจุดแรกที่เป็นเจดีย์สีแดงสูง 5ชั้น ตัววัดจริงๆ จะอยู่ข้างในเป็นอาคารสูงสีทึมๆ สร้างขึ้นบนเนินเขาสูงและอาศัยเสาค้ำยันมากมายทำให้รากฐานวัดมั่นคงมากๆ  เด็กนักเรียน นักศึกษามาขอพรที่นี่กันมากเพื่อให้สอบผ่าน หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนคนไทยก็มีทั้งไปขอพรเรื่องหน้าที่การงาน เรื่องสุขภาพ และเรื่องความรัก 
เจดีย์สีแดงตั้งเด่นด้านหน้า 

วัดคิโยมิซึ เดระ ตั้งอยู่บนเขาจึงมีท่อนเสาอยู่มากมาย

กระดาษพร้อมสมุดขอพร เขียนเสร็จแล้วนำมาไว้ที่นี่

จุดชมวิวของวัดแห่งนี้
เข้ามาข้างในแล้วอย่าลืมแวะตีด้วยนะ

     ส่วนที่มาของน้ำสามสายนั้นมากจากน้ำจากแม่น้ำสามสายอันศักดิ์สิทธิ์ไหลลงจากภูเขาลงมาเป็นสามเส้นเพื่อให้พวกเราได้ขอพร โดยมีความเชื่อว่า
น้ำสายที่ 1 ถ้าใครได้ดื่มจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา
น้ำสายที่ 2 จะสมหวังในความรัก
น้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง
เอาละใครชอบสายไหนก็เชิญรองดื่มกันได้เลย เพราะตะบวยไม้ไผ่ที่ใช้รองน้ำนี้เค้าว่ากันว่า มีการฆ่าเชื้อแล้ว

อย่าลืมมาขอพรจากน้ำสามสายอันศักดิ์สิทธิ์กันด้วยนะคะ

ว่ากันว่าสามารถเลือกขอพรได้แค่ข้อเดียว ดังนั้นคิดให้ดีก่อนขอนะ


การเดินทาง นั่งรถบัสสาย 100, 202,206,207 ลงป้าย Kiyomizu-michi เดินต่ออีก 10-15 นาที
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 200 เยน  เวลาเปิดให้เข้าชม 06.00 – 18.00 น.
ถ่ายกับสาวๆญี่ปุ่นก่อนออกเดินทางกันต่อครัช

       ได้เวลานั่งรถไฟออกไปนอกเมืองสักนิดเพื่อไปสักการะขอพรที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Taisha Shrine) หรือศาลเจ้าจิ้งจอก ลงรถที่สถานี  Fushimi Inari เลย แต่เดี๋ยวก่อนได้เวลาเติมพลังมื้อเที่ยงกันแล้ว บริเวณด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้า มีร้านปลาไหลย่างเจ้าดังขึ้นชื่ออยู่ร้านหนึ่ง ดังชนิดที่ว่ามีภาษาไทยโชว์หน้าร้านเลย เป็นอันว่าเราไม่ขัดศรัทธา จะขอกินปลาไหลย่างร้านนี้ให้ชื่นใจ ก่อนที่จะต้องไปเดินอีกไกลในศาลเจ้า
มาถึงสถานีฟูชิมิ อินาริกันแล้วค่า

คนที่นี่มักใช้จักรยานเป็นพาหนะกัน 
สถานีขนาดเล็กนอกเมืองตกแต่งด้วยทีมสีส้ม
ถึงแล้วร้านขายปลาไหลย่างชื่อดัง
เมนูขึ้นชื่อร้านนี้คือสารพัดอูนางิ หรือเมนูปลาไหลทุกชนิด 
เห็นมั้ยภาษาไทยชัดๆเลย ขอโทษที่ภาพอาจโหดไปนิดจ้า

ย่างกันเห็นๆเลย 
อาหารที่โชว์หน้าร้านก็น่ารับประทานมากๆ 
แล้วเราก็สั่งอาหารเซ็ทมากินกัน

ศาลเจ้าเทพอินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto)ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักสิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงสามารถพบเห็นรูปปั้นจิ้งจอกมากมายด้วยเช่นกัน ศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว
แผนผังศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ  
ประตูโทริอิขนาดยักษ์ และสัญลักษณ์รูปปั้นจิ้งจอกประจำศาลเจ้าแห่งนี้


             ทางด้านหลังศาลเจ้าจะเป็นทางเดินขึ้นเขา ที่ปกคลุมไปด้วยเสาโทริอิ ซึ่งเสาโทริอิเหล่านี้ มาจากการบริจาค ทั้งจากคนและองค์กรต่างๆ สามารถสังเกตเห็นได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา โดยราคาเริ่มจากไม่กี่ร้อยเยนสำหรับเสาต้นเล็กๆ ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ
รายนามผู้บริจาคเงินเพื่อซื้อเสาโทริอิจะสลักไว้ด้านหลังเสา

มาที่นี่ควรเขียนหน้าจิ้งจอกลงบนแผ่นกระดาษแล้วนำไปแขวนนะ


         ระหว่างทางเดินขึ้นเขาจะพบศาลเจ้าเล็กๆได้ตลอดทาง รวมถึงเสาโทริอิแบบเล็กๆ และจิ้งจอกตัวเล็กๆด้วย สำหรับคนที่งบน้อยสามารถเลือกบริจาคซื้อแบบเล็กๆเอามาวางได้เหมือนกัน ถ้าจะเดินทั้งเขาอาจจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ด้วยระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร วนเป็นวงกลมลงมาที่จุดเดิม ใครมีเวลาเหลือเฟือก็เชิญเดินให้ครบทั้ง5 กิโลเมตรเลย แต่เราไม่เอา เพราะยังต้องเผื่อเวลาไปอีกหลายที่

เสาโทริอิจะเรียงกันแบบนี้ไปอีกราว 5 กิโลเมตร

ใครถนัดวาดซื้อมาวาดเลยแล้วคุณจะโชคดี 

การเดินทาง นั่งรถไฟสาย Keihan Line ลงที่สถานี  Fushimi Inari แล้วเดินเข้าไปตามป้ายบอกทางนิดเดียวถึงเลย ค่าเข้าชม ฟรี

 ร้านขายอาหารและขนมของที่ระลึกเพียบเลยที่นี่
ตุ๊กตาสุนัขจิ้งจอก และขนมรูปหน้าจิ้งจอก มีขายที่นี่ที่เดียวนะคะ 

ข้าวพองกรอบราคาต่อชิ้นแพงเอาเรื่องเหมือนกัน

          วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) วัดขนาดเล็ก อยู่ระหว่างทางกลับจากศาลเจ้าจิ้งจอกไปยังสถานี Kawaramachi โดยให้ลงที่สถานี Tofukuji แล้วเดินย้อนขึ้นมาตามถนนประมาณ10 นาที แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไป ก็จะถึงวัดที่สร้างอย่างเรียบง่าย เปิด 9.00-16.00 น. ค่าเข้าชมด้านใน Kaizando Hall 400เยน
วัดแบบเรียบๆ แต่เงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านต้องที่นี่




      นอกเหนือจากวัด ศาลเจ้า และปราสาทซึ่งเป็นจุดเด่นหลักของเมืองเกียวโตแล้ว เรามาเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวธรรมชาติกันบ้าง ไปเที่ยวอาราชิยาม่า (Arashiyama) แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองเกียวโต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตไม่แพ้กัน มีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นจุดชมดอกซากุระบานและใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
กลับมายังตัวเมืองเกียวโตอีกครั้งเพื่อต่อรถกันจ้า 
แม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองเกียวโต 
อาคารแบบยุโรปมีให้เห็นทั่วไปในเมืองเกียวโต

Arashiyama ตั้งอยู่ทางตะวันตกของกรุงเกียวโต มีแม่น้ำ โฮสุไหลผ่าน บริเวณนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ตั้งแต่ยุคเฮอัน (ค.ศ. 794-1185) ที่ซึ่งขุนนางชนชั้นสูงของญี่ปุ่นนิยมมาเที่ยวธรรมชาติกันที่นี่ และในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ต่างพากันหลั่งไหลมาเที่ยว อาราชิยาม่าโดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เพราะว่ามันสวยได้บรรยากาศจริงๆ
แม่น้ำโฮสุที่ไหลผ่านตัวเมืองอาราชิยาม่า 
อุทยานสวนสวย 

ทางเดินป่าไผ่ที่จัดว่าเป็นเส้นทางที่โรแมนติคที่สุด 

โดยไฮไลท์สำคัญของการมาเที่ยวที่นี่คือ การนั่งรถไฟสายโรแมนติก (Sagano Romantic Train) นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่โดดเด่นและมีเสน่ห์เฉพาะตัวไม่แพ้ที่ใดๆที่กล่าวมา นั่นก็คือ ทางเดินเลียบป่าไผ่ ที่มีความยาวกว่า 500 เมตร นอกจากนี้ยังมีร้านค้า ร้านอาหารเล็กๆตั้งอยู่จำนวนมาก ยังมีโปรแกรมนั่งเรือล่องทะเลสาบอีกนะ แต่เวลาคงไม่พอแล้ว งืมงืม เศร้าจัง
เห็นมั้ยว่าเส้นทางรถไฟล่องไปตามสายน้ำนี่โรแมนติคจริงๆ


รถไฟ Sagano สายโรแมนติค เป็นรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ

เห็นมั้ยว่าเที่ยวเกียวโตแบบครบรสนั้นทำได้จริง อยากให้คุณมาเห็นด้วยตาคุณเองจะดีกว่า เดี๋ยวเราจะกลับไปรีวิวไต้หวันกันต่อ เพื่อฉลองฟรีวีซ่าสำหรับคนไทยกันจ้า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น