วันนี้รถจากบริษัททัวร์มารับพวกเราตั้งแต่8โมงเช้า
เพราะไม่อยากให้พวกเรากลับมาถึงเมืองเลห์มืดค่ำจนเกินไป
ทุกคนแต่งตัวพร้อมที่จะไปถ่ายแบบสวยๆคู่กับทะเลสาบสีฟ้าที่ตัดกับภูผาสีน้ำตาลที่สวยงามราวภาพวาด
หน้าตาจะเป็นอย่างไรแต่ละคนจินตนาการไว้ในใจแล้ว
ไปทะเลสาบปางกอง อย่าลืมถ่ายภาพแบบพาโนรามานะจ๊ะ
ระหว่างทางก่อนถึงร้านอาหารนอกเมือง
รถขับออกมานอกเมืองทางทิศตะวันออกได้สัก 35 กิโลเมตร เห็นชุมชนที่น่าแวะทานอาหารเช้า
เห็นมีร้านอาหารเรียงรายอยู่
เราไม่รอช้าให้คนขับจอดรถและเราก็สั่งอาหารแบบทานง่ายๆ ทั้งข้าวผัด ไข่ดาว
และก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบทิเบตกินกันก่อนที่จะออกเดินทางกันต่อ ยังเหลือระยะทางอีก 113
กิโลเมตรนะจ๊ะ
กินอาหารร้อนๆตอนเช้าทำให้สดชื่นขึ้นมากเลย
ถนนหนทางไปยัง Pangong
Lake ทางสภาพดีกว่าและเส้นทางตรงกว่า ทางไป Nubra Valley ซึ่งเป็นเส้นทางทิศตะวันตกความหฤโหดของเส้นทางวันนี้เลยดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเมื่อวาน
พอขับออกจากจุดแวะพักได้สักหน่อย ถนนก็เริ่มจะโค้งและเป็นทางซิกแซก ขี้นตัดเขาสีน้ำตาลไม่ต่างจากวันก่อนเลย
จุดสุดท้ายที่ดูเป็นเมืองก่อนที่เส้นทางจะตัดขึ้นเขาไป
เส้นทางตามไหล่เขาสู่ชายแดนทิเบตจะเจอรถทหารค่อนข้างเยอะ
และแล้วรถก็นำพาพวกเราขึ้นมาสู่จุดที่สูงที่สุดของทางเส้นนี้คือ
Changla Pass ด้วยระดับความสูงประมาณ 5,360
เมตรจากระดับน้ำทะเล ในขณะที่จุดหมายปลายทางทะเลสาบ Pangong นั้นอยุ่แค่ระดับ 4300เมตร ที่นี่มีเจ้าสี่ขาขนปุกปุยค่อยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอยู่เนืองๆ
ดูพวกนางไม่หนาวกันเลยเนอะเดินกันชิลมาก
แต่เดินกันค่อนข้างเชื่องช้าก็อากาศมันเบาบางนี่ และจุดนี้ก็มีหิมะปกคลุมกันเกือบตลอดปีเช่นกัน
มาถึงจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางสายตะวันอกสู่ทิเบต
เจ้าหมาน้อยขนปุยที่นี่เชื่องมากจ้าและก็เขรอะมากเช่นกัน
ถนนหนทางเส้นนี้ราบเรียบกว่าทางไป Nubra Valley
อย่าลืมถ่ายกับป้ายถนนที่สูงเป็นอันดับที่สามของโลกด้วยนะ
สังเกตด้านขวาเราจะเจอธงมนต์อีกแล้ว
รถของเราก็ผ่านจุด Check
Point ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่ถึงทะเลสาบเสียทีนั่งกันจนก้นเริ่มชา
แล้วก็มาถึงหุบที่ราบแอ่งหนึ่งที่มีลำธารเล็กๆไหลผ่านและมีทุ่งหญ้าเล็กๆขึ้นบางๆ
คนขับก็จอดรถให้พวกเราลงไปถ่ายรูปและเดินเที่ยวชมด้านล่าง เอ๊ะ
แล้วมันมีอะไรแถวนี้ล่ะ นอกจากที่ราบเล็กๆเท่านั้นเอง
ถนนค่อนข้างแคบรถสวนกันลำบาก
รถคันนี้แหละที่พาพวกเราเที่ยวอย่างปลอดภัยทั้งทริปจ้า
สายตาของพวกเราก็เริ่มจับความเคลื่อนไหวได้
เจ้าก้อนเนื้อสีน้ำตาลขนปุยวิ่งขึ้นลงจากรูหรือโพรงที่มันขุดพื้นทรายแถวนั้น
ถามเพื่อน เพื่อนบอกว่ามันคือเจ้า Himalayan
Marmot สัตว์เลี้ยงลุกด้วยนมขนาดเล็กหน้าตาคล้ายนากที่อาศัยอยู่ในแถบนี้เท่านั้นหาดูไม่ได้ในแถบอื่น
ท่าทางพวกมันไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย แต่พอคนเดินเข้าไปใกล้ๆ
มันก็จะวิ่งมุดลงรูอย่างไวเลย
ว้าย นี่ไงตัว Marmot
มันตุ้ยนุ้ยแต่ก็เคลื่อนไหวได้เร็วมากๆ
ออกเดินตามล่าหาตัว Marmotกัน
พวกมันจะอาศัยอยู่ในรูที่มันขุดเองแหละ
รถแล่นผ่านที่ราบ Marmot มาได้สักพักจะเป็นทางที่เลาะไปตามไหล่เขา
สายน้ำเล็กๆเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เห็นหุบเขาสีน้ำตาลและผืนน้ำอยู่ลิบๆ
มันต้องใช่แน่ๆ นั่งรถหัวโยกหัวคลอนมานานกว่า 5ชั่วโมง กว่าจะถึง Pangong
Lake ก็ร่วมบ่าย ทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มตัดกับภูผาสีน้ำตาลเบื้องหน้านั้นสวยงามราวกับภาพวาดมาก
แต่พอเราก้าวขาลงจากรถได้ลมหนาวก็เข้าปะทะร่างอย่างแรงเลย
ขอถ่ายภาพ Panorama อีกมุมของทะเลสาบ
ทางเข้าทะเลสาบ Pangong
ทะเลสาบ Pangong สวยและดูแพงตามท้องเรื่องจริงๆ
ต่อให้คุณถ่ายรูปไม่เป็น ที่ทะเลสาบแห่งนี้ถ่ายมายังไงก็สวย
Pangong Lake หรือทะเลสาบปางกองนั้น
เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุด อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลราว 4300 เมตร
คาดว่าเป็นทะเลสาบในยุคโบราณที่อยู่สูงที่สุดในโลกเป็นทะเลสาบปิด
กินอาณาบริเวณพื้นที่สองประเทศ โดยฝั่งตะวันตกอยู่ในแคว้นลาดักห์
ประเทศอินเดีย และฝั่งตะวันออกอยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบตประเทศจีน
ทะเลสาบปางกองจึงเป็นทะเลสาบลูกครึ่งไปโดยปริยาย และมีแนวโน้มว่าทะเลสาบแห่งนี้น้ำจะระเหยออกไปเรื่อยๆ
เพราะแสงแดดที่นี่แรงมากและฝนตกน้อยมาก ความเค็มจึงบังเกิด
ไม่แน่หรอกวันหนึ่งมันอาจจะเหือดแห้งจนเหลือแต่ผลึกเกลือก็เป็นได้
ว้าว มีเป็ดน้อยด้วย
มาที่นี่เราได้สัมผัสกับธงมนต์อีกแล้ว
น้ำในทะเลสาบเป็นผลึกน้ำแข็งบางตอน ห้ามเหยียบนะคะ
มาเที่ยวเลห์ลาดักห์
ไม่ว่าจะไปทางไหนเราก็จะต้องเจอกับธงมนต์แขวนเป็นราวเสมอ
ที่ทะเลสาบปางกองก็เช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความผูกพันของชาวลาดักห์ที่มีต่อศาสนามากๆ
เราถามคนขับรถว่าที่นี่ในหน้าร้อน เราสามารถลงไปว่ายน้ำได้มั้ย
เค้าตอบว่าได้มีคนลงไปเล่นน้ำ แต่น้ำก็ยังเย็นอยู่ดี
กางปีกได้ก็เพราะลมที่นี่แรงมากน่ะสิ
ความเชื่อทางศาสนากลมกลืนไปกับผืนทะเลสาบ
น้ำบางส่วนก็กลายเป็นน้ำแข็ง ขึ้นผลึกขาวเลย
บริเวณรอบๆทะเลสาบมีร้านอาหารและที่พักให้บริการ
มีลักษณะเป็นกระโจมที่คลุมด้วยพลาสติกกันลม
คาดว่าหน้าร้อนน่าจะเปิดให้บริการกันเต็มที่กว่านี้ ลมพัดแรงจนมือเริ่มชา
เราได้ไปอาศัยหลบหนาวจิบชาร้อนและสั่งข้าวผัดมากินกันตายในช่วงบ่ายก่อนออกมาจากทะเลสาบ
พอตกบ่ายนักท่องเที่ยวที่นี่ก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อมั้ยว่ากว่าจะเดินขึ้นเนินไปถึงรถได้นี่เหนื่อยมาก
มุมที่ไม่ติดทะเลสาบถ่ายออกมาก็เหมือนโลกพระจันทร์ดีดีนี่เอง
เพิงชั่วคราวสำหรับขายอาหารเป็นเต๊นท์กันลมได้อย่างดี
พวกเราออกจากทะเลสาบได้ประมาณบ่ายสามกว่า ยังต้องใช้เวลาเดินทางกลับอีก 5
ชั่วโมง เลยบอกกับคนขับว่าให้เหยียบไปเลยไม่ต้องแวะพัก ณ จุดใด
เพราะเราไม่อยากให้มืดก่อนที่จะลงจากเขาไงล่ะ งานนี้คุณพี่เลยมาสายบู๊เลย
แกก็คงไม่อยากกลับบ้านค่ำเหมือนกัน
การซื้อทัวร์มาเที่ยวนอกเมืองเราต้องไว้วางใจคนขับทุกคันเท่านั้นจ้า
ก่อนที่จะลงจาก Changla Pass ทีมงานเราเจอรถติดหล่มข้างหน้าอีกแล้ว
ทางลงตัดเขาแบบซิกแซกไม่แพ้เส้นทาง Nubra Valley
พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราต้องอำลาเมืองเลห์
เมืองที่เวลาเดินช้าลง ผิวของพวกเราเริ่มแตกและลอก
นี่ยังไม่ได้เดินเล่นเที่ยวชมในเมืองเลย มีถนนคนเดินและตลาดข้างทางด้วย
แต่ไม่เคยได้เดินเลย กลับถึงโรงแรมมืดค่ำทุกวัน แถมสภาพยังไปต่อไม่รอดอีก
พรุ่งนี้เช้าเราจะต้องออกไปเดินชมเมืองให้ได้
ถ่ายภาพสุดท้ายก่อนลาจาก Pangong Lake
ระหว่างทางกลับ เราเจอรถติดหล่มอีกแล้ว