ตายแล้วนึกว่าหลงทางอยู่ในหมู่บ้านชนบทญี่ปุ่น
การออกมาดื่มด่ำดอกไม้บานยามเช้าเป็นอะไรที่ฟินเว่อร์
ดอกApricot บานชูช่อทั้งหมู่บ้าน
บ้านชาวบ้านก่ออิฐแบบเรียบง่าย
แค่เดินชมรอบหมู่บ้านก็มีความสุขแล้วค่า
นี่ก็บ้านน้อยหลังนึงในเขต Nubra Valley
ชาวบ้านที่นี่ออกมาเดินต้อนวัว
หลังจากจัดการอาหารเช้าเสร็จเราก็ได้เวลากลับ
พร้อมกับล่ำลาเจ้าของบ้าน คำกล่าว “จูเล่ห์” (Juleh) ยังใช้ได้เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวทักทายจนกระทั่งการจากลา เราไม่ลืมที่จะถ่ายภาพคุณป้าเจ้าของที่พักและลูกหลานของแกที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี
ก่อนที่ล้อจะหมุนจากหุบเขานูบร้ากลับไปสู่เมืองเลห์อีกครั้ง
ถ่ายกับลูกหลานคุณป้าจ้า
นี่แหละเจ้าของที่พักคุณป้าผู้ใจดี
จุดแวะพักระหว่างทางวันนี้คือ Diskit Monastery หรือวัดแห่งเมือง Diskit ตั้งอยู่บนเนินเขาแลเห็นองค์พระศรีอริยะเมตไตรยมาแต่ไกล
ด้วยความสูงขององค์พระถึง 32 เมตร ประดิษฐานอยู่บนเนินเขา องค์พระทาสีสันงดงาม
คาดว่าสร้างขึ้นมาใหม่ไม่นาน แลเห็นวัด Diskit ตั้งอยู่บนเนินเขาที่อยู่ใกล้กัน
ซึ่งต้องเดินทางต่อด้วยรถเท่านั้น
ยามรถขึ้นเนินจะเห็นหมู่บ้าน Diskit อยู่เบื้องล่าง
พระศรีอริยะเมตไตรย
ฝูงวิหคบินร่อนถลาลมเป็นฝูงเลย
Diskit Monastery อยู่ถัดไปอีกเนินหนึ่ง
Diskit
Monastery เป็นวัดที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเขต Nubra Valley เป็นวัดพุทธมหายานแบบทิเบตนิกายหมวกเหลือง
ภายในมีห้องสดุดีเกียรติคุณท่านปันเชนลามะ มีพระศากยมุณี
วัดสร้างขึ้นมาแบบเรียบง่ายและจิตรกรรมฝาผนังที่นี่เป็นของเดิมทั้งหมดจึงมีการหลุดร่อนไปบางส่วน
กงล้อหมุนของที่นี่ใหญ่มากจ้า ต้องออกแรงเยอะเลย
ตู้รับบริจาคของวัด Diskit
กล่าวสดุดีท่านปันเชนลามะ
มีพระสงฆ์จำวัดด้วย
จิตรกรรมฝาผนัง
เห็นพระท่านที่นี่ตอนแรกนึกว่าบอยแบนด์
ดูดีมีสไตล์ครัช
แวะชมภาพวาดกัน
ก่อนที่คณะเราจะผ่านไปยังจุดสูงสุดหรือ Khardungla Pass อีกครั้ง
หลายคนเริ่มหิวเลยตกลงแวะพักกันที่จุด Check
Point North Pulluก่อนซึ่งที่นั่นมีร้านอาหารเล็กๆไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
แต่โชคร้ายที่วันนี้ไม่มีข้าว เลยสั่งข้าวผัดไม่ได้ ทุกคนเลยต้องมาสั่ง Veg Thukpa เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบทิเบตใส่ผักล้วนๆ
รสชาติจืดสนิทแต่ยังดีที่ร้อนพอซดน้ำซุปแก้กระหายได้
ทุกคนสั่งมากินคู่กับชานมร้อนเข้ากันดี
บรรยากาศการทานอาหารเที่ยงท่ามกลางดงหิมะนี่ช่างได้บรรยากาศแห่งแคว้นลาดักห์จริงๆ
แวะถ่ายรูปที่จุด Check Point ค่า
จุดแวะพักนี้มีร้านค้าและร้านอาหารด้วย
ก๋วยเตี๋ยวผักแบบทิเบตช่วยให้รอดตายที่นี่
เขตทหารห้ามเข้าครัช
จะมองไปทางไหนก็ขาวโพลนไปหมด
กินอิ่มแล้วออกเดินทางกันต่อ
ใช่ว่าการเดินทางท่องเที่ยวเลห์ครั้งนี้จะราบรื่นเสมอไป ต้องเจออุปสรรคในการเดินทางบ้างชีวิตจะได้มีรสชาติ
ขากลับเราได้เจอกับคาราวานรถติดยาวเป็นกิโลเมตรร่วมชั่วโมง
สาเหตุเกิดจากรถบรรทุกคันหน้าเร่งขึ้นเนินไม่ไหวลื่นและไถลลงมาจากถนนที่ลาดชันและแฉะไปด้วยหิมะ
พวกเราก็ไม่ได้รอช้ารีบออกไปจากรถ ไม่ได้ไปช่วยเหลือหรอกนะ แต่ออกไปถ่ายรูปกันจ้า
รถติดจนคนบนรถเริ่มลงออกมายืดเส้นนอกรถ
เห็นขบวนรถที่เทือกเขาด้านโน้นมั้ย เริ่มติดตั้งแต่ตรงนั้นแหละ
พี่ไม่ได้มาช่วยนะ แต่พี่ลงมาเล่นเลยแหละ
พวกเราได้แวะจอดพักที่ Khardungla
เพื่อทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเดินทางเข้าเมืองเลห์ รอบนี้คนน้อยกว่าครั้งที่แล้วเพราะเราผ่านที่นี่ค่อนไปทางบ่ายแก่ๆแล้ว
กว่าจะกลับไปเข้าเมืองก็คงจะมืดพอดี พวกเราได้รวมกันให้ทิปคนขับรถกันตามสมควร
ผ่านจุดแวะพักรถที่เดิมอีกครั้ง
คราวนี้ไม่มีคนมาแย่งมุมถ่ายรูปเลย
พักได้ไม่นานต้องรีบแจ้นขึ้นรถ หายใจไม่ออกอีกแล้วจ้ะ
กลับมาถึงเมืองเลห์ลองหาที่พักใหม่แต่มันไม่ค่อย OK เพราะบอกราคากลับกลอกไปมา
เลยต้องกลับมาพักที่เดิมราคาแน่นอนกว่า พักที่นี่อีกสองคืน
ตอนเย็นเราเดินออกไปซื้อทัวร์ไปกลับสำหรับวันพรุ่งนี้ที่จะไปเที่ยวทะเลสาบปางกอง (Pangong Lake) กัน ซื้อได้ในราคาเหมาจ่ายคันละ 9200 รูปี Agency ก็อยู่ตรงหน้าที่พักเรานั่นแหละ
แล้วเราก็กลับมาฝากท้องที่ร้าน Lamayuru เหมือนเดิม เย็นนี้กินแหลกเลยจ้า
เหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถมาทั้งวัน
กลับมาตายรังที่พักเดิม คุณป้าเจ้าของออกไปซื้อของกลับมาพอดี
กลับมากิน Lassi นมเปรี้ยวปั่นเย็นชื่นใจ
มื้อนี้ต้องจัดหนัก เจอของไม่อร่อยมาแล้วหลายๆมื้อ
ปิดท้ายด้วย Butter Tea จะได้นอนหลับฝันดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น