วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

หนาวนี้ที่เลห์ลาดั๊กห์ Road trip to Pangong Lake ท่องเที่ยวทะเลสาบปางกอง ทะเลสาบที่ดูแพงและสวยที่สุดในวันนี้


     วันนี้รถจากบริษัททัวร์มารับพวกเราตั้งแต่8โมงเช้า เพราะไม่อยากให้พวกเรากลับมาถึงเมืองเลห์มืดค่ำจนเกินไป ทุกคนแต่งตัวพร้อมที่จะไปถ่ายแบบสวยๆคู่กับทะเลสาบสีฟ้าที่ตัดกับภูผาสีน้ำตาลที่สวยงามราวภาพวาด หน้าตาจะเป็นอย่างไรแต่ละคนจินตนาการไว้ในใจแล้ว
ไปทะเลสาบปางกอง อย่าลืมถ่ายภาพแบบพาโนรามานะจ๊ะ
ระหว่างทางก่อนถึงร้านอาหารนอกเมือง

                รถขับออกมานอกเมืองทางทิศตะวันออกได้สัก 35 กิโลเมตร เห็นชุมชนที่น่าแวะทานอาหารเช้า เห็นมีร้านอาหารเรียงรายอยู่ เราไม่รอช้าให้คนขับจอดรถและเราก็สั่งอาหารแบบทานง่ายๆ ทั้งข้าวผัด ไข่ดาว และก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบทิเบตกินกันก่อนที่จะออกเดินทางกันต่อ ยังเหลือระยะทางอีก 113 กิโลเมตรนะจ๊ะ
กินอาหารร้อนๆตอนเช้าทำให้สดชื่นขึ้นมากเลย

         ถนนหนทางไปยัง Pangong Lake ทางสภาพดีกว่าและเส้นทางตรงกว่า ทางไป Nubra Valley ซึ่งเป็นเส้นทางทิศตะวันตกความหฤโหดของเส้นทางวันนี้เลยดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเมื่อวาน พอขับออกจากจุดแวะพักได้สักหน่อย ถนนก็เริ่มจะโค้งและเป็นทางซิกแซก ขี้นตัดเขาสีน้ำตาลไม่ต่างจากวันก่อนเลย
จุดสุดท้ายที่ดูเป็นเมืองก่อนที่เส้นทางจะตัดขึ้นเขาไป 
เส้นทางตามไหล่เขาสู่ชายแดนทิเบตจะเจอรถทหารค่อนข้างเยอะ

                และแล้วรถก็นำพาพวกเราขึ้นมาสู่จุดที่สูงที่สุดของทางเส้นนี้คือ Changla Pass ด้วยระดับความสูงประมาณ 5,360 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในขณะที่จุดหมายปลายทางทะเลสาบ Pangong นั้นอยุ่แค่ระดับ 4300เมตร ที่นี่มีเจ้าสี่ขาขนปุกปุยค่อยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอยู่เนืองๆ ดูพวกนางไม่หนาวกันเลยเนอะเดินกันชิลมาก แต่เดินกันค่อนข้างเชื่องช้าก็อากาศมันเบาบางนี่ และจุดนี้ก็มีหิมะปกคลุมกันเกือบตลอดปีเช่นกัน
มาถึงจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางสายตะวันอกสู่ทิเบต 
เจ้าหมาน้อยขนปุยที่นี่เชื่องมากจ้าและก็เขรอะมากเช่นกัน 
ถนนหนทางเส้นนี้ราบเรียบกว่าทางไป Nubra Valley 
อย่าลืมถ่ายกับป้ายถนนที่สูงเป็นอันดับที่สามของโลกด้วยนะ

สังเกตด้านขวาเราจะเจอธงมนต์อีกแล้ว

        รถของเราก็ผ่านจุด Check Point ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่ถึงทะเลสาบเสียทีนั่งกันจนก้นเริ่มชา แล้วก็มาถึงหุบที่ราบแอ่งหนึ่งที่มีลำธารเล็กๆไหลผ่านและมีทุ่งหญ้าเล็กๆขึ้นบางๆ คนขับก็จอดรถให้พวกเราลงไปถ่ายรูปและเดินเที่ยวชมด้านล่าง เอ๊ะ แล้วมันมีอะไรแถวนี้ล่ะ นอกจากที่ราบเล็กๆเท่านั้นเอง


ถนนค่อนข้างแคบรถสวนกันลำบาก 
รถคันนี้แหละที่พาพวกเราเที่ยวอย่างปลอดภัยทั้งทริปจ้า

        สายตาของพวกเราก็เริ่มจับความเคลื่อนไหวได้ เจ้าก้อนเนื้อสีน้ำตาลขนปุยวิ่งขึ้นลงจากรูหรือโพรงที่มันขุดพื้นทรายแถวนั้น ถามเพื่อน เพื่อนบอกว่ามันคือเจ้า Himalayan Marmot สัตว์เลี้ยงลุกด้วยนมขนาดเล็กหน้าตาคล้ายนากที่อาศัยอยู่ในแถบนี้เท่านั้นหาดูไม่ได้ในแถบอื่น ท่าทางพวกมันไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย แต่พอคนเดินเข้าไปใกล้ๆ มันก็จะวิ่งมุดลงรูอย่างไวเลย
ว้าย นี่ไงตัว Marmot 
มันตุ้ยนุ้ยแต่ก็เคลื่อนไหวได้เร็วมากๆ 
ออกเดินตามล่าหาตัว Marmotกัน 
พวกมันจะอาศัยอยู่ในรูที่มันขุดเองแหละ

      รถแล่นผ่านที่ราบ Marmot มาได้สักพักจะเป็นทางที่เลาะไปตามไหล่เขา สายน้ำเล็กๆเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เห็นหุบเขาสีน้ำตาลและผืนน้ำอยู่ลิบๆ มันต้องใช่แน่ๆ นั่งรถหัวโยกหัวคลอนมานานกว่า 5ชั่วโมง กว่าจะถึง Pangong Lake ก็ร่วมบ่าย ทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มตัดกับภูผาสีน้ำตาลเบื้องหน้านั้นสวยงามราวกับภาพวาดมาก แต่พอเราก้าวขาลงจากรถได้ลมหนาวก็เข้าปะทะร่างอย่างแรงเลย
ขอถ่ายภาพ Panorama อีกมุมของทะเลสาบ

ทางเข้าทะเลสาบ Pangong  
ทะเลสาบ Pangong  สวยและดูแพงตามท้องเรื่องจริงๆ

ต่อให้คุณถ่ายรูปไม่เป็น ที่ทะเลสาบแห่งนี้ถ่ายมายังไงก็สวย

      Pangong Lake หรือทะเลสาบปางกองนั้น เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุด อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลราว 4300 เมตร คาดว่าเป็นทะเลสาบในยุคโบราณที่อยู่สูงที่สุดในโลกเป็นทะเลสาบปิด กินอาณาบริเวณพื้นที่สองประเทศ โดยฝั่งตะวันตกอยู่ในแคว้นลาดักห์ ประเทศอินเดีย และฝั่งตะวันออกอยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบตประเทศจีน ทะเลสาบปางกองจึงเป็นทะเลสาบลูกครึ่งไปโดยปริยาย และมีแนวโน้มว่าทะเลสาบแห่งนี้น้ำจะระเหยออกไปเรื่อยๆ เพราะแสงแดดที่นี่แรงมากและฝนตกน้อยมาก ความเค็มจึงบังเกิด ไม่แน่หรอกวันหนึ่งมันอาจจะเหือดแห้งจนเหลือแต่ผลึกเกลือก็เป็นได้ 
ว้าว มีเป็ดน้อยด้วย
มาที่นี่เราได้สัมผัสกับธงมนต์อีกแล้ว 
น้ำในทะเลสาบเป็นผลึกน้ำแข็งบางตอน ห้ามเหยียบนะคะ

       มาเที่ยวเลห์ลาดักห์ ไม่ว่าจะไปทางไหนเราก็จะต้องเจอกับธงมนต์แขวนเป็นราวเสมอ ที่ทะเลสาบปางกองก็เช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความผูกพันของชาวลาดักห์ที่มีต่อศาสนามากๆ เราถามคนขับรถว่าที่นี่ในหน้าร้อน เราสามารถลงไปว่ายน้ำได้มั้ย เค้าตอบว่าได้มีคนลงไปเล่นน้ำ แต่น้ำก็ยังเย็นอยู่ดี
กางปีกได้ก็เพราะลมที่นี่แรงมากน่ะสิ 
ความเชื่อทางศาสนากลมกลืนไปกับผืนทะเลสาบ 
น้ำบางส่วนก็กลายเป็นน้ำแข็ง ขึ้นผลึกขาวเลย

     บริเวณรอบๆทะเลสาบมีร้านอาหารและที่พักให้บริการ มีลักษณะเป็นกระโจมที่คลุมด้วยพลาสติกกันลม คาดว่าหน้าร้อนน่าจะเปิดให้บริการกันเต็มที่กว่านี้ ลมพัดแรงจนมือเริ่มชา เราได้ไปอาศัยหลบหนาวจิบชาร้อนและสั่งข้าวผัดมากินกันตายในช่วงบ่ายก่อนออกมาจากทะเลสาบ
พอตกบ่ายนักท่องเที่ยวที่นี่ก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ  
เชื่อมั้ยว่ากว่าจะเดินขึ้นเนินไปถึงรถได้นี่เหนื่อยมาก 
มุมที่ไม่ติดทะเลสาบถ่ายออกมาก็เหมือนโลกพระจันทร์ดีดีนี่เอง 
เพิงชั่วคราวสำหรับขายอาหารเป็นเต๊นท์กันลมได้อย่างดี

พวกเราออกจากทะเลสาบได้ประมาณบ่ายสามกว่า ยังต้องใช้เวลาเดินทางกลับอีก 5 ชั่วโมง เลยบอกกับคนขับว่าให้เหยียบไปเลยไม่ต้องแวะพัก ณ จุดใด เพราะเราไม่อยากให้มืดก่อนที่จะลงจากเขาไงล่ะ งานนี้คุณพี่เลยมาสายบู๊เลย แกก็คงไม่อยากกลับบ้านค่ำเหมือนกัน การซื้อทัวร์มาเที่ยวนอกเมืองเราต้องไว้วางใจคนขับทุกคันเท่านั้นจ้า
ก่อนที่จะลงจาก Changla Pass ทีมงานเราเจอรถติดหล่มข้างหน้าอีกแล้ว 
ทางลงตัดเขาแบบซิกแซกไม่แพ้เส้นทาง Nubra Valley 

                พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราต้องอำลาเมืองเลห์ เมืองที่เวลาเดินช้าลง ผิวของพวกเราเริ่มแตกและลอก นี่ยังไม่ได้เดินเล่นเที่ยวชมในเมืองเลย มีถนนคนเดินและตลาดข้างทางด้วย แต่ไม่เคยได้เดินเลย กลับถึงโรงแรมมืดค่ำทุกวัน แถมสภาพยังไปต่อไม่รอดอีก พรุ่งนี้เช้าเราจะต้องออกไปเดินชมเมืองให้ได้
ถ่ายภาพสุดท้ายก่อนลาจาก Pangong Lake 
ระหว่างทางกลับ เราเจอรถติดหล่มอีกแล้ว














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น