นอนยังไม่เต็มอิ่มก็ต้องตื่นก่อนตีสี่ เพื่อเดินทางไปสนามบินอินทิราคานธี (Indhira Gandhi International Airport) อีกรอบ นั่งเครื่องของสายการบินแอร์อินเดียไปลงที่สนามบินเลห์ (Leh) เครื่องออกประมาณ 7 โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง เขาใช้ลำเล็กบินพร้อมอาหารมื้อเล็กๆให้บริการ ความพิเศษของเที่ยวบินขาไปนี้คือ เมื่อเราบินผ่านเทือกเขาคาราโครัม (Karakoram) เหมือนกับว่าเทือกเขาเหล่านั้นมันอยู่ใกล้เรามาก ทั้งที่เราบินสูงแล้ว ทุกยอดเขามีหิมะปกคลุม ดูแล้วเหมือนก้อนน้ำตาลไอซิ่งมากๆ เมื่อกับตันได้ประกาศผ่านไมค์ว่า “ขณะนี้เรากำลังบินผ่านเทือกเขาบลา บลา บลา” ทำให้ทุกคนต่างนั่งชะโงกมองวิวที่หน้าต่างกันหมด ทั้งลำส่วนใหญ่เป็นคนอินเดีย
มองออกไปเหมือนภูเขาอยู่ใกล้เรามากเลยล่ะ
พอเครื่องร่อนลงจอดที่สนามบินเลห์เท่านั้นแหละ
อารมณ์มันเหมือนกับว่าร่อนลงจอดบนโลกพระจันทร์อย่างนั้นเลย
เมืองอะไรไม่มีต้นไม้เลย แห้งแล้งมีแต่ก้อนกรวดกับเทือกเขา
แถมเราได้เดินลงบันไดจากเครื่องด้วย
สัมผัสแวบแรกคือลมหนาวเย็นยะเยือกและอากาศเบาบางมาก หลายคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่กันใหญ่เลย
รวมไปถึงแก๊งเราด้วย
เรามากับแอร์อินเดียลำนี้จ้าเป็นเครื่องลำเล็กใช้บินภายในประเทศ
สนามบินที่นี่มีชื่อเรียกยาวมาก เป็นภาษาลาดั๊ก (Ladhakki) ให้เราอ่านก็อ่านไม่ออก ชื่อเต็มคือ Kushok Bakula
Rinpoche Terminal Leh เลยขอเรียกสั้นๆว่าสนามบินเลห์ก็แล้วกัน
ที่นี่ติดป้ายเตือนเรื่องสุขภาพก่อนที่จะออกไปเผชิญโลกกว้างให้ระวังโรค Altitude sickness หรือโรคแพ้ความสูงที่เกิดจากอากาศเบาบาง
และความกดอากาศที่น้อยเกินไป อาจทำให้บางคนมีอาการไม่สบายในท้อง เวียนหัวและคลื่นไส้
ใจเต้นตูมตาม ให้ค่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ เพราะจะเหนื่อยง่าย เราคนพื้นล่างจะไม่ชินกับสภาพแบบนี้
อยู่ไปสัก2วันอาการเหล่านี้ก็จะหายไปเอง ถ้าร่างกายปรับตัวได้
สนามบินเมืองเลห์ชื่อยาวมากๆ
ลามะหนุ่มที่นี่ท่ายืนแกเท่ห์มากเลย
ป้ายเตือนข้อควรปฏิบัติด้านสุขภาพขณะที่พักอยู่เมืองเลห์
สนามบินเล็กเลยมีช่องสายพานแค่นี้
การหาที่พักในเมือง Leh นั้นหาไม่ยาก เพราะเราเดินทางมาเดือนเมษายน
ยังไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ เลยไม่ได้จองล่วงหน้าไป
แต่ถ้าช่วงที่อากาศดีที่สุดจะเป็นฤดูร้อนคือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมที่พักจะเต็มไปหมด
ถ้ามาช่วงนี้ต้องจองล่วงหน้านะจ๊ะ
เราออกมาจากสนามบินก็มีโชเฟอร์เสนอตัวจะพาไปหาที่พักให้
ซึ่งโรงแรมในเมืองเลห์นั้นจะอยู่ใจกลางเมืองและรายรอบหุบเขาไปไม่ไกลนัก
และเขาก็พามาส่งที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ ที่หนึ่ง ห้องพักค่อนข้างใหญ่มีห้องน้ำในตัว
มีฮีตเตอร์ให้บริการ ค่าที่พักคืนละ 1300 รูปี มีชื่อว่า Dolma Guesthouse
อินดี้ระหว่างทางไปที่พักจ้า
พี่เรย์คือผู้โชคดีที่ได้ให้บริการกลุ่มเราจ้า
อาคารของ Dolma เกสท์เฮ้าส์ สไตล์ทิเบตน้อย
ภายในห้องพักตกแต่งสวยงาม
คืนนี้เรานอนกันที่นี่นะ
เอาข้าวของเหวี่ยงลงเตียงเสร็จก็ต้องออกเดินทางต่อกันแล้วเพราะเราได้มีนัดกับโชเฟอร์
ขอเรียกสั้นๆว่าพี่เรย์ก็แล้วกัน ให้มารับแล้วพาเที่ยวแบบ one-day tour ซึ่งก็ไม่เต็มวันแล้วล่ะ เพราะกว่าจะออกเดินทางกันก็เลยเที่ยงไปแล้ว
หลังจากที่ฝากท้องกับร้านคุณป้าเสร็จ เราก็ออกรถกันไปเลย
ซึ่งวันนี้เขาพาเราไปได้แค่3ที่ คือ Hemis Monastery, Thiksay Monastery , Shey Palace ซึ่งเป็นวัดและวังสถาปัตยกรรมแบบทิเบตที่เราจะได้พบเห็นทั่วไป ในราคาทัวร์เหมาจ่ายประมาณ 1800 รูปี
ร้านอาหารที่เราฝากท้องมื้อง่ายๆเที่ยงนี้
ต้นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ก็ยังมีแต่ก้านแบบนี้แหละ
ความสุขของหมาที่นี่คือการได้นอนผึ่งแดดคับ
วัวที่นี่ก็มีอิสระเสรี เดินไปได้ทุกที่คับ
พอล้อเริ่มหมุน
รถแวนขนาดเล็กเริ่มวิ่งโขยกไปตามทางลาดลงเขาจากที่พักผ่านใจกลางเมือง
แล้วเริ่มแล่นสู่นอกเมือง ถนนหนทางดีเป็นบางช่วง บางช่วงก็เหมือนกับโลกพระจันทร์
ทิวทัศน์สองข้างทางไม่มีต้นไม้เลย แห้งแล้งมากเราอดคิดไม่ได้ว่านี่เราอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นรึเปล่า
พี่เรย์เค้าจะพาเราไปยังวัดที่ไกลที่สุดของวันนี้ก่อนคือ Hemis Monastery
ขอตะลอนทัวร์อินดี้ต่อนะจ๊ะ
ทิวทัศน์ระหว่างทางก่อนถึงวัดแรก
วัดเฮมิส Hemis Monastery อยู่ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 37 กิโลเมตร
แต่ใช้เวลาขับประมาณชั่วโมงกว่าเพราะว่าเป็นทางขึ้นเขาที่ลาดชัน
วัดเฮมิสเป็นศาสนสถานพุทธนิกายมหายานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นลาดักห์
มีพระสงฆ์อยู่จำวัดเป็นจำนวนมาก ข้างในมีขนาดใหญ่โตมาก
มีอาคารหลายหลังไล่ไปตามชั้นเขา
ต้องใช้ทั้งกำลังขาและบริหารปอดในการเดินขึ้นแต่ละก้าว
บางทีเราอาจจะรู้สึกเหนื่อยได้ง่ายกว่าเดินขึ้นเขาในที่ราบ
วัดในลาดักห์ส่วนใหญ่จะสร้างอยู่บนเขาให้สูงกว่าตัวเมืองทั่วไปเสมอ
และทุกวัดจะมีธงมนตร์ หรือทังก้า (Thanka)แขวนอยู่ พร้อมกับกงล้อสวดมนต์ให้ออกแรงหมุนอยู่เสมอ โดยชาวทิเบตมีความเชื่อว่า
หากได้หมุนกงล้อได้1รอบ เท่ากับว่าเราได้สวดมนต์ไปแล้ว 40000 จบ
ซึ่งบางวัดมีกงล้อสวดมนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าคนจริงเสียอีก
จะหมุนได้1รอบเราก็ต้องวิ่งวนไปตามกงล้อด้วย
กงล้อสวดมนต์ขนาดยักษ์ที่ต้องอาศัยแรงในการหมุน
ที่จอดรถของทุกวัดมักจะอยู่ด้านล่าง ทุกคนต้องเดินไต่ต่อไปนะ
พี่เรย์เค้าจะรอพวกเราข้างล่างนี่แหละ
ประวัติความเป็นมาของวัดเฮมิส
สำนักสงฆ์ที่ใหญ่โตนี้มีอาคารเรียนด้วยนะ
เสาธงที่นี่สูงมากจริงๆ
ลวดลายตามช่องสวยจริงๆ
ลามะหนุ่มเหลือน้อยทำกิจกรรมแก้หนาว
พระสงฆ์ที่นี่มีจำนวนมากเพราะเป็นโรงเรียนด้วย
บ้านเรือนที่นี่หน้าตาจะคล้ายกันหมด
ภาพวาดสวยงามบนถนน
ถ้าไม่มีแรงหมุนกงล้อใหญ่ มาหมุนตัวเล็กก็ได้บุญเหมือนกัน
รถวิ่งลงจากเขากลับไปยังเส้นทางเดิมที่ผ่านมา
วันนี้แดดแรงก็จริงแต่ข้างนอกยังคงหนาวมาก อุณหภูมิเลขตัวเดียวแน่นอน
จนมาถึงวัดที่สองที่ทาตัวอาคารด้วยสีขาวแบบทิเบต มองเห็นจากด้านล่างอย่างชัดเจน วัดทิกเซย์
(Thiksay
Monastery) น่าจะเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของที่นี่แล้วล่ะ ที่นี่เป็นทั้งสำนักสงฆ์
โรงเรียน และที่สำคัญภายในประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรยองค์โตมาก สูงประมาณ15 เมตร
จนที่นี่ต้องทำอุโบสถสองชั้น ไม่รู้ว่าจะต้องถ่ายรูปองค์ท่านยังไงให้เห็นทั้งองค์
จนปัญญาจริงๆ ด้วยความที่เป็นวัดที่ใหญ่โตมากจึงต้องเดินขึ้นเนินมาก
เราแนะนำให้มือใหม่ค่อยๆเดินขึ้นไปเก็บภาพชมความงามที่ละชั้นจะดีกว่า
พักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยเดินขึ้นชั้นต่อไป
มองจากวัดทิกเซย์ลงไปมีนาขั้นบันไดด้วย
สถานพยาบาลและร้านขายยาประจำวัด
กุฏิสงฆ์และอาคารของวัดทิกเซย์
สถูปและกงล้อที่วัดนี้สวยงามไม่แพ้วัดที่แล้วเลย
สิ่งที่โดดเด่นกว่าคือภาพจิตรกรรมฝาผนังในสภาพสมบูรณ์
อาคารวัดทิกเซย์
ภายในอุโบสถนี้มีพระศรีอริยเมตไตรยประดิษฐานอยู่
ความงดงามของพระศรีอริยเมตไตรยที่ถ่ายมาได้แค่ครึ่งองค์
ภาพวาดแบบพุทธนิกายวัชรญาณ
ภาพท่านลามะที่ชาวลาดักห์ให้ความเคารพ
ความแห้งแล้งของแอ่งที่ราบหลังเทือกเขา
สถูปทั้งสามท่ามกลางลมพัดตึง
และก็ถึงที่สุดท้ายของวันนี้
พวกเราในสภาพที่ขาเริ่มล้าเต็มที พ่อเรย์พาพวกเรามายังพระราชวังเชย์ (Shey Palace) ที่แต่ก่อนเคยเป็นพระราชวังหลวง อยู่ห่างจากเมืองประมาณ 15
กิโลเมตร สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1650 โดย พระเจ้า Deldan Namgyel มีเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่นี่
รอกจากนี้ภายในวัดที่อยู่ในเขตพระราชวังนี้
ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระศากยมุณีอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่อุโบสถปิด
เพราะพวกเรามาเย็นเกินไป งานนี้เลยอดอีกแล้ว
ขอเก็บภาพแสงสุดท้ายของวันและแนวธงมนต์ที่ยาวเป็นสายต้องลมยามลมหนาวพัดก่อนกลับละกัน
ประวัติความเป็นมาของพระราชวังเชย์
บริเวณลานก่อนขึ้นพระราชวัง
ทุกวันนี้เรายังแปลกใจว่าเค้าตะกายขึ้นไปสร้างพระราชวังกันได้อย่างไร
มุมที่ทุกคนไม่ควรพลาดในการถ่ายรูปนะจ๊ะ
พระราชวังเชย์ปัจจุบันไม่มีสีทาอื่นๆ หลงเหลืออยู่แล้ว
กลุ่มสถูปที่อยู่เหนือพระราชวังขึ้นไป
กลุ่มธงมนต์ หรือทังก้ายามต้องลม
ธงมนต์ยามต้องแสงสุดท้ายของวัน
กลุ่มสถูปสีขาวบนยอดเขา
พวกเรากลับมาถึงที่พักก็มืดค่ำพอดี
จะให้ออกไปเดินตลาดเย็นก็ไปไม่ไหว ร่างกายยังปรับตัวไม่ได้
เย็นนี้เลยต้องฝากท้องไว้กับร้าน Lamayuru ร้านอาหารนานาชาติใกล้ที่พักไปก่อน
พรุ่งนี้คณะเราจะต้องซื้อทัวร์เพื่อเดินทางไปยังหุบเขานูบรา (Nubra Valley) ซึ่งจะต้องค้างคืน 1คืน ในราคาเหมาจ่ายคันละประมาณ 12000
รูปี
ร้านนี้ทำกาแฟและขนมปังอร่อย
อาหารนานาชาติ อาหารฝรั่งต้องร้านนี้ แต่ห้ามสั่งอาหารไทยนะ
อาหารทิเบตมื้อแรกของที่นี่คือ Tukpa ก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบจืดๆ กินกับชาเนยจามรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น