วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

หนาวนี้ที่เลห์ลาดั๊กห์ Nubra Valley หุบเขาเวิ้งว้างและทะเลทรายที่ครั้งนึงในชีวิตควรไปเยือน



        เป็นเช้าอีกวันที่พวกเราต้องรีบตื่นกันอีกแล้ว เพราะการซื้อทัวร์ท่องเที่ยวออกนอกตัวเมืองเลห์ทุกครั้ง ชาวต่างชาติจะต้องทำใบอนุญาตขอเข้าพื้นที่ที่มีความเปราะบางทางด้านการเมืองก่อน นั่นคือทุกคนต้องเตรียมหนังสือเดินทางกับโปรแกรมทัวร์ที่จะไปเที่ยวให้พร้อม เพื่อให้บริษัททัวร์ไปยื่นขอเอกสารใบอนุญาตให้ที่ Tourist Information Center ประจำเมืองเลห์ก่อน
สำนักงานท่องเที่ยวต้องรอเวลาเปิดทำการนะจ๊ะ 
ดอกแอปริคอท ดาวเด่นประจำฤดูใบไม้ผลิที่นี่ 
แลเห็นพระราชวังเลห์อยู่ใกล้ๆนีเอง

        โดยโปรแกรมทัวร์ที่พวกเราได้เลือกดูมาก่อนจากไทยนั้น เราเลือกที่จะไปทัวร์ 2วัน 1คืน ที่ ทะเลทราย Nubra Valley และไปทะเลสาบปางกอง (Pangong Lake ) อีก1วัน ซึ่งระยะเวลาในการรอทำเอกสารประมาณ2ชั่วโมง งานนี้เราก็กินอาหารเช้าและเดินเล่มชมเมืองไปก่อนสิจ๊ะ จะรออะไรอีกเล่า
อาหารเช้าสไตล์อาหรับ Hammus 
มาร้านแถบนี้ห้ามสั่งข้าวกับแกงไทยเป็นอันขาด เพราะรสชาติมันไม่ใช่เลย 
ในเมืองเลห์แค่ยืนถ่ายกับเสาไฟก็เท่ห์แล้วค่ะ

          กว่ารถจะพร้อมคนพร้อมเพราะเราต้องใช้รถใหญ่แบบ 4wheeled drive เพื่อพร้อมลุยหิมะเมื่อไต่ระดับความสูง และต้องมีที่นั่งมากพอให้พวกเราทั้ง 4 คนได้นั่งกันพอดีไม่เบียดเกินไป และท้ายรถจะต้องมีที่ว่างมากพอสำหรับบรรทุกน้ำหนักกระเป๋าเดินทางของเราทั้งสี่ บริษัททัวร์เลยต้องใช้เวลาในการหารถนานนิดนึงเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขตั้งแต่ต้น แต่พอเราเห็นสภาพรถก็โอเคเลยล่ะ ไม่ผิดหวัง
ที่บริษัททัวร์ เห็นสติ๊กเกอร์น่ารัก เราเลยขอมาติดกระเป๋าหน่อย

       ที่จริงแล้วเส้นทาง Leh-Nubra Valley นั้นไม่ไกลแค่ ร้อยกว่าโล แต่ต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 6 ชั่วโมง ก็เพราะว่าระหว่างทางนั้นแสนหฤโหด เราจะต้องข้ามผ่านถนนที่อยู่สูงที่สุดในโลกคือ Khardungla Pass ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองแค่ 38 กิโลเมตร อีกทั้งถนนก็แคบมากๆ รถวิ่งสวนกันตามไหล่เขาลำบากเต็มที นั่นคือที่มาของการจัดทัวร์แบบ 2 วัน 1 คืน เพื่อไม่ให้พวกเราเหนื่อยจนเกินไป
พอออกนอกเมืองภูมิประเทศก็เปลี่ยนไปเลย 
ภูเขาที่เต็มไปด้วยกรวดน้อยใหญ่มากมาย

      พอรถออกจากเมืองได้ไม่นานทางก็เริ่มวกขึ้นเขาเลยแต่ยังเป็นทางขึ้นแบบชิลๆอยู่ ถนนดี เมื่ออกจากเมืองได้สักพักทั้งสภาพถนนและวิวรอบข้างเริ่มเป็นโลกพระจันทร์มากขึ้น คือมันไม่มีต้นไม้ขึ้นเลยระหว่างทาง มองไปเห็นแต่หินก้อนสีน้ำตาลและภูเขาหัวโล้น จนถึงจุด Check Point ที่เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องตรวจเอกสารการผ่านแดนเข้าออกของนักท่องเที่ยว เราถึงได้ลงมาเฉิดฉายถ่ายรูปและยืดเส้นยืดสายกัน 
Check Point แรกก่อนขึ้นที่สูง South Pullu 
เริ่มเห็นหิมะประปรายแล้ว

            รถพาพวกเราวนขึ้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆด้วยรูปแบบถนนซิกแซกเหมือนกรรไกรที่ตัดขึ้นไปตามไหล่เขา ทำให้เราต้องลุ้นทุกตอนว่าช่วงโค้งหักศอกจะมีรถใดสวนมาบ้าง ขอแนะนำว่าใครขวัญอ่อนให้พยายามนั่งฝั่งภูเขา ส่วนใครชอบที่สูงแนะให้นั่งฝั่งที่วิวสวย คือมองลงไปเห็นหุบเหวข้างล่าง ส่วนใครเมารถง่ายแนะให้กินยาแก้เมารถแล้วหลับไปเลยจะดีมากๆ        ยิ่งขึ้นสูงเท่าไรสภาพแวดล้อมรอบตัวก็ยิ่งเปลี่ยนไป จากภูเขาสีน้ำตาลก็จะมีสีขาวของกองหิมะแซมบ้าง และมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งรถวิ่งฝ่าถนนที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน นี่คงใกล้จะถึงจุดที่สูงที่สุดของถนนแล้วสินะ 
ยิ่งสูงยิ่งหนาว และยิ่งสูงยิ่งขาว

การขับรถสวนกันต้องใจเย็น ไม่งั้นอาจเฉี่ยวกันไฟท้ายแตกแบบนี้

        Khardungla Pass นับเป็นถนนและจุดพักรถที่อยู่สูงที่สุดในโลกจริงๆ เขียนไว้ว่าสูงถึง 18,380 ฟุต  หรือ 5602 เมตร ที่สูงกว่านั้นน่าจะเป็นทางคนเดินแล้วล่ะ จุดนี้อากาศเบาบางมากให้ค่อยๆเดินช้าๆอย่างระมัดระวัง เพราะถนนก็ลื่นด้วยหิมะแฉะๆที่เต็มไปด้วยคราบเขม่าจากควันดำ คำเตือนบอกว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกิน 20-25 นาที ใครอยากถ่ายรูปกับสุนัขขนปุยเชิญตามอัธยาศัยเลย เพราะน่ารักทุกตัวและพยายามจะเดินเข้าหาคนทุกคน ส่วนใครอยากทำสถิติขับถ่ายบนถนนที่สูงที่สุดในโลกที่นี่ก็มีห้องน้ำให้บริการ แต่ต้องทำใจเลยนะ กลิ่นนี่เหมือนไม่ได้ล้างมาเป็นเดือนเลย
รถทุกคันต้องจอดแวะที่นี่เพื่อพักรถสักครู่และให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิว 
นี่แหละถนนที่สูงที่สุดในโลกอยู่ที่อินเดียนี่แหละ 
อย่าอยู่ที่นี่นานเกินไปนะ ออกซิเจนมันน้อย
ธงมนต์อยู่สูงขนาดนี้ นับถือจริงๆ 
ห้องน้ำที่เข้าไปแล้วแทบสลบ แต่ถือว่าดีกว่าที่อื่นๆละ

       พอผ่านจุดที่สูงที่สุดไปแล้วทางจะเริ่มเป็นทางขับลงเขาเรื่อยๆ จนเจอจุดพักรถอีกแห่งหนึ่งในที่ราบ จุดนี้มีร้านน้ำชาให้บริการด้วย เลยสั่งชาร้อนมากินคนละแก้วแก้หนาว แวะเข้าห้องน้ำกันอีกรอบและเดินทางกันต่อ ทางวิ่งลงเขาต่อไปจนถึงที่ราบที่มีแต่เนินทรายล้วนๆ จุดนี้คือ Sand Dune ของเขตนูบร้า เป็นจุดแรกที่เป็นเขตท่องเที่ยวให้แวะพัก ที่นี่มีโรงแรมรีสอร์ตขนาดเล็กๆ ไว้ค้างคืน และมีอุฐให้บริการขี่ท่องทะเลทราย สังเกตุที่นี่อูฐจะขนยาวและหนาให้สมกับสภาพอากาศที่หนาวจนทารุณนั่นเอง 
เขตชุมชนเล็กๆที่มีร้านค้าชุมชนและห้องน้ำให้เข้า 
ไม่ว่าที่ไหนๆก็มีกงล้อแห่งธรรมไว้หมุนและสวดมนต์จ้า 
ร้านน้ำชาเล็กๆที่เป็นจุดพักรถของเราที่สุดท้าย 
Check Point จุดสุดท้ายก่อนจะเข้าเขตเมือง
สายน้ำเล้กที่หล่อเลี้ยงเขตทะเลทรายนูบร้า 
ไม้พุ่มเตี้ยไร้ใบแต่ยังไม่ตายนะ 
ชุมชนกลางเขตทะเลทรายนูบร้า
ถึงแล้วเขต Sand dune 
บริการขี่อูฐท่องทะเลทราย ไม่ร้อนหรอกนะ แต่หนาวมาก
อูฐที่นี่ไม่เชื่อง หงุดหงิดง่าย อย่าไปเล่นกับมันจะดีกว่า

พระอาทิตย์ใกล้ตกลับหุบเขาแห่งทะเลทรายแล้ว

          หลังจากถ่ายรูปสารพัดท่าจนหนำใจก็ได้เวลาที่เราจะต้องไปหาที่พักที่ทางทัวร์แนะนำมา คือ Galaxy Guesthouse แต่ดูจากลักษณะบ้านแล้วน่าจะเป็น Homestay มากกว่านะ เพราะมันเหมือนบ้านหลังใหญ่ๆ หลังนึงที่เจ้าของบ้านซอยเป็นห้องไว้ให้แขกผู้มาเยือนได้พักมีห้องน้ำในตัว มีครัวและห้องทานอาหารส่วนกลาง ที่พักที่นี่สามารถสั่งได้ว่าจะให้ทำอาหารเย็นและอาหารเช้าหรือไม่ สำหรับอาหารเช้ามีให้บริการฟรีเป็นขนมปังและบริการตนเอง มีชาร้อนให้ ส่วนอาหารเย็นจะเป็นอาหารอินเดียที่เจ้าบ้านทำมาให้เป็นแกงกินกับแป้งนาน ให้แกงมาเป็นหม้อเลย 
Nubra Valley สวยงามเหมือนฉากภาพวาด  
แต่ละนางนี่สตรองมากค่า
ที่พักของคณะเราคืนนี้จ้า

         กลางคืนที่นี่ไม่มีกิจกรรมให้ทำนะนอกจากจะออกไปนอนนับดาวเล่น แต่กลางคืนอุณหภูมิลดต่ำจนติดลบนี่สิ อีกทั้งลมยังพัดแรงจนประตูกันลมที่เป็นพลาสติกใสปลิวเลย เลยทำให้ยกเลิกความคิดนี้เลย เข้านอนเอาแรงดีกว่าจ้า พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินชมธรรมชาติรอบหมู่บ้านในเขต Nubra Valley ต่อละกัน
เด็กน้อยชาวลาดั๊กห์นางน่ารัก อยู่ข้างๆที่พักเราเลย 
ปิดท้ายด้วยดอกแอปริคอทแสงสุดท้ายของวันนี้ พรุ่งนี้จะไปถ่ายทำชุดใหญ่















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น