วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ ตอนที่1 ซื้อตั๋วแอร์เอเชีย จากสุวรรณภูมิถึงสนามบินเนตาจี กัลกัตตา

                ก่อนอื่นทางทีมงานของเราต้องขอขอบคุณแอร์เอเชียที่ให้ความกรุณาปล่อยโปรโมชั่นอินเดียในราคาถูกแบบไม่น่าเชื่อ ให้พวกเราได้เดินทางไปสำรวจเมืองกัลกัตตากัน ซึ่งทางแอร์เอเชียเค้าก็จะจัดโปรโมชั่นไปอินเดียเรื่อยๆ ทั้งเมืองเดลลีและเมืองกัลกัตตา โดยสามารถคลิกดูรายละเอียดโปรโมชั่นได้ที่ http://www.airasia.co.th สำหรับทริปกัลกัตตานี้เราซื้อตั๋วเครื่องบินตั้งแต่เดือนธันวาคม แต่เดินทางเดือนกุมภาพันธ์ วันที่4-7 ได้ราคาไปและกลับเที่ยวละ590บาทเองครับ มันช่างถูกเสียจริง เมื่อรวมค่าภาษีสนามบินไปแล้ว และค่าใช้จ่ายอื่นๆไปแล้วก็ตกประมาณ 2275บาท เท่านั้นเอง  ด้วยราคาค่าตั๋วเครื่องบินที่ถูกเหลือเชื่อแบบนี้สามารถทำให้พวกเราไปทานอาหารดีดีได้สบาย และเหลือเงินใช้จ่ายช้อปปิ้งเหลือเฟือ
 วันเดินทางห้ามลืมพริ้นท์ตั๋วมาเด็ดขาดนะ ไม่งั้นอดเที่ยว
โปรโมชั่นแอร์เอเชียบินมาไทย ถ่ายจากฝั่งอินเดีย
                ทริปกัลกัตตา 4วัน 3คืนนี้ มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด3คนรวมผมด้วย มีเพื่อนเก่าเจ้าประจำ1คน และเจ๊เจ้าของร้านที่เป็นลูกค้าเราอีก1ท่าน ก่อนเดินทางแทบจะไม่ได้หาข้อมูลอะไรเลย นอกจากที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเท่านั้นกับแผนที่เมือง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จองโรงแรมล่วงหน้าด้วยเราถือคติว่าถ้าไม่เห็นสภาพห้องก่อนเราไม่จ่ายนะ ยิ่งในเว็บไซต์ด้วยแล้ว หลายที่รูปถ่ายสวยงามแต่ห้องจริงกลับคนละเรื่อง  พวกเราจึงทำแค่ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวและพิมพ์มันออกมาดูแล้วเลือกว่าจะไปที่ไหนกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าวันนี้จะไปไหนกันเพราะอยากให้ตารางท่องเที่ยวของเรายืดหยุ่นที่สุด จากนั้นเราต้องไม่ลืมไปหาที่แลกเงินกัน เพราะที่นั่นใช้เงินสกุลรูปีกัน โดยเราแลกที่อัตรา 1รูปี เท่ากับ 0.7บาท ที่นั่นค่าเงินถูกกว่าบ้านเรา เราเอาเงิน5พันบาท แลกมาได้เจ็ดพันกว่ารูปี แล้วเราก็ไม่ลืมที่จะแลกเงินดอลลาร์มาด้วยเพื่อใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่างๆตามสนามบิน เอาล่ะได้เวลาเริ่มเดินทางกันแล้ว
                เช้าวันที่ 4 กุมภาฯ พวกเรามาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิกันตั้งแต่แปดโมงเช้า เพราะเที่ยวบินเราออกประมาณ 10.30น. ไปถึงที่นั่นประมาณ 11.30น. (เวลาที่อินเดียช้ากว่าไทยประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง) พวกเราไม่ต้องต่อแถวเช็คอินเพราะบางคนก็ได้เช็คอินผ่านเว็บไซต์แล้ว ส่วนเราเช็คอินผ่านตู้เช็คอินอัตโนมัติที่แอร์เอเชียมีให้บริการ ไม่ต้องไปต่อแถวยาวเหยียดกับคนอินเดียทั้งหลายที่เดินทางโน่น พวกเราเลยมีเวลาไปนั่งจิบกาแฟ เดินดูสินค้าปลอดภาษีภายในสนามบินได้อีก ก่อนที่เค้าจะเรียกให้ผู้โดยสารเที่ยวบินกัลกัตตาทั้งหมดไปที่ประตูทางออก
 Ome & Patt กำลังเช็คเมล์ที่มีให้บริการที่ประตูขาออก
นกเหล็กลำนี้เที่ยวบิน FD3782 จะนำพวกเราเหินฟ้าไปสู่แดนภารตะ
                เมื่อไปถึงประตูทางออก ผู้ร่วมเดินทางในเที่ยวบินนี้ส่วนใหญ่เป็นคนอินเดีย แล้วก็มีฝรั่งปะปนบ้างแล้วก็คนไทยนี่แหละมีทั้งคณะพระภิกษุสงฆ์และแม่ชีผู้ไปแสวงบุญ รวมทั้งผู้ติดตามเดินทางไปเป็นกลุ่ม จากการพูดคุยเบื้องต้นทำให้ทราบว่าพวกเขาต้องต่อรถไฟจากกัลกัตตาเพื่อเดินทางไปยังเมืองคยาและพาราณสี โดยใช้เวลามากกว่า8ชั่วโมง ดังนั้นทริปนี้พวกเราก็อยู่แต่ในเมืองกัลกัตตาเที่ยวชมเมืองให้ทั่วก็แล้วกัน
                พอขึ้นเครื่องจนถึงเครื่องออก เหล่านางฟ้าก็ออกมาทำงาน พวกเธอทั้งหมดเป็นคนไทยเพราะนี่คือเที่ยวบินของบริษัทไทยแอร์เอเชียนางฟ้าจึงเป็นคนไทยทั้งหมด เราสามคนกระจายกันนั่งตามที่ของตนเองเพราะตอนซื้อไม่ได้จองที่นั่งไว้ ขาไปเที่ยวบินนี้เต็มลำทีเดียว นั่งไปสักพักเริ่มหิวซะแล้วเพราะเราตื่นกันแต่เช้า เลยลองสั่งซาโมซ่าไส้ผักมากิน (Samosa) รูปร่างหน้าตาคล้ายกะหรี่พัฟ ใส่มาในกล่องพร้อมน้ำจิ้มมาซาล่าสีเขียวสดเผ็ดร้อนเครื่องเทศรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว สักพักนางฟ้าเธอก็เอาใบกรอกเข้าเมืองมาให้กรอก (Arrival Card) เอกสารต้องกรอกให้ครบทุกช่องนะอย่าลืมว่าเราเป็นชาวต่างชาติ ถ้าไม่อยากเสียเวลาตอนตรวจคนเข้าเมือง ควรจะระบุที่อยู่ในอินเดียซึ่งคือโรงแรมที่เราจะเข้าพักลงไป พวกเรายังไม่ได้จองที่พักกัน แต่เราก็เขียนชื่อโรงแรมลงไปว่า International Youth Hostel Kolkata เพียงแค่นี้เราก็จะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ฉลุย
 โฉมหน้าบัตรขาเข้า (Arrival Card) ต้องกรอกรายละเอียดให้ครบ
 แอร์คนสวยกำลังทำหน้าที่อยู่จ้า
 อาหารทานเล่นบนเครื่องของเรา ซาโมซ่าไส้ผัก (Vegetable Samosa)

                พวกเราใช้เวลาอยู่บนเครื่องสองชั่วโมง ผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับสาว (แก่) ชาวญี่ปุ่นเธอเดินทางมาเที่ยวอินเดียตามลำพัง ส่วนเจ๊นั้นไม่ค่อยสบายจึงม่อยหลับไป เพื่อนเราน่าสงสารนั่งอยู่ท้ายสุดของเครื่องติดกับห้องน้ำ พอเครื่องลงแตะรันเวย์ที่สนามบินเมืองกัลกัตตา พวกเราก็พบกับความเรียบง่ายของสนามบินที่นี่ ซึ่งไม่มีการตกแต่งแบบอลังการให้หวือหวาฟู่ฟ่าแต่ประการใด สนามบินที่นี่มีไว้ใช้งานจริงและออกจะขาดการบำรุงรักษาเสียด้วยซ้ำ สภาพอาคารแลเก่าและทรุดโทรมตามกาลเวลา พวกเราออกมายืนรอกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่อง ซึ่งมีของเจ๊เพียงใบเดียวเท่านั้นที่โหลดเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้มาเต็มพิกัด เพราะเราสองคนสัมภาระน้อยหรือมักง่ายก็ไม่รู้สิ กระเป๋าถึงเบาและใส่ของมาน้อยมาก
ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ เจ๊แพทและโอม
มุมกาแฟเล็กๆประจำสนามบินเนตาจีฯ
 ผู้คนต่างมายืนรอรับกระเป๋าที่นี่
 คณะสงฆ์และผู้ติดตามที่เดินทางมาแสวงบุญกันที่นี่
 ร้านค้าปลอดอากรประจำสนามบิน
พวกเรากำลังจะเดินทางออกจากสนามบินกันแล้ว

                เมื่อไปถึงสนามบินสิ่งแรกที่พวกเราจะต้องไปหานั่นคือ Tourist Information Office ที่อยู่ตามสนามบิน แต่ปรากฏว่าที่นี่ไม่มีแม้แต่แผนที่เมือง พอถามเจ้าหน้าที่ เขากลับโบ้ยมือให้ไปอีกอาคารหนึ่ง สงสัยเมืองนี้คงจะไม่ได้อยู่ในแผนโปรโมทการท่องเที่ยวเป็นแน่ พอพวกเราก้าวเท้าออกไปข้างนอกอากาศเย็นสบายกำลังดี มีแดดออกเล็กน้อยทั้งที่เป็นตอนเที่ยงกว่าแล้ว เราถึงรู้ว่าชื่อเต็มของสนามบินคือ Netaji Subhash Chandra Bose International Airport โหชื่อสนามบินคุณท่านยาวมาก แต่คนอินเดียทั่วไปเรียกที่นี่อย่างสั้นๆว่า Dum Dum Airport หรือสนามบินดัมดัม เพราะตั้งอยู่ในยานเมืองชื่อดัมดัม นั่นเอง

 ชื่อเต็มของสนามบินดัมดัม เห็นไหมล่ะว่ายาวจริง
 เพื่อเพิ่มความขลังของอาคารเลยต้องยืมแท็กซี่มาเป็นพร็อพเสียหน่อย
พวกเราสามคนพร้อมตะลุยกัลกัตตากันแล้วจ้า

ตอนต่อไปจะพาทุกท่านไปชมความยุ่งเหยิงอันมีเสน่ห์แห่งเมืองกัลกัตตา และตามหาโรงแรมที่พักกันครับ

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ Indian Visa การขอวีซ่าไปอินเดีย

            การไปเที่ยวอินเดียต้องขอวีซ่านะครับ ไม่ขอไม่ได้เพราะที่สนามบินในอินเดียไม่มีการให้บริการ Visa on Arrival นะครับ ให้ไปทำในเมืองไทยนี่แหละ ยิ่งเดี๋ยวนี้เขามีบริษัทรับจ้างทำวีซ่าด้วยแล้วยิ่งสบายใหญ่ เพียงแต่เราเข้าไปกรอกใบสมัครออนไลน์ในหรือใบคำร้องการทำวีซ่าที่เว็บไซต์ http://www.ivac-th.com/ ที่นี่ให้บริการกรอกข้อมูลขอวีซ่าแบบออนไลน์ ขอเพียงเรากรอกข้อมูลภาษาอังกฤษให้ครบถ้วนและถูกต้อง สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ คุณต้องใส่ที่พัก หรือโรงแรมที่เราคาดว่าจะไปพักในอินเดียลงในช่อง Referee Indian นั่นแหละ จะช่วยให้ทางสถานทูตพิจารณาออกวีซ่าให้ง่ายขึ้น  และทิปอีกอย่างหนึ่งในการกรอกคือ อย่าใช้เครื่องหมายต่างๆ พวกลูกน้ำ จุด ขีด ต่างๆอย่าได้ใส่เป็นอันขาดเลย เพราะระบบไม่รับไม่อ่านหากมีเครื่องหมายเหล่านี้
                ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือการเลือกชนิดของวีซ่า ว่าจะเป็นวีซ่านักท่องเที่ยว วีซ่านักเรียนนักศึกษา และวีซ่าสำหรับทำงาน ซึ่งวีซ่าแต่ละประเภท ราคาค่าธรรมเนียมก็จะแตกต่างกันโดยวีซ่าท่องเที่ยวราคาจะเริ่มต้นที่ 2385 บาท มีอายุหลังจากวันอนุญาต 3เดือน ส่วนวีซ่าทำงานกับนักเรียนนักศึกษามีให้เลือกตั้งแต่6เดือน 1ปีไปจนถึง2ปี ด้านจำนวนในการเข้าออกหรือ Entries นั้นมีให้เลือกเป็น Single Entry หรือ Double Entries หากเราต้องการเข้าอินเดียแค่ครั้งเดียว ไม่มีการโดยสารข้ามประเทศแล้วกลับเข้าอินเดียอีกทีให้เลือกเป็น Single Entry  แต่หากเราต้องการท่องเที่ยวข้ามไปมาระหว่างอินเดียกับเนปาลแบบทริปตามรอยพระพุทธเจ้า หรือข้ามไปมาระหว่างอินเดียกับศรีลังกา อันนี้ต้องทำเป็น Double Entries นะ ไม่งั้นคุณอาจมีปัญหากลับเข้ามาไม่ได้ค้างเติ่งอยู่ชายแดนโน่น
                พอเรากรอกรายละเอียดเลือกประเภทวีซ่าเรียบร้อยแล้วให้กดปุ่มสมัครลงไป หน้าสุดท้ายจะอยู่ประมาณหน้าที่5 ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งตรงไปยังบริษัท VSF (Thailand) ซึ่งจะลดขั้นตอนในการทำงานของพนักงานได้มากขึ้น จากนั้นคุณจะต้องบันทึกข้อมูลที่คุณได้กรอกไว้ในคอมพิวเตอร์ด้วย และวันที่จะไปยื่น คุณจะต้องพิมพ์ข้อมูลหน้านั้นออกมา ซึ่งจะมีแค่สองหน้า ให้เรานำข้อมูลนั้นไปยื่นที่บริษัทรับทำวีซ่าได้เลย

สิ่งที่ต้องเตรียมไปในการทำวีซ่า
1.        รูปถ่ายสีหน้าตรงขนาด 2นิ้ว 2ใบ หากลืมเตรียมไปที่หน้างานมีบริการถ่ายรูปด่วนให้แต่ราคาแพง
2.        เงินสดหรือดราฟท์เงินสด ประมาณสองพันกว่าบาท ถ้าทราบยอดมาก่อนก็ไปให้ธนาคารทำดราฟท์มาให้ได้เลย
3.        ใบคำร้องขอวีซ่าที่พิมพ์มาจากเว็บไซต์ที่ยื่นขอวีซ่า
4.        หนังสือเดินทางตัวจริงเพื่อนำไปประทับตราวีซ่า
5.        สำเนาหนังสือเดินทางหน้าแรก 1 ฉบับ
6.        สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ฉบับ
7.        กรณีที่ขอวีซ่าเพื่อการทำงาน จะต้องมีหนังสือรับรองการทำงานจากบริษัทฯ และใบอนุญาติทำงานของในประเทศอินเดียด้วย
8.        กรณีที่ขอวีซ่าเพื่อการศึกษา จะต้องมีหนังสือรับรองจากสถานศึกษา และหลักฐานการสมัครเข้าเรียนต่อในอินเดียด้วย
 ตึกนี้ตั้งอยู่ปากซอยสุขุมวิท25เลย
บริเวณทางเข้าอาคารกลาสส์เฮ้าส์ สำนักงานตั้งอยู่ชั้นที่15

            สถานที่ขอวีซ่าอินเดียนั้น มีชื่อบริษัทว่า VSF (Thailand) Ltd.บริษัท วี เอส เอฟ (ประเทศไทย) จำกัด สำนักงานอยู่ที่อาคารกลาสส์เฮ้าส์ ปากซอยสุขุมวิท25 อยู่ชั้นที่15 การมาก็ไม่ยากนั่งรถไฟฟ้าหรือใต้ดินมาลงสถานีอโศกแล้วเดินต่ออีก5นาทีก็ถึง หรือจะมารถเมล์จากถนนสุขุมวิทก็สาย 511 , 25, 48, 38 ฯลฯ หากท่านนำรถมาเองก็สามารถหาที่จอดรถได้ในอาคารจอดรถของกลาสส์เฮ้าส์เลย
                เมื่อเรากดลิฟท์ไปถึงชั้นที่15 จะพบสำนักงานขายตั๋วของสายการบินคิงฟิชเชอร์ (Kingfisher) ที่ให้บริการสายการบิน บินตรงสู่อินเดียจากประเทศไทยให้บริการอยู่ติดกับสำนักงานขอวีซ่าประเทศอินเดีย ด้านหน้าจะมีเจ้าหน้าที่คนไทยต้อนรับอยู่ และภายในก็มีการจ้างเจ้าหน้าที่คนไทยเช่นกัน  ระยะเวลาในการดำเนินการทำวีซ่าเพียงวันเดียว คือทำวันนี้สามารถรับพรุ่งนี้ตอนเย็นได้เลย วันทำการคือ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-18.00น. หยุดเสาร์อาทิตย์ และหยุดในวันหยุดราชการอินเดียเท่านั้น วันหยุดไทยไม่นับ และมีหยุดพักกลางวันช่วง 11.30-13.00น. หากช่วงไหนคนมาทำวีซ่าเยอะก็อาจเป็น2วันทำการได้ การยื่นคำร้องขอวีซ่าใช้เวลาไม่นานเลยครับ เพียงแค่กดรับบัตรคิว เมื่อถึงคิวเจ้าหน้าที่จะใช้เวลาในการตรวจเอกสารของเราไม่เกิน15นาทีจากนั้นก็เสร็จ เขาจะให้ใบรับวีซ่ามาอันนี้สำคัญมาก ห้ามทำหาย หากไม่สะดวกมารับเองแต่ให้คนอื่นมารับแทนจะต้องทำหนังสือมอบอำนาจมาให้ด้วย กำหนดการรับตัวเล่มเค้าจะให้รับตอนเย็นในวันถัดไประหว่าง 17.00-18.00น. บางช่วงตอนรับตัวเล่มคนอาจเยอะ เช่น ช่วงหน้าหนาว บางครั้งเรายื่นบัตรคิวก่อนหกโมงเย็น อาจจะได้รับอีกทีตอนทุ่มกว่าก็เป็นได้
 ซองเอกสารหนังสือเดินทางพร้อมประทับตราวีซ่า
หนังสือเดินทางที่ประทับตราวีซ่าอินเดียแล้ว

                วันมารับวีซ่าต้องมาตามเขานัด หากไม่สะดวกจะเลื่อนเป็นวันถัดไปในเวลาปกติก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมเอาใบรับมาด้วยไม่เช่นนั้นทางบริษัทฯจะไม่จ่ายหนังสือเดินทางคืนให้ หลังจากได้รับตัวเล่มมีการแปะตราวีซ่าเรียบร้อยแล้วก็จะสามารถใช้งานได้นับจากวันที่ประกาศ ถ้าเป็นวีซ่าท่องเที่ยวก็3เดือน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบไปขอวีซ่าล่วงหน้านานๆ เอาเป็นว่าเผื่อกันพลาดเพียง1-2 สัปดาห์ ก่อนการเดินทางก็พอ เอาล่ะคงอยากไปอินเดียกันแล้วใช่มั้นครับทุกท่าน  1 2 Go Go


วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ Indian Food

                เมื่อเอ่ยถึงอาหารอินเดีย เชื่อว่าหลายท่านคงนึกถึงแต่โรตีไส้ต่างๆ ไม่ว่าจะใส่นม ใส่กล้วย หรือสายไหม หรือนึกถึงแม้แต่ มะตะบะ ไก่ย่างแบบทานดูรี ฯลฯ วันนี้เราจะพาทุกท่านไปชมและชิมอาหารอินเดียกันครับ แบบว่าไม่ต้องไปทานถึงประเทศอินเดียก็ได้ เพราะย่านลิตเติ้ลอินเดียพาหุรัด ซอยนานา หรือตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำหรือตามโรงแรมใหญ่ๆ ก็มีร้านอาหารอินเดียเปิดให้บริการแด่นักชิมทุกท่านเช่นกัน
                อย่างที่เคยกล่าวไว้ตอนต้นว่าประเทศอินเดียนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก ดังนั้นอาหารอินเดียจึงหลากหลายไปตามสภาพภูมิประเทศของแต่ละแห่งด้วย  อย่างประเทศอินเดียตอนบนมีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ดังนั้นการทานเนื้อสัตว์ไขมันจากสัตว์ หรือเนยแข็งจึงเป็นเรื่องจำเป็น ผิดกับตอนใต้ที่สภาพภูมิอากาศร้อนชื้น  การปรุงอาหารจากเครื่องเทศ สมุนไพรในท้องถิ่นจึงทำได้ง่ายและไม่ค่อยนิยมทานเนื้อสัตว์กัน หากแต่จะทานเป็นมังสวิรัติ และท้องที่ที่อยู่ติดทะเลก็จะมีอาหารจำพวกปลาและอาหารทะเลมาก
 ภัตตาคารชั้นดีมีให้เลือกทั่วไป


 อาหารร้านนี้มีทั้งของภาคเหนือและภาคใต้


                ศาสนาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่ออาหาร ทำให้อาหารแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ท้องที่ที่เป็นแคว้น ของชาวมุสลิม อาหารก็จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ จะมีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อแกะ ไม่เป็นอาหารมังสวิรัติ  ถ้าเป็นท้องที่ที่เป็นของชาวฮินดู อาหารจะมีทั้งแบบมังสวิรัติและไม่มังสวิรัติ วิธีสังเกตนั้นก็แสนง่าย เพียงแค่สังเกตป้าย VEG หรือ Non-Veg เท่านั้น นั่นคือ ถ้าเป็น VEG คือร้านที่ปลอดเนื้อสัตว์ จะเป็นมังสวิรัติเท่านั้น อาหารจะหนักไปทั้งแป้ง แกงถั่วและมันฝรั่งกับเต้าหู้ ร้านอาหารเหล่านี้จะไม่อนุญาตให้นำอาหารภายนอกที่เป็นเนื้อสัตว์เข้าไปรับประทานในร้านเป็นอันขาดครับ  ถ้าเป็น Non-Veg อาหารก็จะเป็นเนื้อสัตว์ปะปน ซึ่งแน่นอนไม่มีเนื้อวัวนะครับ เนื่องจากชาวอินดูนับถือวัวเป็นเสมือนพาหนะของเทพเจ้า ดังนั้นเวลาเดินทางไปอินเดีย เราจะเห็นวัวนอนอยู่ทุกหนแห่งโดยไม่มีใครทำร้ายหรือรถชนมัน  ดังนั้นเนื้อสัตว์ที่เหลือที่จะนำมาปรุงอาหารได้ก็คือเนื้อแพะ เนื้อไก่ และสัตว์ทะเลจำพวกปลา เนื้อหมูคนที่นี่เขาไม่ทานกันนะครับ ใครเป็นมุสลิมสบายใจได้เลยครับ 
เหตุผลที่คนอินเดียรับประทานมังสวิรัติกันเยอะนั้น น่าจะมาจากความเชื่อที่เทพเจ้าที่พวกเขาเคารพนั้นเป็นเทพที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงเจริญรอยตามท่าน (อันนี้ไม่แน่ใจว่าผมคิดไปเองรึป่าว) ดังนั้นคนอินเดียจึงไม่มีกลิ่นตัวเป็นเพราะรับประทานอาหารมังสวิรัตินั่นเอง
 ร้านอาหารมังสวิรัติแบบข้างทาง


                เรามาว่ากันด้วยเรื่องอาหาร Non-Veg กันก่อน เพราะเชื่อกันว่าคงเป็นอาหารที่คนไทยหลายต่อหลายท่านชอบทานกันมากกว่า ที่นี่เค้าจะทานแกงกับแป้ง แป้งมีหลายขนิดมีทั้งแบ้งหนาแผ่นใหญ่ที่เรียกว่า นาน (Nan) เล็กลงมาหน่อยแบบบางเรียกว่า จอปาตี หรือ จาปาตี (Japati) บางครั้งก็เรียกว่า โรตี (Roti) ซึ่งแป้งพวกนี้ทำมาจากข้าวสาลี เนื้อจะนุ่มกว่าแป้งในบ้านเราเยอะครับ ยิ่งเวลาอุ่นแป้งร้อนๆแล้วทานกับแกงเนี่ย อร่อยอย่าบอกใครเชียว แกงที่รับประทานคู่กับอาหารพวกนี้ก็มีทั้ง แกงไก่ แกงแพะ มีทั้งแบบมาซาล่าและกุรหม่า (Masala) (Kurma) หรือเป็นแกงกะหรี่ (Curry) ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของเครื่องแกงที่ใช้ตำลงไป อาหารจานเดียวที่ขึ้นชื่อของที่อินเดียคือ ข้าวหมกไก่ ข้าวหมกแพะอ่านออกเสียงว่า "บริยานี่" (Briyani Chicken/Mutton rice)
ต้นตำรับข้าวหมกไก่ที่นี่อร่อยไม่แพ้ใคร เพราะเครื่องเทศของเค้าจะอบถึงกว่าบ้านเราเยอะ แถมยังมีให้เห็นในตัวข้าวเลยว่าใส่มามาก รสชาติกลมกล่อมและรสจัดกว่าบ้านเราครับ ส่วนเมล็ดข้าวที่นี่เค้าจะใช้ข้าวเม็ดยาว ซึ่งเค้าจะเรียกกันว่าข้าวบาสมาติ  (Basmati)เมล็ดข้าวจะยาวเรียวแต่แข็งนิดๆครับ เมื่อนำมมาหุงแบบข้าวหมกข้าวจึงไม่เละเหมือนบ้านเรา
 Briyani Chicken Rice ข้าวหมกไก่
 แกงไก่ Chicken Curry
ไก่ทอดและเกี๊ยวซ่า


                   นอกจากนี้อาหารอินเดียทางตอนเหนือ และแถบรัฐราชาสถาน (Rajasthan) ยังมีอาหารอีกจำพวกที่เรียกว่า มุกไลห์ (Muglhai) ซึ่งจะเป็นอาหารจำพวกเนื้อไก่และเนื้อแพะนำไปย่างก่อนแล้วจึงค่อยนำมาแกงแบบน้ำขลุกขลิกเข้มข้น ด้วยกลิ่นเครื่องเทศที่ดับกลิ่นเนื้อแพะได้อย่างดี ซึ่งแกงประเภทนี้รับประทานกับนานกระเทียม (Garlic Nan) จะอร่อยมากๆ แต่ราคาของอาหารก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

 Chicken Muglhai & Mutton Muglhai with Garlic Nan
Chicken Curry with Garlic Nan
                อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ปิ้งย่างของอินเดียจะนำมาหมักเครื่องเทศแล้วเสียบไม้ย่าง หรือที่เรียกว่า เคบับ (Kebab) นั้นได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมเปอร์เซีย มีให้เลือกทั้งเนื้อไก่และเนื้อแพะ และไก่ย่างสุดอร่อยแบบอินเดียที่เรียกว่า ทันดูรี (Tandoori) โดยจะนำไก่ไปหมักเครื่องเทศและโยเกิร์ตก่อนนำไปย่างด้วยเตาโอ่งแบบโบราณ แต่ถ้าเป็นไก่ไม่มีกระดูกจะเรียกว่า Chicken Tikka ซึ่งเนื้อไก่ที่ย่างสีจะออกแดงสด ไม่เหลืองเหมือนบ้านเรา

 Chicken Tandoori & Kebab shop

                สำหรับอาหารแบบVeggie หรือมังสวิรัตินั้นจะมีเมนูให้เลือกไม่อั้นเลยคือไปที่ไหนก็จะเจอแต่ร้านแบบนี้เต็มไปหมด  มาเริ่มที่จานเรียกน้ำย่อยกันก่อน เริ่มต้นด้วย (Chad) เป็นจานเรียกน้ำย่อยเป็นแผ่นแป้งบางๆราดด้วยซีเรียลแล้วราดด้วยน้ำโยเกิร์ตรสชาติจะออกเปรี้ยวหวาน ซาโมซ่า(Samosa) คล้ายกับกะหรี่ปั๊บนำไปทอดไส้ข้างในจะเป็นถั่วและผัก ข้าวยำมะเขือเทศ เป็นข้าวนำมายำกับมะเขือเทศสับ ถั่วบดและมีน้ำยำราดส่วนจานหลักจะเป็นพวกแกงถั่ว ถั่วที่นี่เค้าใช้ถั่วเหลืองแกงจนเปื่อยนุ่ม เรียกว่า "ดาล" (Dal Masala, Dal Curry) แกงชีสcottage cheese (Paneer) อ่านออกเสียง "ปาเนียร์"ทานกับแป้งชุดนาน จาปาตี โรตีเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีแป้งที่หน้าตาคล้ายกับพวกหม่านโถวด้วย ขอแถมอีกนิดถ้าเป็นอาหารมังสวิรัติ ในตัวแป้งพวกนี้บางครั้งยังยัดไส้หอมใหญ่ มันฝรั่ง มาซาล่าลงไปด้วย ถ้าเป็นอินเดียทางตอนใต้ เค้าจะทานแป้งห่อไส้มันฝรั่งถั่วและหอมใหญ่คล้ายกับแผ่นขนมเบื้องญวนเรียกว่า โดซ่า(Dosa) พวกนี้จะเป็นอาหารจานหลัก เรียกว่าทานทีเดียวอิ่มท้องไปอีกนาน นอกจากนี้ยังมีข้าวผัดมังสวิรัติ และหมี่ผัดมังสวิรัติอีกด้วย
 แกงถั่วหรือดาล (Dal Curry)

หมี่ผัดและข้าวผัดแบบมังสวิรัติ
 แกงเต้าหู้ (paneer)ทานกับจาปาตี
Dosa หรือขนมเบื้องแบบอินเดียทานกับน้ำราดคล้ายโยเกิร์ต เรียกว่า "ชัดนี่" (Chudney)
 อันนี้Uttapam จะเป็นแผ่นแป้งสอดใส่ผักและมันฝรั่ง
Chad หรือจานเรียกน้ำย่อยของอินเดีย

          Uttapam เรียกว่า อุตตาปาม เป็นแผ่นแป้งทอดสอดไส้ต่างๆ มีทั้งไส้เต้าหู้ ไส้มะเขือเทศ ไส้หัวหอม ไส้มันฝรั่ง ล้วนแต่มังสวิรัติ  ปุริ (Puri) เป็นแป้งกลมๆนำไปทอดให้พองตรงกลางนิยมทานคู่กับน้ำแกงมันฝรั่งหรือแกงถั่ว
แกงไข่ทานกับโรตี 
 Onion Uttapam
 Puri & Dal curry
แกงมันฝรั่งราดบนจาปาตีแบบพื้นบ้านทานร้อนๆ

                อาหารมังสวิรัติของอินเดียนั้นมีข้าวหมกผักเช่นเดียวกัน เรียกว่า Veg Briyani เป็นข้าวหมกมังสวิรัติหมักเครื่องเทศชนิดเดียวกันกับข้าวหมกไก่ นอกจากนี้ยังมีชุดข้าว ทาลี Thali ซึ่งเป็นชุดสำรับข้าวทานกับแกงหลากชนิดที่เป็นอาหารมังสวิรัติ จัดไว้ในถาดอาหารซึ่งประกอบด้วย น้ำแกงถั่ว แกงผัก โยเกิร์ต และเครื่องเคียงต่างๆ
ข้าวหมกมังสวิรัติกับน้ำมะม่วงปั่น (Veg Briyani & Mango Lassi)

Thali ชุดนี้เป็นแกงมันฝรั่งและแกงถั่ว

                ของหวานและเครื่องดื่ม ขนมหวานที่ขึ้นชื่อมากๆของที่นี่คือ กุลาบ จามูน (Gulab Jamun) ลักษณะเป็นแป้งร้อนสีน้ำตาลนำไปอบแล้วราดด้วยน้ำเชื่อม รสชาติหวานจัด  นอกจากนี้ยังมีไอศกรีมนมเรียกว่า "รัส มาไล" (Rus Malai) ทั้งเย็นและหวานรสนมแพะโรยเกล็ดถั่วพิสทาซิโอข้างบน ถั่วกวนที่เป็นขนมมงคลตามงานต่างๆก็ใช่ ทุกอย่างล้วนรสชาติหวานจัด ต้องทานควบคู่กับน้ำชาร้อนหรือการัม (Garum) มีทั้งชาใส่นม ชาเครื่องเทศ (Masala tea) ที่นี่เขาจะใส่ภาชนะเป็นถ้วยดินเผาคล้ายจอก ใช้ครั้งเดียวแล้วโยนทิ้งไปเลย เครื่องดื่มอื่นๆที่ขึ้นชื่อก็เช่น  Rose Lassi เป็นนมเปรี้ยวปั่นกับน้ำกุหลาบ และยังมีน้ำผลไม้คั้นสด ทั้งน้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำส้มเช้ง น้ำทับทิม น้ำมะม่วง อย่างสุดท้ายนี่ถึงขนาดบรรจุขวดอย่างดีวางขายทั่วไปเลยทีเดียว สุดท้ายที่ขาดไม่ได้หลังมื้ออาหารผ่านไป ทุกร้านเค้าจะมีถาดหลุมบรรจุเครื่องเทศให้ทานเพื่อดับกลิ่นปาก คล้ายกับเมล็ดยี่หร่าและน้ำตาลกรวดขนาดเล็กๆ ให้ได้ขบเคี้ยว บางคนก็สั่งโยเกิร์ตมาทานช่วยย่อยหลังมื้ออาหาร โยเกิร์ตที่นี่บางทีเรียกว่า "ไรต้า" (Raita) บางครั้งเรียกว่า "เคิร์ด" (Curd) ภายในจะฝานแตงกวาลงไปแบบละเอียดและหอมใหญ่ด้วย
รถเข็นขายขนมหวานอินเดียแบบข้างทาง 
ขนมหวานของอินเดียรสชาติหวานจัด การขายจะขายแบบชั่งกิโลขาย

ขนมหวานนานาชนิดมักจะทำจากแป้งถั่ว นมและเนย


 ไรต้า (Raita) หรือโยเกิร์ต ไว้ทานหลังมื้ออาหาร

เม็ดยี่หร่าและน้ำตาลกรวดจะมีไว้ให้เสมอหลังมื้ออาหารทุกมื้อไว้ดับกลิ่นปาก
 Gulab Jamun กุหลาบ จามูน

Rose Lassi นมเปรี้ยวปั่นน้ำกุหลาบ


            สรุปส่งท้าย อาหารอินเดียทุกชนิดไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะส่วนใหญ่จะปรุงสดไม่มีทิ้งไว้ค้างคืน และเป็นอาหารที่ปรุงโดยผ่านกรรมวิธีความร้อนทั้งสิ้น ทุกจานส่วนใหญ่จะร้อน ดังนั้นหมดความกังวลใจในเรื่องความไม่สะอาดไปได้เลยครับ คุณจะไม่ท้องเสียแน่นอน หากเลือกรับประทานอาหารร้อน ส่วนน้ำผลไม้ที่นี่ส่วนใหญ่จะคั้นสดจากเครื่องและไม่ใส่น้ำแข็งด้วย ดังนั้นหมดกังวลเรื่องน้ำแข็งไม่สะอาดไปได้เลยครับ
 ผลไม้สดๆมีขายข้างทาง
น้ำส้มเช้งคั้นสดๆ