วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

อินเดีย ใครๆก็ไปได้ ตะลุยกัลกัตตาแบบไม่ง้อทัวร์ Things to know


สิ่งที่ต้องตระเตรียมก่อนเดินทางไปอินเดีย
1 Visa to India แน่นอนล่ะอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่จะต้องขอวีซ่าล่วงหน้าก่อนเดินทางไป ไม่มี Visa on arrival นะจ๊ะ ซึ่งพวกเราจะต้องไปทำกันที่บริษัทรับจ้างทำวีซ่าอินเดีย ค่าทำประมาณสองพันกว่าบาท (เดี๋ยวจะกล่าวถึงในตอนถัดไป) 
 ซองใส่พาสปอร์ตที่ทำวีซ่าแล้ว
2   เสื้อกันหนาว ในฤดูหนาวอย่างน้อยก็ต้องมีติดตัวไป เพราะอากาศที่นั่นจะเย็นกว่าบ้านเราเยอะ
3 ปลั๊กอะแดปเตอร์ ไว้ชาร์จพวกกล้องหรือโทรศัพท์เนื่องจากปลั๊กไฟในอินเดีย จะมีทั้งที่เป็นแบบสามรูและห้ารู ซึ่งขนาดก็จะไม่เท่ากับที่สิงคโปร์หรือยุโรป ทำให้ต้องไปหาซื้อปลั๊กไฟไซส์พิเศษหน่อย ไปหาซื้อตามร้านค้าในเมืองไทยได้
4 ทิชชู่เปียกกับเจลล้างมือ สิ่งนี้สำคัญมากในกรณีที่คุณต้องการทานอาหารข้างทาง แต่ไม่มีน้ำล้างมือ สองสิ่งนี้จะช่วยคุณได้ หรือคุณอาจจะไปจับตามราวบันไดหรือราวรถไฟฟ้าที่สกปรกก็สามารถใช้ทิชชู่เปียกล้างมือแทนได้
5 ผ้าปิดจมูก อันนี้สำคัญสำหรับคนเป็นโรคแพ้อากาศ เพราะที่นั่นฝุ่นละอองและควันรถจะสูงกว่ามาตรฐานมาก ตามท้องถนนเมืองใหญ่ๆล้วนเต็มไปด้วยฝุ่น ไม่เช่นนั้นคุณอาจเที่ยวไม่สนุกได้เพราะคุณมัวแต่ไอจามอยู่
6  ยาต่างๆ ตั้งแต่ ยาลดน้ำมูกแก้ภูมิแพ้ ยาแก้ปวดหากคุณเมื่อย แต่สิ่งที่ต้องมีเลยคือ ยาแก้ท้องเสีย ซื้อของไดเซนโตนี่แหละดี เพราะธาตุของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนท้องเสียง่ายก็ควรเตรียมยาพวกนี้ไปด้วยจะดีมาก
7  ช้อนส้อมพลาสติก ใช้ในกรณีที่คุณไม่สามารถทานอาหารด้วยมือเปล่าได้ เพราะคนที่นี่ทานอาหารด้วยมือกันเป็นส่วนใหญ่
 
ข้อควรรู้และข้อควรระวังในการไปเที่ยวอินเดีย
1 ทานร้อนช้อนกลาง  ใครบอกว่าอาหารอินเดียสกปรกกินแล้วท้องเสียอันนี้ไม่จริงเลย ถ้าเราทานของร้อนอย่างน้อยเชื้อโรคก็ตาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารข้างทางถ้าเห็นเค้าทอดหรือย่างร้อน หรือต้มร้อน วางใจเถอะทานได้แน่นอน  ไม่ว่าจะเป็นโรตี แกงหรือผัดหมี่เจ ชาร้อน ทานได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าไม่ควรทานอาหารที่เค้าทำไว้นานแล้วหรือเก็บอาหารในภาชนะที่ไม่มิดชิด หรืออาหารพวกผลไม้ที่ปอกทิ้งไว้นาน และน้ำผลไม้ที่ใส่น้ำแข็ง ส่วนเรื่องช้อนกลางนั้นตามภัตตาคารใหญ่ๆจะมีช้อนส้อมและช้อนกลางให้เสมอ ถ้าระดับรองลงมาจะมีเพียงช้อนกลางไว้ตักแกงเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องใช้มือฉีกแป้งโรตีอยู่ดี ถ้าเป็นร้านข้างทางจะไม่มีตัวช่วยเลยต้องพุ้ยมือเท่านั้น ในกรณีนี้ขอให้คุณเตรียมกระดาษทิชชู่ไปด้วยจะดีมาก
 การรับประทานอาหารด้วยมือของคนที่นี่

2 ไม่นำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เข้าไปทานในร้านมังสวิรัติ คนไทยหลายท่านชอบนำอาหารไทยแบบแห้งๆ ติดตัวไป ด้วยเกรงว่าจะทานอาหารพื้นเมืองไม่ได้หรือทานไม่อร่อย คุณท่านก็เลยเปิดหมูหยอง กุนเชียง ไส้กรอก ปลากระป๋องแล้วเทลงในจานโรตีของร้านมังสวิรัติ อันนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะจ๊ะ เค้าถือกันมากๆ โดยเฉพาะการนำเนื้อสัตว์เข้าไปนั่งทานในร้านที่ไม่มีเมนูเนื้อสัตว์ คุณอาจโดนมองค้อนด้วยสายตานับสิบคู่ได้
 นี่ไงร้านนี้เป็นร้านขายหมี่ผัดร้อนๆ เป็นร้านมังสวิรัติ
 3 ให้ระวังเรื่องการดื่มน้ำ ที่อินเดียเค้าจะไม่กินน้ำแข็งกัน แต่จะชอบดื่มชาร้อน น้ำผลไม้สด เป็นไปได้ควรทานน้ำจากขวดที่ปิดสนิท หรือชาร้อนๆจะดีกว่า น้ำผลไม้ปั่นหรือคั้นสดนั้นควรจะเก็บไว้ดื่มวันสุดท้ายก่อนกลับ
 น้ำมะม่วงเย็นชื่นใจต้องกินจากขวดที่สะอาด

4 ห้ามถ่ายรูปภายในวัดหรือสถานที่สำคัญ โดยเฉพาะวัดฮินดูที่นี่ถือว่าการถ่ายรูปเป็นการลบหลู่เทพเจ้า ไม่ให้ความเคารพ แม้แต่ภายในมิวเซียมหรือในวังก็ห้ามถ่ายนะ บางแห่งห้ามเอาขาตั้งกล้องเข้าไปด้วย บางที่ถ่ายได้แต่อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม ขอให้เตรียมตังค์ไว้ด้วย เพราะค่านำกล้องเข้าไปในแต่ละสถานที่นั้นแพงเอาการ แต่ถ้าเป็นวัดหรือมัสยิดนั้นไม่ได้เลย ส่วนคนอินเดียนั้นจะชอบถ่ายรูปมากๆ เห็นกล้องเป็นไม่ได้ พอๆกันกับชาวฟิลิปปินส์เลย เค้าจะรีบกระโดดเข้าเฟรมทันที แต่ต้องระวังคนที่พอถ่ายรูปเสร็จแล้วมาขอเงินเอาดื้อๆด้วยนะ
 คนอินเดียจะชอบเล่นกับกล้อง
5 อย่าเล่นศีรษะกับคนอินเดีย ข้อนี้เอาไว้เตือนฝรั่ง เพราะคนอินเดียก็คือคนเอเชียที่ถือเอาศรีษะเป็นส่วนที่สำคัญของร่างกายเป็นศูนย์รวมจิตใจซึ่งอยู่เบื้องสูง จึงไม่อยากให้ใครไปแตะหัวหรือเล่นหัวเป็นอันขาด ยกเว้นเสียแต่ไปทำพิธีทางศาสนาบางอย่างเท่านั้น หวังว่าข้อนี้คงไม่ต้องบอกคนไทยด้วยกันเนอะ
 
6  อย่าให้เงินหรือของกินแก่ขอทาน เว้นเสียแต่คุณมีเงินหรืออาหารมากพอที่จะไปแจกจ่ายขอทานคนอื่นที่อาจมารุมตอมคุณได้หลังจากที่ให้กับคนแรกไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าเข้าข่ายเลือกที่รักมักที่ชังนะจ๊ะ
 ขอทานมักจะหากินกับผู้ใจบุญอยู่หน้าวัด

7 พยายามต่อรองกับแท็กซี่ให้ได้ราคาดีที่สุด แน่นอนล่ะแท็กซี่ที่ไม่ยอมกดมิเตอร์กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นของคู่กันในสากลโลก ถ้าเค้าเสนอราคามาแพงมากๆ ให้ไปใช้บริการคันอื่นเลย หรือก่อนไปก็ให้ศึกษาเส้นทางก่อนว่าแต่ละจุดมันห่างออกไปกี่กิโลเมตร จะได้คำนวณระยะทางกับค่ารถที่พึงจ่ายได้ถูก จากนั้นค่อยต่อรองราคาให้สมกับที่เราอยากจ่าย ซึ่งแท็กซี่มักจะพูดเสมอว่า “As you like to pay” แต่มักคิดในใจเสมอว่า “That’s not my rate
รถแท็กซี่ที่นี่ใช้เป็นรถออสตินของอังกฤษเมื่อ30ปีก่อนนู่น


8 ซื้อของควรต่อเยอะๆ หลายครั้งเรามักค้นพบว่าของที่เหมือนกันพอเข้าไปขายในห้างราคากลับถูกกว่าของที่วางแบขายกะดินมากมาย ทั้งนี้ก็มาจากการตั้งราคาบอกผ่านสูงมากๆของคนอินเดียนั่นเอง ดังนั้นจงจำไว้ว่าจงพยายามต่อให้ได้ราคามากที่สุด โดนด่าไม่เป็นไรชาตินี้เราเจอท่านแค่ครั้งเดียวสุดท้ายพอเราจะไม่ซื้อแล้วทำท่าจะเดินจากไปนั่นแหละ เค้าก็จะเสนอราคาที่สมเหตุผลจริงๆ
 เห็นราคาป้ายเท่านี้แต่ความจริงนั้นต่อได้อีกนะ

 
9  ระวังลูกตื๊อ คนอินเดียตื๊อเก่งและเดินตามเก่งมาก ยิ่งเป็นตามสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ๆด้วยแล้วก็จะมีคนกลุ่มนี้สารพัด ทั้งมาขายของที่ระลึกบ้าง พาไปซื้อของบ้าง นำเที่ยวบ้าง อาสาไปส่งบ้าง ให้ปฏิเสธไปก่อนเลย เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจทั้งสองฝ่ายให้เซย์โนแล้วส่ายหัวเท่านั้น ถ้าคุณเดินตามไปเค้าอาจจะพาไปซื้อของร้านที่แพงแล้วเค้าได้ค่าคอมมิสชั่น หรืออาจเป็นรถแท็กซี่ที่โก่งราคา ถ้าเป็นกรณีนี้ให้เดินเลยจุดที่รถจอดเยอะๆมาก่อนแล้วค่อยมาเรียกรถแท็กซี่ข้างนอก
 ย่านตลาดห้างร้านใหญ่ๆ มักจะมีนายหน้าเข้ามาเสนอตัวอาสาจะพาไปซื้อของ

10 ไม่ต้องไปคิดว่าคนอินเดียนั้นตัวเหม็น เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่จะทานมังสวิรัติ อีกทั้งอากาศก็เย็นกว่าบ้านเรา ดังนั้นลืมไปได้เลยที่ใครบอกว่าจะต้องไปทนดมกลิ่นแขกนั่น คนที่ทานเนื้อสัตว์ต่างหากที่กลิ่นตัวจะแรงกว่าชาวบ้านเขา และไม่ควรแสดงกิริยาที่ไปดูถูกหรือเห็นเป็นเรื่องขบขันคนอินเดียเขา เพราะนั่นคือประเทศของเขามิใช่ประเทศของเรา เค้าเป็นเจ้าบ้านเราเป็นเพียงผู้มาเยือนเท่านั้น ดังนั้นเราจงเรียนรู้และควรให้เกียรติแก่ประเทศเจ้าบ้านนั้นด้วย
 การทานอาหารด้วยมือนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ารังเกียจ หากแต่เป็นวัฒนธรรมการกินของคนที่นี่

2 ความคิดเห็น: