วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ตอนที่ 7 Medan City เที่ยวแบบไม่ง้อรถ

                การท่องเที่ยวแบบมีความสุขที่สุดในทัศนคติของผมคือ การท่องเที่ยวแบบอ้อยอิ่ง หรือ Slow Travel นั่นเอง ชีวิตของเราจะได้ไม่รีบร้อน ไม่ต้องกังวลว่าจะตกรถตกเครื่อง หรือจะต้องกลับเมื่อไหร่ แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์เงินเดือนแล้วคงจะไม่มีใครสามารถทำเยี่ยงนั้นได้แน่ๆ
                เราออกจากโรงแรมแล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ My Hotel เพราะว่าเราจะเข้าพักในคืนนี้ ทางโรงแรมเองยินดีรับฝากกระเป๋า เอาล่ะคราวนี้ก็เดินตัวปลิวไปกันได้แล้ว จุดแรกเลยเราเดินตามเส้นทางแผนที่เพื่อที่จะไปยังมัสยิดรายาและพระราชวังไมมูน (Masjid Raya Al-Mashun & Maimoon Palace) คือเดินผ่านแท็งก์น้ำสูง แล้วเดินข้ามทางรถไฟไปตามถนน Sisigamangraja เดินเลี้ยวขวาข้ามถนนก็จะเจอกับมัสยิดหลังงามขนาดย่อมๆ หลังนึ่งตั้งตระหง่านอยู่หัวมุมถนน
 ระหว่างทางเราเดินผ่าน สำนักการประปาเมดาน
โรงแรมการูด้าพลาซ่าที่ขึ้นชื่อ
        Masjid Raya Al-Mashun เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเขตสุมาตราเหนือ สร้างขึ้นโดยท่านสุลต่าน เดลี (Deli Sultan) ในปี ค.ศ. 1906 สถาปัตยกรรมเป็นแบบแขกมัวร์ กระเบื้องและของประดับตกแต่งมัสยิดล้วนนำเข้าจากประเทศอิตาลี ปัจจุบันยังคงใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจอยู่ วันนี้เป็นวันศุกร์ด้วยครับจึงมีเหล่าอิสลามิกชนมากมายทยอยเดินทางมาสวดมนตร์ใหญ่ในวันศุกร์ เราเดินถ่ายรูปได้สักพักก็ต้องออกมาเพราะคนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้านหน้ามัสยิดมีขอทานที่พิการทางร่างกายมารอรับทานจากผู้ใจบุญอีกด้วย ก่อนออกจากมัสยิดได้เจอกับเด็กสาวอินโดฯกลุ่มใหญ่เลยครับ ดูพวกเธอจะตื่นเต้นที่นานๆทีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองเมดาน ก็เลยขอแชะภาพกันชุดใหญ่ซะก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังพระราชวังไมมูนที่อยู่ใกล้กัน
 เบื้องหน้าของมัสยิดหลังงาม
 ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนไทยแบกเป้เที่ยวด้วยที่นี่
  เบื้องหลังของมัสยิดก็ยังออกแบบมางดงามแม้แต่หออะซาน 
 ขอทานด้านหน้ามัสยิดนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

 เด็กนักเรียนแดนอิเหนาผู้บ้ากล้องกับลีลาแอ็คท่าได้ใจ
วันศุกร์ใกล้เที่ยงผู้คนเริ่มเข้ามาทำละหมาดใหญ่

          Maimoon Palace พระราชวังไมมูนตั้งอยู่ใกล้กันกับมัสยิดนิดเดียวสามารถเดินเท้าถึงได้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888 โดยท่านสุลต่านไมมูน อัล รัสยิด (Sultan Maimoon Al Rasyid) สถาปนิกคือ Captain TH. Van Erop สถาปัตยกรรมการก่อสร้างผสมผสานระหว่างศิลปะแบบมาเลย์ อินเดียและมุสลิม เลยออกมาเป็นเรือนปั้นหยาขนาดใหญ่ทาด้วยสีเหลือง ตัวอาคารแบ่งเป็นปีกซ้ายขวา2ด้าน ภายในพระราชวังยังมีของที่ระลึกจำหน่ายด้วย ค่าเข้าชมสำหรับคนอินโดนีเซียเข้าชมฟรี ชาวต่างชาติคิดคนละ 5,000 รูเปียเท่านั้น คราวนี้พวกเราโดนเรียกเก็บเงินก็เพราะสะพายกล้องใหญ่เข้ามาถ่ายรูปนี่แหละ พวกเขาเลยรู้ว่านี่คือนักท่องเที่ยวแน่นอน พวกเราเดินชมภายในได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่นี่เค้าจะปิดตอนเที่ยงเพื่อพักรับประทานอาหารกัน ทำให้เราออกมาแทบไม่ทันประตูปิด เกือบจะโดนขังให้เป็นข้าทาสบริวารในวังแล้วมั้ยล่ะ
 พระราชวังไมมูนทำเป็นเรือนปั้นหยาทาด้วยสีเหลือง
 แม้แต่กระท่อมแบบโทบานีสก็มีไว้ให้ชมที่นี่
 บริเวณชานเรือนของพระราชวัง
 บริเวณท้องพระโรงของพระราชวัง
ข้าวของโคมไฟทำจากประเทศอิตาลี และเฟอร์นิเจอร์ไม้โบราณ
 เตียงบรรทมสมัยโบราณ
 สมุดรายนามลงชื่อแขก (นักท่องเที่ยว)ผู้มาเยือนพระราชวัง
 ลาก่อนนะพระราชวังไมมูน น่าเสียดายที่มาเยือนยามใกล้เที่ยง

               อากาศเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเดินค่อนข้างเยอะท้องเลยเริ่มหิว ไอ้ตอนขามาพวกเราเดินผ่านเพิงขายอาหารข้างทางนี่นา ถ้าไม่แวะชิมเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเมืองเมดานนะ ที่นั่นมีคนนั่งกินอยู่พอสมควรน่าจะใช้ได้แหละ อ้าว กลุ่มนักเรียนสาวกลุ่มเดิมนี่นา พวกเธอกำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย เพื่อนของเราอยากลองทานเนื้อสะเต๊ะดู ส่วนเราอยากทานไก่สะเต๊ะ ก็เลยสั่งแม่ค้าว่าเอา Sate Ayam และ Sate Sapi มาอย่างละจาน สะเต๊ะร้านนี้จะเสริ์ฟมาในจานใบตอง จานละ6ไม้ และราดน้ำจิ้มมาเลย พร้อมกับมันต้มและหอมเจียวเป็นเครื่องเคียง รสชาติน้ำจิ้มออกหวานแตกต่างไปจากเมืองไทย ส่วนเนื้อที่เค้าเอามาทำนั้นจะแห้งๆและไร้มัน แล้วเราก็ลองสั่งน้ำผลไม้มาทานกัน จะสั่งน้ำส้มกับน้ำอะโวคาโดปั่นมาดื่ม แต่คนขายก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยสักนิด เดือดร้อนถึงน้องนักเรียนสาวต้องมาช่วยอำนวยการสั่งให้กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง แต่น้ำอะโวคาโดนั้นเลี่ยนสุดๆ เพราะเค้าดันเอาไปปั่นรวมกับน้ำตาลเชื่อมด้วย น้ำเลยออกเป็นสีน้ำตาล สนนราคาค่าเสียหายมื้อเบา  สะเต๊ะสองจาน 30,000 รูเปีย และน้ำสองแก้วอีก 10,000 รูเปีย ครับผม ขอบคุณน้องนักเรียนที่ช่วยเป็นล่ามให้แม่ค้าด้วย
 ร้านอาหารแบบขายข้าวข้างทางที่อินโดฯเค้าเรียกว่า "วารุง" (Warung)
 สะเต๊ะที่อร่อยแท้จริงจะต้องทำโดยคนมุสลิมเท่านั้น
 ระหว่างที่รอแม่ค้าปรุงรสสะเต๊ะ เราก็ไปสั่งน้ำผลไม้ ที่นี่ทำน้ำทุเรียนด้วยนะ

            โฉมหน้าสะเต๊ะและน้ำอะโวคาโดสีเข้ม เพื่อนเราแสดงออกทางสีหน้าได้ชัด

            พวกเรายังทานไม่อิ่มกันดี มื้อนี้เป็นเพียงมื้อรองท้องเท่านั้น ห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมเด่นอยู่ตรงหน้า ความถวิลหาห้องแอร์แล่นเข้ามาในหัวทันที เพื่อนเราเลยได้ชวนให้ไปนั่งทานมื้อหนักในห้างอีกสักหน่อยจะได้ไม่ค้างคาใจ ห้างเล็กๆนี้มีชื่อว่า Yuki Simpang Raya ภายในห้างก็มีของขายเหมือนห้างทั่วไปนั่นแหละ ต่างกันตรงที่เสื้อผ้าพื้นเมืองแบบอินโดนีเซียนั้นมีวางขายทั่วไปในห้างนี่เลย ก็เพราะว่าที่นี่เค้าให้ใส่ผ้าพื้นเมืองไปทำงานไงล่ะ ตอนพักเที่ยงเราถึงเห็นชาวเมดานทั่วไปใส่ชุดพื้นเมืองออกมาทานข้าวกลางวันกัน มื้อกลางวันอีกมื้อเราขอฝากท้องไว้ที่ร้านฟาสต์ฟู้ด CFC เหมือนกับว่าเป็นคู่แข่ง KFC ของอินโดนีเซียเลย เราสั่งชุดไก่ทอดและชุดสปาเก็ตตี้ไก่ทอด ทั้งหมดในราคา 47,800 รูเปีย อิ่มแล้วก็เดินย่อยดูของในห้างสักหน่อยก่อนที่จะย้ายออกไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งสุมาตราเหนือกัน (Museum of North Sumatra)
 ห้างสรรพสินค้าที่นี่เปรียบเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย ทั้งเย็นและสบาย สบาย
 KFC ต้องรับศึกหนัก เพราะมีคู่แข่งเสียแล้ว
 ชุดไก่ทอดพร้อมชาผลไม้
จานนี้เป็นสปาเก็ตตี้ไก่ทอด

ตอนต่อไปพาชมพิพิธภัณฑ์สุมาตรา และพาช็อปปิ้งห้าง Sun Plaza แวะชิมอาหารย่านอร่อย Merdeka  Walk


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น