ครั้งแรกในชีวิตกับการแบกเป้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศย่านตะวันออกกลาง
(Middle East)
ตอนแรกเราชั่งใจอยู่นานมากว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวเองหรือว่าจะซื้อทัวร์ทันใจที่ราคาถูกกว่าไปเอง
เราเปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเห็นโฆษณาทริปดูไบ (Dubai) มากมาย
สนนราคาเริ่มต้นแค่ 18888 บาท โอ้โหมันช่างถูกมากมายอะไรเช่นนี้ ใช้เวลาเดินทาง 5
วัน แต่พออ่านโปรแกรมทัวร์แล้ว เลยเห็นว่าเขาก็เสนอรูปแบบโปรแกรมทัวร์แบบเดิมๆ
มีสถานที่บางแห่งที่เราไม่ได้อยากไปชมนัก ด้วยความที่นครดูไบขึ้นชื่อว่าเป็น
แมนฮัตตันของตะวันออกกลาง (Manhattan of the Middle East) หลายคนจึงมโนภาพไปเองว่าจะต้องเป็นเมืองที่มีแต่คนรวยล้นฟ้า
และมีแต่ตึกสูงระฟ้า โรงแรมหรูหรา และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ๆ แน่เลย
แต่การไปเที่ยวฉบับแบบไม่ง้อทัวร์นี้
เราจะพาไปดูในอีกแง่มุมหนึ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กันครับ
อาหรับยามราตรีไม่เคยหลับไหล
ทัศนียภาพที่สวยงามในกรุงมัสกัต โอมาน
เตรียมตัวไปเที่ยวตะวันออกกลางกันเถอะ
แล้วเราก็กลับมาทำการบ้านอีกมากมายตั้งแต่การหาช่วงวันที่ว่างซึ่งก็ไม่พ้นช่วงวันสงกรานต์
การหาตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกแต่บริการครบ (Full Service) หาราคาที่พักระดับมาตรฐานในดูไบ
รวมไปถึงวิธีการขอวีซ่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ค่อยๆทยอยหาจนกระทั่งจังหวะและโอกาสมาถึงนั่นคือ
ได้ตั๋วเครื่องบินในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป สำหรับทริป 6วัน นั่นคือได้ของสายการบินโอมานแอร์
(Oman Air) ในราคาไปกลับอยู่ที่ 13500 บาท จากเว็บไซต์ www.traveloka.com โดยแวะพักเปลียนเครื่องไปดูไบที่กรุงมัสกัต
(Muscat) ประเทศโอมาน (Oman) ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วบินต่อไปดูไบอีก
50 นาที
ตั๋วเครื่องบินสำหรับขาไปของโอมานแอร์
ตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับเรามีเวลาเที่ยวโอมานครึ่งวันจ้ะ
ความลับของสนามบินมัสกัตคือ ไม่มีงวงสำหรับสายการบินแห่งชาติ
ในขณะที่ฝั่งสุวรรณภูมิเทียบงวงสวยงาม
นอกจากนี้ยังมีสายการบินอื่นๆที่บินตรงไปลงนครดูไบเลยคือ
สายการบินไทย (Thai Airways) ของเรา ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 14700 บาท
และสายการบินเจ้าถิ่นอย่างเอมิเรตส์ (Emirates) ที่มีบริการทำวีซ่าให้ฟรีด้วยราคาจะเริ่มต้นที่
17000 บาทขึ้นไป และสายการบิน Lowcost อย่างเจ้า ฟลายดูไบ (Fly Dubai) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ที่ราคาเห็นจะถูกที่สุด คืออยู่ที่ 9000-12000 บาท
แต่ไม่รวมค่าโหลดกระเป๋าและมื้ออาหารนะ
เมื่อขึ้นเครื่องแล้วมักจะมี snack ให้ทานเล่นก่อน
จากนั้นมื้อใหญ่จัดเต็มก็จะตามมาอีกสองมื้อย่อยๆ เนื่องจากบิน 6ชั่วโมง
ลำดับต่อไปคือการหาที่พักซึ่งมีให้เลือกมากมาย
เราเชื่อว่าทุกท่านจองออนไลน์กันเป็นหมดแล้ว การจองโรงแรมที่พักมีความสำคัญต่อการขอวีซ่ามากๆ
เพราะนั่นคือหลักประกันได้ว่าคุณจะไม่แอบหนีไปทำงานโดยอาศัยนอนอยู่กับเพื่อนหรือญาติๆ
ให้ทำการจองให้เรียบร้อยแล้วสั่ง Print ใบจองที่พักมาด้วยเพื่อใช้ประกอบในการยื่นขอวีซ่าดูไบ
สำหรับราคาที่พักในตะวันออกกลางนั้นถือว่าราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ
เพราะค่าครองชีพที่นั่นก็สูงใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
โดยค่าห้องพักจะเริ่มต้นที่คืนละ 1000 บาทขึ้นไป และติดแอร์ทุกห้อง
สำหรับเตียงคู่ราคาจะพุ่งขึ้นเป็น 3000 บาทขึ้นไปต่อคืน
ในทริปนี้เราเลือกที่จะจองที่พักในเครือ YHA Dubai International Youth
Hostel เพื่อประหยัดงบในการเที่ยว จำนวน 4 คืน ค่าใช้จ่ายจึงอยู่ที่ 4000
กว่าบาท
โฮสเทลในราคาคืนละ1000 บาทพร้อมสระว่ายน้ำบริการฟรี
สิ่งที่ดูเหมือนจะยุ่งยากที่สุดในการเที่ยวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วยตัวเองนั้น
เห็นจะเป็นเรื่องการขอวีซ่านี่แหละ หลายคนกลัวว่าซื้อตั๋วแล้วจะไม่ได้ไปเพราะขอวีซ่าดูไบไม่ผ่าน
ประเด็นนี้ขอให้คลายความกังวลใจไปได้เลย
เพราะสมัยนี้มีบริษัทรับจ้างทำวีซ่าเกิดขึ้นมากมายสำหรับคนขี้เกียจอย่างเรา
แถมยังรับประกันว่าขอวีซ่าผ่านแน่นอนอีกต่างหาก
แต่ทั้งนี้ขอให้เลือกใช้บริการกับบริษัทที่เปิดมานานนิดนึง เพราะค่าวีซ่าดูไบไม่ได้ถูกเลย
มันจะรวมไปกับค่าจ้างทำอีก สนนราคาเสร็จสรรพตั้งแต่ 5500-6000 บาท ราคาไม่เกินนี้
โดยเอกสารที่จะต้องเตรียมไว้ให้บริษัททัวร์ได้แก่
ใบจองโรงแรมต้องมี
- สำเนาหนังสือเดินทางแบบพิมพ์สี่สี
- สำเนาบัตรประชาชนแบบสี
- หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท หากมีกิจการส่วนตัวให้ใช้หนังสือทะเบียนการค้า
- สำเนาเอกสารใบจองตั๋วเครื่องบิน
- สำเนาเอกสารใบจองโรงแรม
- รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว 2ใบ พื้นหลังสีขาวเท่านั้น
พร้อมเดินทางไปกับเรากันหรือยัง?
เตรียมเอกสารเพียงเท่านี้แล้วบริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่มารับเอกสารทั้งหมด
หรือบางบริษัทอาจให้สแกนเอกสารแล้วส่งไฟล์ไปทั้งหมดเช่นกัน ในครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของ บริษัทอัลอิศราทราเวล จำกัด (Al Isra
Travel) https://www.facebook.com/AlIsraTravelColtd สามารถทำวีซ่าให้เราแล้วเสร็จภายใน 1
วันทำการเท่านั้น เงื่อนไขการชำระเงินโดยการโอนผ่านบัญชีธนาคาร
โดยหน้าตาของเอกสารขอวีซ่าที่ได้รับกลับมาทางไปรษณีย์หรืออีเมล์
หน้าตาจะเป็นแบบนี้
ความจริงมันมีทั้งหมด4หน้า แต่ใช้งานจริงแค่2หน้า
ลำดับต่อไปคือการเตรียมจัดกระเป๋าให้เหมาะสมกับทริปที่เราออกแบบ
ประเทศยูเออีและโอมานเป็นประเทศที่เดินทางสะดวก
ดังนั้นสามารถใช้กระเป๋าแบบล้อเลื่อนเดินทางได้
ใครที่ชอบการช้อปปิ้งไม่มีปัญหาเพราะทุกสายการบินจะได้น้ำหนักโหลดกระเป๋าค่อนข้างมาก
ถ้าเดินทางในฤดูร้อนหรือจะไปเที่ยวทะเลทรายแนะให้จัดชุดเสื้อผ้าที่รัดกุม
มิดชิดแต่เนื้อผ้าบางเบา เพราะแดดในตะวันออกกลางจ้าและแรงมาก
และนอกจากนี้ยังไม่ควรแต่งตัวโป๊และล่อแหลม
เนื่องจากเป็นประเทศมุสลิมที่มีวัฒนธรรมเคร่งครัด สตรีหากเข้ามัสยิดจะต้องมีผ้าคลุมผม
เครื่องประดับของมีค่าควรใส่ตามความเหมาะสมถึงที่นี่จะเดินทางปลอดภัยก็ตาม
และควรเลือกรองเท้าที่สวมใส่สบายเดินง่ายและแว่นกันแดด
ครีมกันแดดและร่มเป็นของสำคัญที่สุดที่ห้ามพลาดเลยในการจัดกระเป๋า เพราะแดดที่นั่นเค้าแรงจริง
ควรติดกระเป๋าช้อปปิ้งไว้ใส่ข้าวของที่ซื้อมาได้ระหว่างทางอีกใบ
ขนมของฝากน่าซื้อที่เราต้องเผื่อพื้นที่กระเป๋าขากลับด้วยครับ
คราวนี้ก็เหลือแต่การเตรียมใจพร้อมที่จะออกไปผจญโลกกว้างกันแล้วใช่มั้ยล่ะ
โลกอาหรับรอคุณอยู่ โลกใบใหม่ ไม่ได้น่ากลัวไปกว่าที่คิดไว้เลย
ขอแค่เรามีใจพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับมันเท่านั้นเอง
ขอแถมอีกนิดถ้าอยากเดินทางช่วงอากาศเย็นคือช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม
อากาศเย็นก็จริงแต่ต้องแลกมากับฝนตก ส่วนถ้าใครเดินทางช่วงเดือนเมษายน- ตุลาคม
บอกได้สามคำเลย คือร้อนกับร้อนมาก แต่ไม่มีฝนมาคอยกวนใจ
ขอให้ทุกท่านเลือกช่วงเวลาในการเดินทางที่เหมาะสมก็แล้วกันครับ
ป้อมปราการเก่ากลางนครรัฐซาร์จ้าห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น