วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แบกเป้เที่ยวปักกิ่งหน้าหนาว แบบคูลๆ เดินครึ่งวันต้านลมหนาวในพระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace)

            และแล้วเราก็เดินทางมาถึงไฮไลท์เด็ดสุดท้ายของการแบกเป้เที่ยวปักกิ่ง นั่นคือเราต้องไม่พลาดไปชมพระราชวังฤดูร้อน หรืออี๋เหอหยวน (Summer Palace) ที่ต้องนั่งรถใต้ดินออกไปย่านชานเมืองนิดๆก็ถึงจุดหมายปลายทาง จากหอฟ้าเทียนถานใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมง เริ่มจากลงรถใต้ดินที่สถานีเดิม สถานีเทียนถานดงเหมิน Tiantandongmen  แล้วมาต่อ MTR Line4 สายสีเขียวมาโผล่ที่สถานี Beigongmen แล้วเดินอีก 300 เมตรจะเจอประตูทางเข้าทางทิศเหนือ แต่เดี๋ยวยังก่อนอุทยาน
พระราชวังฤดูร้อนนั้นมีขนาดใหญ่มาก เพื่อการเดินทนในรอบบ่ายเราจะต้องทานอาหารมื้อหนักๆก่อน
อาหารชุดจาก KFC 17.50 หยวน มาทั้งเบอร์เกอร์ไก่ ไก่ชิ้นและทาร์ตไข่ 
เบอเดอร์ไก่ที่จีนชิ้นใหญ่มากจ้า 
สถานีใต้ดิน Beigongmen สำหรับการเข้าชมพระราชวังฤดูร้อน

         พระราชวังฤดูร้อนตั้งอยู่ชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่งไป 15กิโลเมตร มีอาณาเขตถึง 2.9 ตารางกิโลเมตร ค่าเข้าชมในฤดูหนาวที่เราไป 50 หยวน เปิดปิดเวลา 7.00-17.00น. ถ้าเป็นฤดูร้อนจะเก็บ 60หยวน แต่เข้าชมได้ตั้งแต่ 6.30-18.00น.  พระราชวังแห่งนี้คาดว่าสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 สมัยจักรพรรดิไห่หลิงอ๋องแห่งราชวงศ์จิน เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ปักกิ่ง
ตั๋วเข้าชมพระราชวังร้อนในฤดูหนาว ราคา50หยวน 
บริเวณจุดซื้อตั๋วเข้าชมคนไม่เยอะ สบายๆ

          ต่อมาในยุคราชวงศ์หยวนพระราชวังแห่งนี้ก็แปรสภาพเป็นพระราชวังฤดูร้อนเพื่อใช้แปรพระราชฐานตามฤดูกาล โดยที่ฤดูหนาวจะประทับที่พระราชวังต้องห้าม จนกระทั่งถึงยุคจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงก็ได้มีการขุดทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้น แล้วก็ได้นำดินจาทะเลสาบแห่งนี้ไปถมจนเป็นเขาจำลองขนาดใหญ่ขึ้นมาสูงกว่า 60เมตร และสร้างตำหนักใหม่บนเนินเขา พร้อมกับขายที่ออกไปอีก จนถึงยุคสุดท้ายพระนางซูสีไทเฮาก็ได้สร้างเรือหินอ่อนลำมหึมาขึ้นไว้กลางน้ำ แต่เรือหินอ่อนลำนี้แล่นไม่ได้นะ เขามีไว้ใช้เพื่อจิบน้ำชาขมวิวเท่านั้น
เอาล่ะ เรากำลังพาทุกท่านลอดซุ้มประตูสู่ยุคอดีตกาลกัน 
พอผ่านประตูออกมาได้ก็ต้องงง ไหนล่ะทะเลสาบนี่มันน้ำแข็ง
เรือทุกลำต้องจอดนิ่งเพราะให้บริการไม่ได้

          จากประตูทางเข้าด้านทิศเหนือเราจะเจอกับคลองและตลาดน้ำโบราณก่อน แต่มาวันนี้ไม่มีคลองน้ำใสให้เราได้เห็น มีแต่คลองที่เป็นน้ำแข็งกับเรือที่จอดนิ่งออกไม่ได้ บริเวณนี้มีชื่อเรียกว่าถนนซูโจว (Suzhou Street) จำลองย่านการค้าขายในอดีตจากเมืองซูโจว แล้วยกมาไว้ที่นี่ มีสะพานสูงให้เดินข้าม สมัยก่อนเหล่ามเหสี นางสนมและนางกำนัลจะใช้เป็นที่เดินเล่น ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นร้านค้าของที่ระลึกและร้านอาหารไว้ให้เดินเล่น 
ถนนคนเดินซูโจว คั่นด้วยคลองที่เป็นน้ำแข็ง 
สะพานหินข้ามคลองที่สูงมากๆ
ใครที่ยังไม่ได้กินจากข้างนอกข้างในก็มีร้านอาหารให้บริการ 
ไม่อยากขึ้นสะพานสูงให้ลองเดินอ้อมมาขึ้นสะพานไม้ จะได้ชมร้านค้าด้วย
ทางเดินค่อนข้างแคบเวลาเดินสวนกันต้องระวังนิดนึง 
เรือลำเล็กก็ยังต้องจอดพักชั่วคราวเลย 

เมื่อเดินขึ้นเนินผ่านถนนซูโจวเข้าไปด้านในจะได้พบกับเนินเขาสูงตะการตาที่มาจากการขุดลอกทะเลสาบคุณหมิง เพื่อขึ้นมาทับถมและอัดดินให้แน่นจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม มีชื่อเรียกว่า เนินเขาว่านโซ่ซาน หรือเนินเขาหมื่นปี  (Longevity Hill) ข้างบนเขามีทั้งวัดและเจดีย์มากมายหลายแห่ง วัดที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ


บนเนินเขาเป็นที่ตั้งของทั้งวัดและเจดีย์ ว่ากันว่ายิ่งตั้งสูงยิ่งดี 
คนจีนเค้าก็มีการแอ็คท่าสวยๆถ่ายรูปกันนะจ๊ะ 
ทางขึ้นวัดไม่ลาดชันให้ค่อยๆเดินขึ้นแบบช้าๆ สบายๆ 
เริ่มใกล้จะถึงจุดบนสุดของเขาหมื่นปีแล้ว
ด้านบนเป็นวัดที่ไม่มีพระจำวัดอยู่อีกแล้ว 
เจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนยอดคล้ายกับวัดของทิเบต 
จุดชมวิวชานกรุงปักกิ่งจากชั้นบนสุด

วัดจื้อหุ่นไห่  (Zhihuihai Temple) เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีอีกชื่อเรียกว่า วัดแห่งทะเลภูมิปัญญา ด้วยการออกแบบที่เตะตาคือ ผนังวัดด้านนอกตกแต่งด้วยพระพุทธรูปนูนต่ำกว่า 1008 องค์ เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมเคลือบสีทอง ฝังลงบนผนังสีเขียวโดดเด่นทีเดียว  วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง เป็นที่น่าเสียดายที่เค้าไม่เปิดให้เข้าไปชมด้านใน
วัดจื้อหุ่นไห่ วัดขนาดเล็กบนยอดเขาหมื่นปี 
ทางเดินสงบร่มรื่นบนยอดเขาที่เกิดจากการขุดดินขึ้นมาถม 
ผนังวัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร 
นั่นคือการเจาะช่องและฝังพระพุทธรูปสีทองลงไปตามช่อง

ติดกับวัดแห่งนี้จะมีทางเดินเล็กๆ ด้านหลังพร้อมประตูทะลุไปสู่เจดีย์หอกำยานพระพุทธ เป็นทรงเจดีย์แปดเหลี่ยมตั้งสูงตระหง่าน จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่ฉีกตั๋วออกเพื่อเข้าชมด้านใน ข้างในเป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมพันมือสร้างขึ้นจากไม้โบราณ ข้างบนลมแรงมากเหมาะแก่การยืนชมวิวตำหนักด้านล่างและทะเลสาบคุณหมิงพร้อมเกาะกลางทะเลสาบ แนะให้เดินลงบันไดผ่านตำหนักไป่หยุนเตี้ยน (Paiyundian, Hall of Dispelling clouds) เพื่อชมความงามของตำหนักก่อนและชมพิพิธภัณฑ์ระหว่างทางะลงไปที่ระเบียงสวยด้านล่าง
เจดีย์แปดเหลี่ยมมองจากฝั่งวัดจื้อหุ่นไห่
ประวัติการสร้างหอกำยานเจดีย์พระพุทธ 
หลังคาวัดและเจดีย์ส่วนใหญ่ใช้กระเบื้องสีเขียว 
วิวจากหอเจดีย์เห็นทะเลสาบเบื้องล่าง 
เกาะหนานหู เกาะขนาดเล็กกลางทะเลสาบ
เจ้าแม่กวนอิมปางพันกรแกะสลักด้วยไม้โบราณ 
ด้านบนของตำหนักไป่หยุนเตี้ยน 
ด้านหลังจะเห็นเจดีย์หอกำยานพระพุทธอยู่ไกลๆ 
ประวัติความเป็นมาของตำหนักแห่งนี้ 
ทางเข้าตำหนักไป่หยุนเตี้ยนสวยงาม
ตำหนักสวยในฝั่งที่ติดกับฝั่งทะเลสาบ 
ระเบียงที่ทอดยาวลงมาจากยอดเขา ใช้เป็นทางเสด็จเท่านั้น

ระเบียงฉางหลาง (Changlang corridor) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1750แล้วมาบูรณะในปีค.ศ. 1828 หลังจากถูกเผาทำลาย สมัยก่อนได้มีการสร้างไว้สำหรับเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์ได้ทุกฤดู เพราะทอดยาวเลียบไปตามทะเลสาบมีหลังคาคลุมตลอดแนวกว่า 728 เมตร  ด้านบนเพดานและเสามีภาพจิตรกรรมงดงามให้ชมได้ไม่รู้เบื่อ
ระเบียงฉางหลางทอดยาวตลอดริมทะเลสาบ 
น้ำในทะเลสาบคุณหมิงยังไม่เป็นน้ำแข็งเหมือนคลองที่ถนนซูโจว 
ภาพวาดงดงามตลอดทางเดินระบียง 
บางจุดก็เป็นภาพวาดโบราณสีเริ่มกะเทาะ
ภายในหลังคาของระเบียงฉางหลาง 
รูปหล่อสิงโตพร้อมปกปักรักษาวังแห่งนี้

เรือหินอ่อน (Marble Boat) สร้างขึ้นสมัยพระนางซูสีไทเฮา ว่ากันว่าได้ใช้เงินมากมายในการสร้างเรือหินอ่อนที่แล่นในน้ำไม่ได้ลำนี้ ซึ่งทำมาจากหินอ่อนชั้นดี มีความยาวถึง 36 เมตร พร้อมประดับกระจกสีต่างๆสวยงาม สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่จิบน้ำชาและชมทัศนียภาพริมทะเลสาบคุณหมิงด้วยความไฮโซโก้เก๋ในยุคนั้น
เรือหินอ่อนหลังงามสร้างในสมัยพระเจ้าซูสีไทเฮา 
รอบข้างรายล้อมไปด้วยเรือท่องเที่ยวนำชมทะเลสาบคุณหมิง 
เรือนำเที่ยวทำหัวเรือเป็นรูปมังกร 
เรือหินอ่อนที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบเปล่าประโยชน์  บางครั้งถูกเรียกว่า เรือคนโง่
เรื่อท่องเที่ยวทุกลำงดให้บริการแล่นออกจากฝั่ง

ถ้าเดินไปอีกฝั่งจะเจอกับตำหนักน้อยใหญ่ริมทะเลสาบมากมาย ซึ่งตำหนักน้อยใหญ่ไล่ขนาดลงไปนี่เคยเป็นที่ประทับของพระนางซูสีไทเฮาด้วยรวมทั้งยังมีโรงงิ้วและศาลาพักชมวิวอีกมากมาย นอกจากนี้บนลานกว้างยังคงมีกิจกรรมพู่กันยักษ์เขียนอักษรจีน คราวนี้เราเลยได้เจอกับจีนมุงของจริงเลย 
ตำหนักน้อยใหญ่ริมทะเลสาบ ซึ่งส่วนใหญ่ปิดไม่ให้เข้าชม 
เราเจอกับเจ้ากวางเหลียวหลังและนกกระเรียนอีกแล้ว 
Blue Iris Stone
อักษรจีนเขียนด้วยคฑาปลายหุ้มผ้าจุ่มน้ำแล้วเขียน 
จริงๆแล้วที่นี่มีจุดให้เช่าคฑาเพื่อเขียนหนังสือจ้ะ
ตำหนักแห่งนี้ลักษณะคล้ายที่คุมขังนักโทษชั้นสูงเลย 
วิวริมทะเลสาบคุณหมิงยามเย็น 
ทางเข้าออกตำหนักที่ไม่สามารถเดินขึ้นชมด้านบนได้ 
ใครมีเวลาเหลือเฟือ เราแนะให้เดินเล่นรับลมริมทะเลสาบไปเลย 
เจ้าวัวทำมาจากสำริด

เดินไปจนสุดทางจะเห็นสะพานหินอ่อนสีขาวที่ทอดยาวเหยียดมีช่องโค้งทั้งหมด 17ช่อง ราวสะพานประดับด้วยสิงโตหินอ่อน ทอดยาวไปจนถึงเกาะกลางทะเลสาบที่มีชื่อว่าเกาะหนานหู (Nanhu Island) บนเกาะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าหลงหวังเหมี่ยว ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลแม่น้ำและสายฝน แต่เสียดายที่เราเดินไปถึงกลางเกาะแล้วศาลเจ้าปิดลงแล้ว เลยรีบถ่ายรูปสะพานสวยๆ ที่ตัดกับแสงอาทิตย์ยามใกล้จะตกดิน เพิ่งจะห้าโมงเย็นเองก็มืดเสียแล้ว
สะพานโค้ง 17 ช่อง แลเห็นรูปปั้นสิงโตประดับทุกหัวเสา 
ความจริงทางเดินริมทะเลสาบไปต่อได้อีก แต่เราขอข้ามสะพานก่อน
ทางเดินชมวิวรอบเกาะหนานหู 
ทางเข้าศาลเจ้าที่ใช้บูชาเทพเจ้าแห่งน้ำ 
ใครมาเที่ยวตอนเย็นให้ลองแวะถ่ายแสงที่ลอดช่องสะพานทั้ง17ช่องกัน 
ศาลาแปดเหลี่ยมก่อนเดินขึ้นสะพาน 17ช่อง

ใกล้เวลาที่วังจะปิด เราเลยต้องจำยอมออกทางประตูทิศตะวันออกที่ไม่ใช่ทางออกเดิม ดีกว่าเร่งเดินจ้ำอ้าวออกทางออกเดิมคือประตูทิศเหนือ พอเดินพ้นประตูทิศตะวันออกมาเท่านั้นแหละเป็นงงเลย ไม่รู้ว่าจะต้องเดินออกมาขึ้นรถไฟฟ้าตรงไหน เพราะหนทางไกลมากถามทางคนมาก็หลายต่อ ชี้มือไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถึงสถานีรถใต้ดินซี่หยวน (Xiyuan) พอดี
บริเวณประตูทางออกด้านทิศตะวันออกของพระราชวังฤดูร้อน 
จุดซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังฝั่งทิศตะวันออก 
เส้นทางระหว่างทางเดินออกมาถนนใหญ่ 
เดินออกมาก็จะเห็นร้านขนมปังฝรั่งเศสตรงหัวมุมพอดี
แสงสุดท้ายของท้องฟ้าปักกิ่งที่เราจะได้ชมในทริปนี้

ได้เวลาเดินทางเข้าไปในตัวเมืองปักกิ่งกันต่อละ

ระหว่างทางกลับโรงแรมเกิดปวดท้องกะทันหันเลยได้ขึ้นจากรถใต้ดินที่สถานีซีตัน (Xidan) เลยด้านเปิดจุดท่องเที่ยวใหม่เลย ย่านซีตัน (Xidan Market) เป็นย่านธุรกิจและห้างสรรพสินค้าของกรุงปักกิ่ง ใหญ่ไม่แพ้ถนนหวังฟู่จิง (Wangfujing) เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าน้อยใหญ่มากมาย เห็นแล้วคล้ายกับถนนราชประสงค์ของบ้านเรา
แสงสีริมถนนในย่านซีตัน 
ธนาคารขนาดใหญ่มักตั้งอยู่ในย่านนี้ 
ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็ตั้งอยู่ที่นี่
ถนนเส้นหลักรถไม่ติดยามชั่วโมงเร่งด่วน 

เสร็จธุระก็ได้เวลากลับที่พักไปเอากระเป๋า แต่ยังไม่ถึงเวลาขอเดินชิลบนถนนคนเดินเฉียนเหมินและหามื้อเย็นกินก่อน เย็นนี้เป็นมือที่ฟินที่สุด เพราะเราได้ชี้นิ้วกินอาหารตามสั่งของจีนแล้ว จิ้มที่รูปเมนูแล้วผลลัพธ์ออกมาเป็นจานเดียวราดข้าว เป็นหมูสามชั้นแล่บางๆ ผัดกับพริกและหอมใหญ่ รสชาติออกเผ็ดและเค็ม คล้ายอาหารตามสั่งร้านจีน ในราคาจานละ 21 หยวน ไม่ถือว่าถูกนัก
กลับมาที่ถนนคนเดินเฉียนเหมินอีกครั้งก่อนเดินทางกลับคืนนี้ 
อาหารจีนมื้อสุดท้ายเป็นร้านอาหารแบบบ้านๆเลย 
อยากกินอะไรให้เอามือชี้ที่ภาพแล้วชูจำนวนนิ้วไปเลยว่าเอากี่จาน 
เย้ สุดท้ายเราก็ได้กินอาหารตามสั่งจานเดียวแล้ว ผัดออกมาหอมมาก

แต่นั่นก็ยังไม่หนำใจเราสำหรับคนที่มาเที่ยวปักกิ่งแล้วยังไม่ได้กินเป็ดปักกิ่ง ( Peking Duck)ที่เป็นอาหารขึ้นชื่อที่นี่ เลยขอเดินตามล่าหาเป็ดปักกิ่งต่อไป เราเพิ่งรู้ว่าเป็ดปักกิ่งที่นี่มีขายเป็นคำๆด้วย นอกจากจะขายยกตัวแล้ว สำหรับคนที่มาคนเดียวแนะนำให้สั่งเป็นชิ้นๆและเดินกินไป ในราคาชิ้นละ15หยวนขึ้นไป เป็ดปักกิ่งที่นี่ไม่ได้แล่เป็นหนังบางกรอบแบบในไทยนะ หากแต่เค้าจะแล่ติดชิ้นเนื้อมาอย่างหนาเลย
ร้านขายเป็ดปักกิ่งห่อละ 15หยวน 
ร้านนี้ขายเป็ดย่างแบบสไตล์โบราณ 
ติดป้ายราคา 25 หยวน ไม่แน่ใจว่ากินได้ทั้งตัวรึเปล่า 
ใครอยากลองลิ้มรสเนื้อลา ที่นี่ก็มีเบอเกอร์เนื้อลาให้กิน

ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเป็ดปักกิ่งก็อันตรธานหายเข้าปากไป แล้วเราก็ไปเดินเล่นถนนคนเดินต่อ เป็นย่านช้อปปิ้งของที่ระลึกที่ดูแล้วคล้ายกับสำเพ็งบ้านเราเลย มาเที่ยวปักกิ่งครั้งนี้เลยไม่ได้หาซื้ออะไรกลับไปเป็นของฝากติดไม้ติดมือไปเลย แต่ถ้าดูจากภาพที่เรานำเสนออกไปก็เชื่อว่าน่าจะมีของที่ถูกใจคุณบ้างแหละน่า
พิธีกรโฆษณาถนนคนเดินอธิบายอย่างคล่องแคล่ว 
ถนนคนเดินยามหัวค่ำคึกคักมาก 
ย่านร้านขายของที่ระลึกคล้ายๆกับตลาดสำเพ็ง 
ของที่ระลึกจากรัสเซียตุ๊กตาแม่ลูกดกก็มีที่นี่ 
เห็นหน้ากากแล้วนึกถึงการแสดงโชว์เปลี่ยนหน้ากาก 
คนยังคงเดินเลือกจับจ่ายกันอย่างเพลิดเพลิน 

กลับมาถึงที่พักเกือบสี่ทุ่มได้เวลาจัดระเบียบกระเป๋าใหม่พร้อมเปลี่ยนชุดเพื่อเดินทางขึ้นเครื่องแบบมาราธอนกลับไทยแล้วสิ ไฟลต์ที่ออกเดินทางเป็นไฟลต์ดึกออกจากปักกิ่งตีสอง ไปถึงกัวลาลัมเปอร์ประมาณ8 โมงเช้า แล้วเราก็ได้ใช้บัตรรถไฟฟ้าอี้ข่าทงจนวินาทีสุดท้ายโดยขึ้นที่สถานีเฉียนเหมิน ได้refund เงินที่มีอยู่ในบัตรคืน แต่เราไม่ได้คืนบัตรให้เขานะขอเก็บเป็นที่ระลึก ถ้าคืนไปเราก็จะได้เงินมากกว่านี้
ร้านค้าแบรนด์ตะวันตกเปิดเต็มถนนเฉียนเหมิน 
ลาก่อนป้อมธนูเฉียนเหมิน 
ลาก่อนพิพิธภัณฑ์รถไฟปักกิ่ง 
สถานีต้นทางที่เราต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปสนามบิน 
ข้อเสียของสถานีใต้ดินหลายที่ไม่มีบันไดเลื่อน 

จากนั้นเราก็ต้องไปต่อรถไฟไปสนามบินที่สถานีดงซีเหมิน (Dongzhimen) เป็นเงิน 25 หยวน เป็นรถไฟด่วนใช้เวลาเดินทางแป๊บเดียวถึงสนามบินก่อนเที่ยงคืน ที่เราต้องรีบออกมาจากที่พักเพราะขนส่งระบบรางปิดก่อนเที่ยงคืนนั่นเอง สนามบินปักกิ่งยามค่ำคืนผู้คนคึกคักยืนรอต่อแถวเช็คอินเป็นระเบียบเรียบร้อย มีแอบแซงคิวกันบ้างแต่ไม่ทุกคน พอผ่านด่านตรวจขาออกมาได้ก็พบว่าร้านค้าส่วนใหญ่ปิดหมด เงินหยวนที่เหลือเลยไม่ได้ใช้ เอาล่ะไปนั่งรอขึ้นเครื่องดีกว่า

ถึงเวลาต่อรถไฟ Airport express ไปสนามบินแล้ว 
คราวนี้เรามีบัตรโดยสารรถทั้งสองชนิดเลย ใบแดงคือ Airport Express 
ภายในห้องโดยสารรถไฟไปสนามบิน เสียดายที่ขามาไม่ได้นั่ง 
ตั๋วแอร์เอเชียสองขา ใบหนึ่งเป็นของ Air Asia X, อีกใบ Air Asiaธรรมดา 
มาถึงแล้ว กระเป๋าเดินทางของเราไม่ต้องโหลดครับเกิน7กิโลกรัมมานิดๆ 
ร้านค้าแบรนด์เนมทุกร้านปิดหมดแล้ว
ได้เวลานั่งรอเครื่องออกตอนตีหนึ่ง 
และแล้วเจ้านกเหล็กสีแดงก็มาเทียบงวง

6 ชั่วโมงผ่านไป พอเครื่องลงที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์เท่านั้นแหละ  เหมือนตายอดตายอยากมากกินเบิ้ลกินต่อเนื่องเลยจ้า มาเที่ยวปักกิ่งครั้งแรกทำให้เราคิดถึงอาหารชาติอื่นเอามากๆ รสชาติอาหารจีนปักกิ่ง กับจีนกวางตุ้งแตกต่างกันมากๆ ใครที่ไม่ชอบทานจืดแนะให้พกเครื่องปรุงรสมาบ้างก็จะดี ส่วนเรื่องการเดินทางภายในปักกิ่ง ถือว่าดีเยี่ยมและครอบคลุมมากๆ แต่ถ้าให้เลือกคราวหน้าเราขอมาเที่ยวปักกิ่งอีก แต่ขอเป็นฤดูอื่นนะจ๊ะ ลาแล้วเที่ยวหน้าหนาวไปห้าวัน หน้าโดนความเย็นกัดแดงไปหมดเลยจ้า สวัสดี
มื้อเช้าToast Box ขนมปังร้านโปรดของใครอีกหลายๆคน 
ตบท้ายด้วยมื้อกลางวันระหว่างรอเครื่องติดๆกัน แกงแพะจ้า


ทริปหน้าพวกเราไปเจอกันที่ดินแดนตะวันออกกลางนะจ๊ะ แล้วจะรู้ว่าที่นั่นไปเที่ยวเองได้ตามลำพัง ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดไว้เลย เจอกันทริปหน้าจ้า





























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น