วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

บินเดี่ยวเที่ยวอินเดีย ตอนที่1 แบกเป้คนเดียวเที่ยวเมืองเดลลี (Travel alone to Dehli)

        ครั้งที่แล้วเราสัญญากับคุณผู้อ่านไว้ว่า แล้วเจอกันอีกนะอินเดีย เราจะต้องไปอีกครั้งให้ได้ แต่คราวนี้ขอไปเยือนเมืองหลวงนะ แล้วฝันของเราก็เป็นจริงเมื่อเพื่อนเราสองคนซื้อตั๋วไปกรุงเดลลีไว้ก่อนและชวนเราให้ไปร่วมทริปด้วย เราไม่ลืมที่จะชวนเจ๊ไปอีกคนหลังจากที่ร่วมทริปกันหลายครั้ง โดยจุดมุ่งหมายของพวกเราในครั้งนี้คือ ต้องการไปเหยียบดินแดนทัชมาฮาลให้จงได้ ครั้งแรกเลยได้ผู้ร่วมทริปทั้งหมด5ท่าน แต่แล้วไปไปมามาก็เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่งผลให้ทริปส่อเค้าล่มพวกเรากระจัดกระจายอพยพไปอยู่ที่อื่นมีทั้งที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ และมีคนที่ติดภารกิจที่สำคัญ ฉันเองก็ลังเลที่จะเลื่อนตั๋วออกไปหรือว่าทิ้งตั๋ว แต่เมื่อเลื่อนแล้วไม่เห็นอนาคต ด้วยว่าเปิดเทอมแล้วเรียนแบบนอนสต๊อป ก็เลยเป็นไงเป็นกันไปเที่ยวเองคนเดียวคงไม่ตายหรอกน่า

                เราออกเดินทางกันในวันที่ 1 ธันวาคม ทางสายการบินได้ประกาศเลื่อนเวลาบินให้เร็วขึ้น ซึ่งถ้าใครจะบินไปลงกรุงเดลลีในฤดูหนาวมักจะเจอเหตุการณ์นี้เป็นประจำ ด้วยว่าถ้าเที่ยวบินไปถึงดึกมากหมอกก็จะลงหนาและจัดมากและอาจเกิดอุบัติเหตุในการนำเครื่องลงจอดได้ ดังนั้นทริปนี้เขาจึงเลื่อนเวลาทั้งขาไปและกลับให้ไวขึ้น เราจึงต้องปรับแผนการเดินทางภายในใหม่ทั้งหมดโดยเฉพาะวันสุดท้ายที่เราจะต้องกลับมาขึ้นเครื่องให้ทัน

                เราเข้าเช็คอินตั้งแต่บ่ายสาม เครื่องออกเดินทาง 16.45 น. ไปถึงที่นั่นประมาณ 19.30น. ตามเวลาท้องถิ่น ไปถึงจุดนั่งรอขึ้นเครื่องแทบจะไม่มีคนไทยเลย มีแต่คนอินเดียเดินทางกลับประเทศของเค้า เอาแล้วสิ เราจะหาพันธมิตรร่วมเดินทางในครั้งนี้ได้หรือไม่

                บนเครื่องเราสั่งข้าวแกงมันฝรั่งผักมังสวิรัติ ประเดิมอาหารอินเดียมื้อแรกซึ่งความจริงแล้วน่าจะทานอาหารไทยไปให้เต็มที่ก่อน เพราะเราจะต้องทานอาหารอินเดียไปอีก 5วันเต็มๆ เที่ยวบินใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมงครึ่ง นั่งหลับมาตลอดทาง ต้องไม่ลืมที่จะกรอกเอกสารเข้าเมืองให้เรียบร้อยก่อนโดยเฉพาะที่พัก ส่วนรายละเอียดขั้นตอนการขอวีซ่าให้ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://icyjuicybackpacker.blogspot.com/2011/03/indian-visa.html ถ้าต้องการจองตั๋วรถหรือเครื่องบินเพื่อเดินทางภายในประเทศ เว็บนี้ดีที่สุด  คลิกเข้าไปชมได้เลย http://www.mustseeindia.com 

น้ำท่วมทุ่งที่ปทุมธานี มองออกไปราวกับทะเลสาบน้ำจืด
อาหารอินเดียมื้อแรกบนเครื่องของแอร์เอเชีย

                เครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธี (Indhira Gandhi International Airport) มีชื่อเรียกย่อๆแบบเข้าใจง่ายๆว่า I.G.I Airport สนามบินที่นี่ทันสมัยและสะอาดสะอ้านผิดกับความสกปรกของบ้านเมือง การตกแต่งภายในสนามบินเต็มไปด้วยกลิ่นอายภารตะ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร  สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้3ทางหลัก คือ 1 Prepaid Taxi ที่เป็นราคาตายตัวไม่สามารถต่อรองได้ (ประมาณ 250รูปี) ซึ่งราคาจะดีกว่ารถแท็กซี่ผีที่จ้องแต่จะฟันนักท่องเที่ยว   2. Airport Bus เดินทางสู่ย่านคอนนอจต์เพลซ (
Connaught Place)
ใจกลางเมือง ค่าโดยสาร50รูปี 3. Airport Link เป็นรถไฟใต้ดินปลายทางสิ้นสุดที่สถานีรถไฟนิวเดลี ค่าโดยสาร 80รูปี วิธีสุดท้ายนี้จะเดินทางได้เร็วที่สุด เป็นการหลีกเลี่ยงการจราจรที่แออัดของกรุงนิวเดลีนั่นเอง
สัญลักษณ์มือสื่อถึงประเทศอินเดียอย่างชัดเจน

สนามบินที่ Terminal 3 ใหม่เอี่ยม

มีอาหารให้บริการที่สนามบินด้วย

ห้องน้ำสัญลักษณ์ชัดเจนเข้าไม่ผิดแน่นอน

            เราเลือกที่จะเดินทางด้วยวิธีสุดท้ายเพราะจุดหมายปลายทางอยู่ใกล้ย่านที่เราจะไปพักคือ ย่านปาหะกันจ์ (Paharganj) ซึ่งถือว่าเป็นย่านถนนข้าวสารของอินเดียที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ระหว่างทางเดินลงไปสู่รถใต้ดินที่ Terminal 3 นั้น เราได้พบกับกลุ่มคนไทย 3คน เค้าเพิ่งเดินทางมาอินเดียเป็นครั้งแรก การซื้อตั๋วรถไฟของที่นี่ยังไม่เป็นตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ ยังคงต้องไปซื้อที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วอยู่ ทางเข้ารถไฟฟ้าจะมีเครื่องสแกนกระเป๋าและสแกนคนด้วย ซึ่งเข้มงวดกว่าเมืองไทยมากๆ กระเป๋าของคุณผู้ชายมีเสียงร้องของเครื่องตรวจจับโลหะดังขึ้น เจ้าหน้าที่เลยสั่งให้รื้อทั้งกระเป๋าปรากฏว่าเต็มไปด้วยโค้กกระป๋องและมาม่าจากเมืองไทย โถๆ มาอินเดียทั้งทีปรับตัวบ้างสักนิดก็ดีนะจ๊ะ
 ทางลงไปสู่รถไฟใต้ดินสู่ใจกลางเมืองนิวเดลี
ภายในรถไฟซึ่งใช้รถรุ่นเดียวกันกับฮ่องกง มีไฟวิ่งแสดงผลว่าไปถึงไหน

คนไทยที่ร่วมทริปแค่เฉพาะบนรถไฟฟ้า

                จากการสนทนาบนรถไฟฟ้าที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งจึงรู้ว่าพวกเค้าเดินทางกลับกันวันที่ 5 ส่วนเรากลับวันที่ 6 พรุ่งนี้พวกเค้าจึงจองรถไฟไปเมืองอักรากันแต่เช้า (รอบ6โมงเช้า) พวกเขาชวนเราไปร่วมทริปด้วยแต่เราจะต้องไปจองตั๋วรถไฟก่อน รถมาถึงปลายทางประมาณสามทุ่ม กลิ่นอายแห่งเมืองภารตะหวนกลับมาอีกครั้ง เสียงแตรรถที่ดังรัวและถี่ อีกทั้งฝุ่นละอองแบบละเอียดที่เกินค่ามาตรฐานและกลิ่นควันรถลอยขึ้นเตะจมูก ผู้คนที่เนืองแน่นสถานีรถไฟและตามท้องถนน เราไปดูเที่ยวรถไฟที่สถานีรถไฟนิวเดลี (New Dehli Railway station) แต่ก็ต้องถอยกลับเพราะเคาน์เตอร์ซื้อตั๋วล่วงหน้าปิดสองทุ่ม คนไทยกลุ่มนั้นนอนโรงแรมจินเจอร์ (Ginger Hotel) ที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ ส่วนเรากางแผนที่แล้วเดินอีกนิดเข้าสู่ย่านปาหะกันจ์
ทางเข้าที่พักของเรา Lord's Hotel

                ที่ย่านปาหะกันจ์ถึงแม้ว่าจะดึกแล้วแต่ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้าก็เริ่มทยอยปิดตัวลง เราเดินไปตามถนน Main Bazaar เป็นถนนสายหลักของที่นี่ เต็มไปด้วยที่พักราคาถูกมากมายแต่ขึ้นอยู่กับศาสตร์และศิลป์ในการต่อรองราคานะ เพราะที่ว่าถูกแล้วอาจจะยังแพงอยู่ เพราะโรงแรมบางแห่งมักจะบอกราคาที่ยังไม่รวมค่าภาษีอีก 10% เราเดินไปกลับอยู่พักใหญ่เลยเลือกที่จะปักหัวลงที่ Lord’s Hotel ที่ดูแล้วค่อนข้างใหญ่และดูดีหน่อย ไม่ได้อยู่ตามตรอกซอกซอย เดินเข้าไปสอบถามราคาตอนแรกเลยเค้าเสนอห้องเดี่ยวคืนละ 600รูปี เราทำท่าจะเดินกลับเค้าเลยเสนอราคาใหม่ที่ 500รูปี แต่บวกภาษีอีก 10% รวมเป็น 550รูปี ราคาพอรับได้เลยขอขึ้นไปชมห้องตัวอย่างก่อน
เคาน์เตอร์หน้าโรงแรม 
ห้องพักของเรานอนได้ตั้ง 3คน มีเตียงเล็กกับเตียงใหญ่

                ห้องพักไม่เลวทีเดียวเราได้ห้อง 3เตียง  แต่นอนคนเดียว ไม่มีแอร์แต่มีน้ำอุ่นก็พอนอนได้แล้วคืนนี้  ที่อยู่ของ Lord’s Hotel : 51 Main Bazar, Pahar Ganj เข้าถนนเมนบาซ่าร์ไปประมาณ 50เมตร โรงแรมจะอยู่ทางขวามือ E-Mail: info.lordshotel@gmail.com ไม่จำเป็นต้องจองก็ได้เพราะที่นี่คนเข้าพักไม่ค่อยเต็ม
                วันพรุ่งนี้เราคงไปเมืองอักราไม่ได้ เพราะเป็นวันศุกร์ ทัชมาฮาลจะปิดทำการไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ดังนั้นเราต้องเบนหัวไปเมืองจัยปูร์แทนเมืองอักรา แทนที่จะเสียเวลาอีกวันเพื่อรอทัชมาฮาลเปิด พรุ่งนี้เช้าต้องไปจองตั๋วรถไฟที่สถานีให้ได้ก่อนแล้วเราจะวางแผนเที่ยวที่เหลือได้ทั้งหมด คืนนี้นอนพักผ่อนซะ โรงแรมที่นี่กลางคืนเงียบ ไม่ได้ยินเสียงแตรจากรถราเท่าใดนัก

ตอนต่อไปนำเที่ยวป้อมแดง (Red Fort) ก่อนจะพาขึ้นรถไฟไปเมืองจัยปูร์ (Jaipur)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น